Infinite Growth FX

วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การลงทุนคืออะไร


“การลงทุน” คือ การที่เราใช้จ่ายเงินสดรูปแบบหนึ่งในปัจจุบัน โดยมุ่งหวังจะได้รับ

ผลตอบแทนจากการใช้จ่ายนั้นในอนาคต ซึ่งผู้ลงทุนเชื่อว่าเงินสดหรือผลตอบแทน
ส่วนเพิ่มที่จะได้รับคืนนั้น จะสามารถชดเชยระยะเวลา อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงที่
อาจเกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่า หรืออาจกล่าวได้ว่า 
        “การลงทุน” หมายถึง การออมเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งเราจะต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน การตัดสินใจนำเงินออมมาลงทุน เราจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน
ตามที่คาดหวังไว้และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน.

ในตลาดการเงินปัจจุบัน มีทางเลือกสำหรับการลงทุน

ให้เราเลือกมากมาย ทั้งสินทรัพย์ทางการเงิน
(Financial Assets) 
ประเภทพันธบัตร หุ้นกู้ 

หุ้นทุนกองทุนรวมประเภทต่างๆ หรือ สินทรัพย์ที่จับต้องได้
(Tangible Assets)
 เช่น ทองคำ ที่ดิน อาคาร เพชรนิลจินดา 

เครื่องประดับ การมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะลงทุน
จึงมีความสำคัญต่อเรามาก การลงทุนโดยไม่มีความรู้ หรือไม่เข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและทางเลือกในการลงทุนดีพอ ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด




การลงทุนอย่างถูกวิธีและมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องจะช่วยให้เรามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นและสร้างความมั่งคั่งได้รวดเร็วขึ้น การลงทุนที่มี

การกระจายการลงทุนอย่างดียังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของผลตอบแทนที่จะได้รับ จึงมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ เงินลงทุนยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย เพราะเงินส่วนนี้จะหมุนเวียนไปยังผู้ขาดแคลนเงินทุนหรือผู้ที่ต้องการเงินทุนผ่านตัวกลางทางการเงินหลากหลายรูปแบบในระบบการเงิน ให้ได้นำไปใช้ในการพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ทั้งในรูปของเงินให้กู้หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ 

ธุรกิจต้องการเงินทุนเพื่อการเริ่มธุรกิจ การสร้างโรงงาน การซื้อเครื่องจักร การจ้าง
แรงงาน การซื้อวัตถุดิบ การขยายการผลิต รวมทั้งการลงทุนในโครงการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการผลิตและการลงทุนเหล่านี้จะก่อทำให้เกิดการจ้างแรงงาน และส่งผล
ต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจภาคส่วนอื่นๆ การลงทุนจึงเป็นตัวสะท้อนความมั่งคั่งของประเทศที่สำคัญอีกด้วย


งานวิจัยของ Marilyn MacGruder Barnwall แห่ง MacGruder Agency
แบ่งประเภทของนักลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ออกเป็น 2 ประเภท คือ



  • นักลงทุนประเภทรอรับผล (Passive Investor) ที่จะหลีกเลี่ยง
    ความเสี่ยงหรือยอมรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก จึงมักจะลงทุนผ่าน
    การจัดการลงทุนโดยมืออาชีพ
  • นักลงทุนประเภทมุ่งหวังผล (Active Investor) ที่เห็นว่ามีโอกาสในการลงทุนเสมอ จึงชอบความเสี่ยง และมักจัดการลงทุน
    ด้วยตนเอง

การกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลงทุน การนำเงินออมหรือเงินสำหรับ
การใช้จ่ายมาลงทุนมากเกินไป
 อาจจะทำให้เราประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง กดดันตัวเองมากเกินไป

        ในขณะที่การจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนที่น้อยเกินไป อาจทำให้เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามที่ควรจะได้รับ ซึ่งการจัดสรรเงินสำหรับการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำให้การลงทุนของเราเป็นไปอย่างสมดุล

         ข้อควรคำนึงในการจัดสรรเงินเพื่อการลงทุน คือ เราควรมีเงินออมและเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินในจำนวนที่

เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายประมาณ 3 - 6 เดือน ซึ่งเงินสำหรับการลงทุนควรเป็นเงินส่วนที่เกินจากเงินออมและเงินสำรอง เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงที่เราอาจจะสูญเสียเงินลงทุนไป การนำเงินออมหรือเงินสำรอง
มาลงทุนจึงอาจจะทำให้เราประสบปัญหาได้



การกำหนดนโยบายการลงทุน เริ่มต้นจากการกำหนด

เป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุนที่ชัดเจน

ลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองจำนวน 5,000,000 บาท เพื่อใช้จ่ายหลังการเกษียณ



ลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกจำนวน 3,000,000 บาท



ลงทุนเพื่อต้องการให้มีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้นเดือนละ 5,000 บาท



เมื่อเรามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ก็จะสามารถ


กำหนดอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจาก


การลงทุน
ได้ ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจาก

การลงทุนจะทำให้เราเลือกสินทรัพย์หรือจัดสรร
การลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยการกำหนดนโยบายการลงทุนจะต้องครอบคลุม 

          - เป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุน

          - อัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุน
          - ระยะเวลาการลงทุน
          - ประเภทของสินทรัพย์ที่จะลงทุน
          - การจัดสรรเงินลงทุน

เช่น ถ้ามีเงินลงทุนจำนวน 100,000 บาท ต้องการ

ผลตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท จะต้องลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ 5%
เป็นต้น


1. เพราะผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการลงทุน จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่
มากขึ้นด้วยเสมอ นักลงทุนจะประสบความสำเร็จได้ จึงต้องมีความรู้และ
มีวินัยในการลงทุน
 โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจในเรื่องสินทรัพย์หรือ

หลักทรัพย์ที่จะลงทุน ความเสี่ยง สภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะช่วยขจัดอุปสรรคสำคัญในการลงทุนได้ เพราะความรู้และวินัยเป็น
ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด
 ที่คอยปกป้องเราจากความโลภและความกลัว และจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดี
ก่อนตัดสินใจลงทุน
2. การกระจายการลงทุนโดยการสร้างกลุ่มสินทรัพย์ลงทุน  (Portfolio) จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี เช่น หากมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทที่เราลงทุนไว้ ทำให้บริษัทดังกล่าวไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ รวมทั้งทำให้ราคาหลักทรัพย์ผันผวน

อาจส่งผลให้ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่ลงทุนไว้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังการสร้างกลุ่มสินทรัพย์ลงทุน คือ การจัดสรรเงินลงทุนเพื่อลงทุนในสินทรัพย์มากกว่าหนึ่งประเภท เช่น ถ้ามีเงินลงทุนจำนวน 800,000 บาท อาจเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทองคำ หุ้นสามัญของธุรกิจในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร หุ้นกู้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ และกองทุนรวม 2 กองทุน
เป็นต้น

3. ผู้ลงทุนจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผลตอบแทน และราคาของสินทรัพย์ที่

ลงทุนมีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมค่อนข้างมากและรวดเร็ว การติดตามและทบทวนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการลงทุน
เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจอย่างสม่ำเสมอ เราอาจจะต้องแบ่งเวลาส่วนตัวในแต่ละวันเพื่อติดตามข้อมูล ข่าวสาร รายงานการวิเคราะห์ หรือ
บทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับข้อมูล ข่าวสารที่จะเป็นประโยชน์ ไม่เสียโอกาสในการลงทุน และเพื่อให้ทันต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่จะ
ส่งผลกระทบต่อการลงทุน




1. การลงทุน ไม่ใช่ การเล่นหุ้น
2. ทางเลือกในการลงทุน ไม่ใช่มีแค่หุ้น
3. ต้องมีความรู้ และเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุน
4. กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน
5. วินัยในการลงทุนสำคัญที่สุด
6. อ่านงบการเงิน หมายเหตุประกอบงบ และบทวิเคราะห์
    ก่อนตัดสินใจ
7. เก็งกำไร อย่าลืมเก็งขาดทุน
8. ห้ามโลภ และห้ามประมาท  
9. จังหวะและโอกาสที่ดีมีเสมอ
10 กระจายการลงทุนเพื่อช่วยลดความเสี่ยง

By TSI

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น