Infinite Growth FX

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความมั่งคั่ง BY TSI



            เชื่อหรือไม่... คำตอบของคนส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย จะนึกถึงภาพคนที่มี “รายได้สูงๆ” “มีทรัพย์สินเงินทอง
   มากมาย” หรือ “คนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย” เป็นลำดับต้นๆ เพราะรายได้และทรัพย์สินเป็นเหมือนสิ่งที่แสดงฐานะ
   ทางสังคม สื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคล

            จึงไม่ใช่เรื่องแปลก... ที่ทุกวันนี้ เราเห็นผู้คนวิ่งวุ่นอยู่กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของ
   เครื่องใช้ต่างๆ ไว้สร้างความสุขความสะดวกสบายให้ตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากคนๆ นั้นรู้จักกินอยู่อย่างพอดี
   ไม่พยายามก่อหนี้ และมีเงินเก็บออมพอประมาณ แต่สำหรับคนที่ชอบกินอยู่เกินฐานะ ใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ดิ้นรนกู้หนี้ยืมสิน
   ผ่อนทุกอย่างในชีวิตเท่าที่จะผ่อนได้ คนเหล่านี้แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์รอบกาย แต่หนี้ก็รอบตัว อย่างนี้เราถือว่ายังไม่มั่งคั่ง
   เพราะยังดิ้นรนผ่อนเดือนชนเดือนอยู่
ถ้าอย่างนั้นความมั่งคั่งคืออะไร

         “ความมั่งคั่ง” คือ เงินที่เหลืออยู่ หลังจากที่นำทรัพย์สินทั้งหมดของคุณ ลบด้วยหนี้สินทั้งหมดของคุณ
สรุปง่ายๆ เป็นสมการได้ดังนี้


        ยิ่งคุณมีทรัพย์สินสุทธิมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะนำเงินไปต่อยอดสร้างความมั่งคั่งได้มากขึ้นเท่านั้น         


แล้วจะรู้่ได้อย่างไรว่ามั่งคั่งแล้ว

         หลายคนมักจะถามเชิงบ่นว่า “เมื่อไหร่จะรวย” หรือไม่ก็ “เมื่อไหร่จะมั่งคั่ง” เอาเป็นว่า... ก่อนจะมั่งคั่ง
เราต้องอยู่รอดให้ได้ก่อน ดูง่ายๆ จาก “อัตราส่วนความอยู่รอด”

         ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำกว่า 1 แสดงว่าเราไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย แต่ถ้าอัตราส่วนนี้มากกว่า 1
แสดงว่าเราสามารถดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้
         หากอยู่รอดได้แล้ว วิธีที่จะทำให้รู้ว่าคุณมั่งคั่งและมีอิสรภาพทางการเงินแล้วหรือยัง ดูได้จาก...

้จากทรัพย์สินมากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้โดยไม่เดือดร้อน แบบนี้แหละ... ที่เรียกว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ที่ทุกคนใฝ่ฝันหา         ถ้าคุณมีอัตราส่วนความมั่งคั่งมากกว่า 1 ก็พอจะบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าแม้คุณจะไม่ทำงาน คุณก็ยังมีรายได้

         โดย “อิสรภาพทางการเงิน” คือ การมีหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
ตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครมากจนเกินไป และไม่ต้องหวาดผวากับเรื่องเงินๆ ทองๆ ว่าจะมีไม่พอกับ
การจับจ่ายใช้สอยเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ

         แต่อย่าลืมว่า... แม้คุณจะหาเงินได้มากแค่ไหน หากใช้หมด ก็หมดทางมั่งคั่ง ดังนั้น นอกจากการทำงานหาเงิน
แล้ว คุณยังต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนชีวิตและแผนการเงินในทุกๆ ด้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย
การบริหารหนี้สิน การออมเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต รวมถึงการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า และการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงยขึ้น 
ซึ่งเส้นทางที่จะนำพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งอย่างที่ฝันไว้ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ได้แก่






