“การลงทุน” คือ การที่เราใช้จ่ายเงินสดรูปแบบหนึ่งในปัจจุบัน โดยมุ่งหวังจะได้รับ
ผลตอบแทนจากการใช้จ่ายนั้นในอนาคต ซึ่งผู้ลงทุนเชื่อว่าเงินสดหรือผลตอบแทน
ส่วนเพิ่มที่จะได้รับคืนนั้น จะสามารถชดเชยระยะเวลา อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงที่
อาจเกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่า หรืออาจกล่าวได้ว่า
“การลงทุน” หมายถึง การออมเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งเราจะต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน การตัดสินใจนำเงินออมมาลงทุน เราจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน
ตามที่คาดหวังไว้และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน.
ในตลาดการเงินปัจจุบัน มีทางเลือกสำหรับการลงทุน
ให้เราเลือกมากมาย ทั้งสินทรัพย์ทางการเงิน
(Financial Assets) ประเภทพันธบัตร หุ้นกู้
หุ้นทุนกองทุนรวมประเภทต่างๆ หรือ สินทรัพย์ที่จับต้องได้
(Tangible Assets) เช่น ทองคำ ที่ดิน อาคาร เพชรนิลจินดา
เครื่องประดับ การมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะลงทุน
จึงมีความสำคัญต่อเรามาก การลงทุนโดยไม่มีความรู้ หรือไม่เข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและทางเลือกในการลงทุนดีพอ ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด
การลงทุนอย่างถูกวิธีและมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องจะช่วยให้เรามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นและสร้างความมั่งคั่งได้รวดเร็วขึ้น การลงทุนที่มี
การกระจายการลงทุนอย่างดียังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของผลตอบแทนที่จะได้รับ จึงมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ เงินลงทุนยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย เพราะเงินส่วนนี้จะหมุนเวียนไปยังผู้ขาดแคลนเงินทุนหรือผู้ที่ต้องการเงินทุนผ่านตัวกลางทางการเงินหลากหลายรูปแบบในระบบการเงิน ให้ได้นำไปใช้ในการพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ทั้งในรูปของเงินให้กู้หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ
ธุรกิจต้องการเงินทุนเพื่อการเริ่มธุรกิจ การสร้างโรงงาน การซื้อเครื่องจักร การจ้าง
แรงงาน การซื้อวัตถุดิบ การขยายการผลิต รวมทั้งการลงทุนในโครงการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการผลิตและการลงทุนเหล่านี้จะก่อทำให้เกิดการจ้างแรงงาน และส่งผล
ต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจภาคส่วนอื่นๆ การลงทุนจึงเป็นตัวสะท้อนความมั่งคั่งของประเทศที่สำคัญอีกด้วย
งานวิจัยของ Marilyn MacGruder Barnwall แห่ง MacGruder Agency แบ่งประเภทของนักลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ออกเป็น 2 ประเภท คือ
การกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลงทุน การนำเงินออมหรือเงินสำหรับ
การใช้จ่ายมาลงทุนมากเกินไป อาจจะทำให้เราประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง กดดันตัวเองมากเกินไป ในขณะที่การจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนที่น้อยเกินไป อาจทำให้เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามที่ควรจะได้รับ ซึ่งการจัดสรรเงินสำหรับการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำให้การลงทุนของเราเป็นไปอย่างสมดุล ข้อควรคำนึงในการจัดสรรเงินเพื่อการลงทุน คือ เราควรมีเงินออมและเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินในจำนวนที่ เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายประมาณ 3 - 6 เดือน ซึ่งเงินสำหรับการลงทุนควรเป็นเงินส่วนที่เกินจากเงินออมและเงินสำรอง เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงที่เราอาจจะสูญเสียเงินลงทุนไป การนำเงินออมหรือเงินสำรอง มาลงทุนจึงอาจจะทำให้เราประสบปัญหาได้ การกำหนดนโยบายการลงทุน เริ่มต้นจากการกำหนด เป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุนที่ชัดเจน ลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองจำนวน 5,000,000 บาท เพื่อใช้จ่ายหลังการเกษียณ ลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกจำนวน 3,000,000 บาท ลงทุนเพื่อต้องการให้มีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้นเดือนละ 5,000 บาท เมื่อเรามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ก็จะสามารถ กำหนดอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจาก การลงทุนได้ ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจาก การลงทุนจะทำให้เราเลือกสินทรัพย์หรือจัดสรร การลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยการกำหนดนโยบายการลงทุนจะต้องครอบคลุม - เป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุน - อัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุน - ระยะเวลาการลงทุน - ประเภทของสินทรัพย์ที่จะลงทุน - การจัดสรรเงินลงทุน เช่น ถ้ามีเงินลงทุนจำนวน 100,000 บาท ต้องการ ผลตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท จะต้องลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ 5% เป็นต้น
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น