               “การสร้างความมั่งคั่ง” (Wealth Creation) 
เป็นด่านแรกที่คุณจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้หากอยากมั่งคั่ง ร่ำรวย
   หรือมีอิสรภาพทางการเงินอย่างที่ฝันไว้ ซึ่งคนที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ต้อง “รู้หา รู้เก็บ รู้ใช้ และรู้ขยายดอกผล”    อย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นนิสัย

               แต่คนส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น... บางคนหาเงินได้เยอะ ก็ใช้เยอะ เปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น ใส่เสื้อผ้าอินเทรนด์
   ตามกระแส ไม่ใส่ใจที่จะออม ส่วนบางคนบอกอยากออม แต่เงินจะกินในแต่ละเดือนยังแทบไม่พอ จะเอาที่ไหนมาออม

               เอาละสิ... ยังไม่ทันเริ่มก็ดูท่าว่าจะแย่เสียแล้ว แบบนี้ความมั่งคั่ง ร่ำรวย คงไม่เฉียดมาใกล้เราเป็นแน่
               ถ้าอย่างนั้น... ลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการจัดการเงินทองซะใหม่ สลัดความคิดแบบเดิมๆ ให้สิ้นซาก
   แล้วหันมาสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองด้วยการ “วางแผนใช้จ่ายและบริหารหนี้สิน” ให้มี “เงินเก็บออม” ก่อน
   นั่นแหละ... หัวใจสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง
               พยายามคิดไว้เสมอว่า “ทุกๆ 1 บาท ที่ประหยัดได้ในวันนี้ เหมือนคุณมีเงินออมเพิ่มขึ้นอีก 1 บาท
   ที่สามารถต่อยอดเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้ในอนาคต”





        เพราะ “เงิน” มีบทบาทสำคัญไม่เฉพาะการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หรือเป็นเครื่องวัดค่าสิ่งของต่างๆ
แต่เงินยังสามารถสะสมเพื่อเพิ่มค่าได้ในอนาคต “การวางแผนการเงิน” อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เราสามารถ
จัดการกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายชีวิต

       และเพราะ “เงิน” เข้ามามีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกในการหาซื้อสิ่งของ
จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน เราจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน
เหมือนเป็นกิจกรรมหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีชีวิตที่ดี และมีความสุข
ในบั้นปลายชีวิต

       อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ค้นเคยกับ “การใช้เงิน” ก่อนที่จะ “หาเงินได้”
โดยพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้เงินเราใช้ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก
 เราจึงมีความสุขจากการ
ใช้เงินทั้งที่ยังหาเงินไม่ได้
 ต่อมาเมื่อเราหาเงินได้เองการจากทำงาน
ปัญหาทางการเงินจึงเกิดขึ้น เพราะคิดว่าการหาเงินได้มากขึ้นจะสร้างความสุข
ความสะดวกสบายในชีวิตได้มากขึ้น แต่กลายเป็นว่าเงินที่หาได้เพิ่มขึ้น
กลับไม่เคยเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเลย
        การไม่รู้จักบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของตนเองให้เหมาะกับเงินที่หามาได้ การใช้เงินโดยไม่มีเป้าหมาย
ทางการเงินอย่างเหมาะสม การไม่รู้จักทางเลือกในการรักษาและเพิ่มมูลค่าของเงิน รวมทั้งความไม่มีวินัยทางการเงิน

อาจทำให้เราต้องทำงานหนักไปตลอดทั้งชีวิตเพียงเพื่อให้มีเงินใช้จ่ายเฉพาะหน้า
        การวางแผนการเงินเป็นทักษะชีวิตที่จำเป็นสำหรับทุกคน เราควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการวางแผน
การเงินของตนเองอย่างรอบด้าน ทั้งในการหาเงิน การใช้เงิน การเก็บรักษา และการเพิ่มมูลค่าเงินอย่างชาญฉลาด
ทีสำคัญเราต้องลงมือปฏิบัติ เพื่อสร้างนิสัยทางการเงินที่ดี... ใครอยากสบายทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า คงต้องเริ่ม
วางแผนการเงินตั้งแต่เดี๋ยวน
ี้

คุณล่ะ... คิดจะวางแผนการเงินบ้างหรือยัง?
        คนส่วนใหญ่พอจะไปเที่ยวก็เริ่มจินตนาการไปไกล... อยากไปเที่ยวไหน จะไปกับใคร จะไปอย่างไร จะพกเงิน
ไปเท่าไหร่ จะไปกี่วัน ฯลฯ สารพัดสารพันคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมอง หากใครที่เตรียมตัวและวางแผนมาอย่างดี ย่อมได้
ชมของดี ได้ชิมของดัง ทั้งยังไม่พลาดจุดสำคัญต่างๆ เรียกได้ว่าเที่ยวกันอย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว 

        “การวางแผนการเงิน” ก็เหมือนกับการวางแผน
ท่องเที่ยวที่ต้องมีจุดสตาร์ทในใจก่อน จึงจะสามารถเดินทาง
สู่เป้าหมายที่ต้องการได้โดยไม่หลงทาง ซึ่งขั้นตอนการวางแผน
ก็ไม่่ยากเย็นอะไร เพียงเริ่มจาก...


“สำรวจตนเอง” เพื่อให้รู้ว่า “ตอนนี้สุขภาพทางการเงิน
ของเราเป็นอย่างไร” 
ฟิตหรือฟุบ “แล้วสถานะทางการเงิน
ล่ะ... เป็นอย่างไร” 
เงินออมท่วมหรือหนี้ท่วม

          ต่อมาจึงเริ่ม “กำหนดเป้าหมาย” เพราะเป้าหมายจะคอยนำทางให้คุณไปสู่สิ่งที่ฝันไว้ ซึ่งเป้าหมายของ
แต่ละคนจะแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร อย่าลืมกำหนดเป้าหมายทางการเงินให้สอดคล้อง
กับเป้าหมายชีวิตด้วย เพราะหากไม่มีเงิน เป้าหมายที่ฝันไว้ก็คงจะเป็นไปได้ยาก



จากนั้นก็ถึงเวลา “สร้างแผนการเงิน”ให้้เป็นรูปธรรม พร้อม "ปฏิบัติตามแผนอย่างมีวินัย” เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ฝันไว้อย่าปล่อยให้กิเลสครอบงำทำลายแผนการเงินให้ล้มลงไม่เป็นท่า

 สุดท้าย... ต้องหมั่น “ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ” เพื่อให้การเดินทางไปยังเป้าหมาย
ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด



คุณคิดว่า... ขั้นตอนไหนยากที่สุดสำหรับคุณ?
        คุณเชื่อหรือไม่... การเขียนเป้าหมายลงบนกระดาษ หรือหาภาพมาติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่คุณเห็นได้อย่างชัดเจน
จะมีส่วนช่วยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้คุณเก็บออมเงินเพื่อทำเป้าหมายนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ลองมาเขียน
เป้าหมายชีวิตในแต่ละช่วงอายุกันดีกว่า!!!




คุณเคยเขียนเป้าหมายที่ต้องการลงบนกระดาษบ้างหรือไม่?


ไม่วางแผนการเงิน
ไม่มีเป้าหมายทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ใช้จ่ายแบบไม่วางแผน
ทั้งการจ่ายซื้อของชิ้นใหญ่และซื้อของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน

ไม่รู้ว่ามีเงินสดเท่าไร
เพราะได้เงินมาก็ใช้ไป เงินหมดก็กด ATM ไปเรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าใช้เงินเดือนละเท่าไร 
ไม่รู้ว่าใช้จ่ายเป็นค่าอะไรบ้าง

เหนียวหนี้
โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เพราะการจ่ายหนี้ขั้นต่ำจะทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาศาล

ใช้ก่อนเก็บ
เพราะมักลงเอยด้วยการใช้เงินจนหมดไม่เหลือเก็บ

จนแต่ไม่เจียม 
ชอบใช้จ่ายเงินเกินตัว มีรสนิยมสูงเกินรายได

ไม่สนใจดอกเบี้ย 
ค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย

ลงทุนแบบไม่มีความรู้ 
ลงทุนตามข่าว ตามกระแส ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการลงทุนดีพอ

ไม่มีการจัดสรรสินทรัพย์หรือ Asset Allocation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง


คุณล่ะ... มีนิสัยที่ไม่ค่อยดีทางการเงินกี่ข้อ? แล้วคุณจะปรับปรุงอย่างไร?
         
              เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยฝันเช่นนี้ เพราะนี่คือความฝันสุดแสนจะเบสิคที่ใครๆ ก็อยากมี แต่ก็ต้องยอมรับว่าความฝัน
    แต่ละอย่างไม่ใช่ของถูกๆ และต้องแลกมาด้วย “เงิน” มากมาย แถม “การใช้จ่าย” ก็ดูจะสนุกสนานกว่า “การเก็บออม”    เป็นไหนๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใด... เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ความฝันเหล่านั้นก็ยังไม่เป็นจริงเสียที!!!

              เอาเป็นว่า... ใครอยากทำให้ฝันเป็นจริง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นวางแผนชีวิตและจัดระบบระเบียบการเงินของตนเอง
    จากตรงไหน ลองเริ่มจาก “แปลงความฝันให้กลายเป็นเป้าหมาย” ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราอยากออมเงินไปเพื่ออะไร
    เพราะถ้าคุณรู้เป้าหมายว่าจะออมไปเพื่ออะไร คุณก็จะสามารถคาดคะเนได้ว่า... คุณต้องใช้เงินเท่าใด ต้องออมนาน
    แค่ไหน ต้องทำอย่างไร หรือต้องใช้วิธีไหนจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้น 


              วิธีแปลงความฝันให้เป็นเป้าหมายก็ง่ายๆ แค่ถ่ายทอดสิ่งที่คิดและฝันเอาไว้ลงบนกระดาษ อาจเขียนเป็นตัวหนังสือ
    หรือหาภาพมาติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่คุณจะเห็นอย่างชัดเจน การทำให้เห็นเป็นรูปธรรมเช่นนี้... นอกจากจะช่วยให้ “เป้าหมาย”    ไม่กลายเป็น “เป้าหาย” แค่ชั่วข้ามคืนแล้ว ยังช่วยตอกย้ำจิตใต้สำนึกของคุณให้จดจำและช่วยกระตุ้นให้คุณเดินหน้าทำฝัน
    ให้เป็นจริงด้วย



เป้าหมายไม่จำเป็นต้องมีเพียงหนึ่งเดียว คุณอาจกำหนดเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงเวลาได้ เพียงแต่ต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายต่างๆ ตามความจำเป็นในชีวิต ไล่เรียงตั้งแต่สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก อันดับรองลงมา และเรื่อยไปจนถึงอันดับสุดท้าย

แล้วรู้หรือไม่ว่า...เป้าหมายที่ดีต้องมีหน้าตาอย่างไร?

เป้าหมายที่ดีต้องมีความชัดเจน วัดผลได้ทำสำเร็จได้ เป็นไปได้ และมีระยะเวลากำหนดไว้อย่างชัดเจน แน่นอน หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “SMART Goals” นั่นเอง

 แต่เอ๊ะ!!! สงสัยจัง...ทำไมต้อง SMART? แล้วSMART ย่อมาจากอะไร?เรามาดููความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่า “SMART” กันดีกว่า

              อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณยังนึกเป้าหมายที่ดีของตนเองไม่ออก เราจะบอกใบ้ให้คร่าวๆ สมมติว่าเป้าหมายของคุณคือ
    “เก็บเงินดาวน์บ้านในฝัน” ก็แล้วกัน

              เป้าหมายนี้... จัดว่าเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ แต่ยังไม่เรียกว่าเป็นเป้าหมายที่ดีหรอกนะจนกว่าคุณจะเติมข้อความ
    ที่ชัดเจนกว่านี้ลงไปในเป้าหมาย เช่น...

              หากคุณมีเงินเดือน 20,000 บาท เป้าหมายนี้อาจจะดูเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปยากสักหน่อย เพราะคุณจะมี
    เงินกินเงินใช้เพียงเดือนละ 5,000 บาทเท่านั้น แต่หากในแต่ละเดือนคุณไม่มีภาระค่าใช้จ่ายใดๆ สามารถใช้จ่ายเดือนละ
    5,000 บาทได้อย่างสบายๆ ก็ถือว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่ดี มีคุณลักษณะทั้งห้าครบหมดและคุณก็เห็นชัดด้วย
    ว่าคุณจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้

              เมื่อมีเป้าหมายชีวิตที่ดีและชัดเจนแล้ว คราวนี้... ก็ถึงเวลาลงมือออมให้สอดรับกับเป้าหมายที่วางไว้ แต่สิ่งที่
    ขาดไม่ได้เลยเมื่อคิดจะออมก็คือ ความ “ตั้งใจ” ที่จะออมอย่างจริงจัง หลายคนตั้งท่าออมเสียดิบดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ
    กลับตกม้าตายไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะออมบ้างไม่ออมบ้าง ท้ายสุดเป้าหมายการออมของคุณก็ล้มลงไม่เป็นท่า เพราะขาด
    “วินัย” ทางการเงิน

    หมั่นท่องคาถานี้เข้าไว้ “ตั้งเป้า ตั้งใจ มีวินัย” เชื่อสิว่า... เส้นชัยแห่งการออมรออยู่ข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็ว สักวันต้องไปถึ


          
ชีวิตคนเราต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน ใครจะรู้... ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างอุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ได้ป่วย
   จะเกิดกับคุณและครอบครัวเมื่อไหร่ หากคุณไม่ได้เตรียมการรับมือเอาไว้ ทรัพย์สินเงินทองที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิตอาจ
   หมดไปเพียงเพราะถูกสารพันความเสี่ยงทั้งหลายจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

         
           ทางที่ดี... คุณควรหาตัวช่วยเพื่อ “ปกป้องความมั่งคั่ง” (Wealth Protection)
ให้อยู่กับคุณไปนานๆ พร้อมทั้งเลือกวิธีจัดการความเสี่ยงต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะใช้ชีวิต
อย่างเรียบง่ายเพื่อลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงกิจกรรมอันตรายทั้งหลายทั้งปวง รวมถึงรู้จักถ่ายโอน
ความเสี่ยงด้วย“การทำประกันภัย” ติดไม้ติดมือเอาไว้บ้าง แม้วิธีการเหล่านี้จะไม่สามารถขจัด
ความเสี่ยงทุกชนิดให้หมดไปจากชีวิตเราได้ แต่ก็น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจว่า... เรายังมีตัวช่วย
บรรเทาความสูญเสียทางการเงินได้ในระดับหนึ่ง
          นอกจากเรื่องราวไม่คาดฝันที่อาจมาเคาะประตูบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่หลายคนคิดไม่ถึงว่าจะเป็น
   ความเสี่ยงในชีวิตนั่นคือ การมีเงินไม่พอใช้ในวัยเกษียณ ใครที่เคยคิดว่าไม่ต้องสะสมเงินออมอะไรให้มันเยอะหรอก ไม่รู้จะได้ใช้
   ตอนแก่รึเปล่า เผลอๆ จะขึ้นสวรรค์ไปซะก่อน อ๊ะอ๊ะ... ขอบอกว่าประมาทได้ที่ไหน เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็อายุยืนกันทั้งนั้น
   ยิ่งบางคนอยู่ถึงร้อยกว่าปีเลยทีเดียว เชื่อว่าถ้าอายุยืนแล้วไม่มีเงินใช้ คงจะน่ากลัวกว่าสิ่งอื่นใดเป็นแน่แท้

          ดังนั้น “การวางแผนเกษียณ” ซะตั้งแต่วันนี้ จึงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้คุณมีเงินพอใช้อย่างสุขสบายในช่วง
   บั้นปลายของชีวิต หากคุณเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งโดยไม่ทำอะไรเลย กว่าจะรู้ตัวว่ามีเงินไม่พอใช้ตอนเกษียณก็คงสายไป
   เสียแล้ว!!!
          เมื่อรู้ตัวว่าต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความเสี่ยงและเลี่ยงได้ไม่พ้น สู้หาอะไรป้องกันความเสี่ยงไว้ไม่ดีกว่าหรือ?
   อย่างน้อยยังช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้


         
             หลายปีที่ผ่านมา... อัตราเงินเฟ้อพุ่งพรวดแซงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจนแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นทีลำพังการออมเงิน
    ไว้ในธนาคารเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้คุณไปถึงฝั่งฝันหรือมั่งคั่งอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะเงินออมเติบโตไม่ทัน
    ราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น

            เอาเป็นว่า... ถ้าวันนี้เงินของคุณยังนอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีเงินฝาก ทำไมไม่ลองปล่อยให้ออกมายืดเส้นยืดสายทำงาน
    แทนคุณกันดูบ้าง เพราะยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วย “เพิ่มพูนความมั่งคั่ง” (Wealth Accumulation)
    ให้คุณได้
             “การวางแผนลงทุน” จึงกลายเป็นพระเอกคนสำคัญของเรื่องนี้ เพราะการลงทุนเปรียบเสมือนทางด่วนสู่ความมั่งคั่ง
    การออกตัวที่ดี ตั้งต้นได้เร็ว และเดินตามแผนที่วางไว้ ย่อมช่วยให้ถึงเส้นชัยได้สมดังใจหวัง
             นอกจากนี้ การใส่ใจเรื่องภาษีก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้คุณได้เช่นกัน เพราะ “การวางแผน
    ภาษี”
 ช่วยลดภาระภาษีของคุณให้น้อยลง เมื่อเสียภาษีน้อยลง คุณก็จะมีเงินออมและลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้มากยิ่งขึ้น     ยิ่งในปัจจุบันมีช่องทางการออมการลงทุนหลายประเภทที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว     (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือการทำประกันชีวิต ฯลฯ ซึ่งคุณไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยประหยัด
    ภาษีในแต่ละปีลงได้แล้ว ยังถือเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวให้คุณด้วย


          
หลังจากที่คุณได้สร้างและสะสมความมั่งคั่งของตนเองมาระดับหนึ่ง ก็ถึงเวลาคิดและถามตัวเองว่าตอนนี้คุณมีทรัพย์สิน
   อะไรบ้าง?แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่? หรือหากวันนี้คุณเป็นอะไรไป ทายาทจะได้รับมรดกอย่างที่คุณอยากยกให้หรือไม่?
           เป็นไปได้ว่า... ถ้าคุณไม่ได้มีการวางแผนและตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ทรัพย์สมบัติ ิ   ของคุณอาจตกไปอยูู่่กับคนที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะมอบให้ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นตามข่าวหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ... ญาติพี่น้อง
   ทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงมรดก หรือลูกนอกสมรสออกมาเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สมบัติ หนักเข้าก็ถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล
   เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เสียทั้งชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก


      
 “การส่งมอบความมั่งคั่ง” (Wealth Distribution) จึงเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญ
ไม่แพ้ขั้นตอนอื่นๆ ในการบริหารจัดการความมั่งคั่ง เพราะจะช่วยให้สิ่งที่คุณสร้างสมและเก็บรักษามา
ตลอดชีวิตถูกจัดสรรให้แก่คนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือแม้กระทั่งการแบ่งปัน ให้กับผู้อื่นตามที่คุณต้องการ โดยหัวใจหลักของการส่งมอบความมั่งคั่งก็คือ “การวางแผนมรดก” 
ที่จะช่วยส่งผ่านความมั่งคั่งร่ำรวยจากรุ่นสู่รุ่น แถมยังช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมด
จะถูกสืบทอดไปตามเจตนารมณ์ของคุณ
         ที่จริงแล้ว... การส่งมอบความมั่งคั่งไม่ได้เป็นเรื่องของการส่งต่อทรัพย์สินให้แก่ทายาทเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง    "การแบ่งปันให้ผู้อื่น” ทั้งในยามปกติ เช่น การบริจาคให้มูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศล ผู้ที่มีน้อยหรือด้อยโอกาสกว่า และ
   คราวจำเป็นเมื่อมีภัยพิบัติขึ้น เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ ซึ่งการแบ่งปันเหล่านี้... นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น
   ยามเดือดร้อนและช่วยให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ยังสุขใจทั้งผู้ให้ อิ่มใจทั้งผู้รับด้วย

ขอบพระคุณความรู้ดี จาก TSI

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น