Infinite Growth FX

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้น เพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี

นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่นเดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น

หลายๆคนอาจจะเริ่มฝันว่า ได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้า ทั้งๆที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์


สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือ หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่า เขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 – 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก

แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือ น้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริงๆนั้น มีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 – 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง

เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 – 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 – 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 – 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 – 60 ปีขึ้นไป

ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้นลงผันผวนไปเรื่อยๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปี โดยที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นานๆครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 – 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิงเปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 – 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้

ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 – 40% หรือ บางคนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียว จึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไป หรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวดเร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป “ทำมาหากิน” ตามเดิม

นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 – 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 – 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 – 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้อย่างรวดเร็ว

ข้อสรุปของผมก็คือ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำรวยจากตลาดหุ้น แม้ว่าในช่วงนี้หลายๆคนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทย และประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา

Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง อย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร

การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริงๆนั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา

วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “คุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกัน การลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า”



คอลัมน์ โลกในมุมมองของ Value Investor ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556


Value investor VS นักเก็งกำไรบันลือโลก


ในโลกของ Value Investor นั้น  ทุกคนรู้จักและนับถือ วอเร็น บัฟเฟตต์ ว่าเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก  แต่ในโลกของนักเก็งกำไรนั้น  ชื่อของ Jesse Livermore ได้รับการยอมรับว่าเป็นตำนานของนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเคียงบ่าเคียงไหล่กับคนอย่าง  Bernard Baruch และ Gerald Loeb  ว่าที่จริง  บางคนบอกว่าเขาเป็นนักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก  ฉายาของเขาคือ  “หมีใหญ่แห่งวอลสตรีท”  เพราะเขาชอบเก็งกำไรโดยเฉพาะในช่วงตลาด  “ขาลง” นั่นคือ เขาจะชอร์ตหุ้นและ/หรือสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดล่วงหน้า  ชีวิตและหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์นั้นน่าสนใจไม่เฉพาะแต่นักเก็งกำไร  Value Investor ก็ควรจะรู้ไว้
ลิเวอร์มอร์ หรือที่คนชอบเรียกเขาว่า  J.L. เกิดในครอบครัวชาวไร่ที่ยากจน  เขาเรียนจบแค่มัธยมและต้องออกมาทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี   งานแรกและน่าจะเรียกว่าเป็นงานแบบเดียวในชีวิตก็คือ  เป็นเด็ก  “เคาะกระดานหุ้น”  หลังจากนั้นเพียงปีเดียว  เขาก็เริ่ม  “เล่นหุ้น”  แต่เนื่องจากมีเงินน้อย  เขาจึงเริ่มเล่นตาม  “ห้องค้าเถื่อน”  ที่รับ “แทงหุ้น” โดยอิงกับราคาหุ้นบนกระดาน  เขาเล่นเก่งมากและทำกำไรจนทำให้ห้องค้าเถื่อนเกือบทุกแห่ง  “แบล็กลิสต์”  ไม่ให้เขาเข้าเล่นในห้องค้า  ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ตลาดหุ้นและเริ่มชีวิตของนักเก็งกำไรเต็มตัว
J.L. ทำเงินจากตลาดหุ้นได้มากและ “เจ๊ง” หมดตัวถึงสองครั้งก่อนที่จะกลายเป็น “ซุปเปอร์สตาร์”  หลังเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นในปี 1907  เหตุการณ์หุ้นถล่มทลายในครั้งนั้น  J.L. ได้ขายหุ้นชอร์ตไว้จำนวนมาก  ยิ่งหุ้นตก  เขาก็ยิ่งขายและทำให้หุ้นตกลงไปอีก  การขายหุ้นชอร์ตของเขาทำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ  เนื่องจากเมื่อหุ้นตก  พอร์ตเขาก็ได้กำไรซึ่งก็จะทำให้เขามีวงเงินใช้มาร์จินเพิ่มขึ้นอีก  เขาขายชอร์ตมากเสียจนทำให้ J. P. Morgan ประธานบริษัทหลักทรัพย์ยักษ์ใหญ่  และเป็น “จ้าวพ่อตลาดหุ้น”  ในช่วงนั้นต้องออกมาขอให้เขาหยุดขาย  เพราะมิฉะนั้น  ตลาดหลักทรัพย์อาจจะต้อง “ล่มสลาย”  เนื่องจากสถาบันการเงินต่างก็ขาดสภาพคล่องอันเป็นผลจากการที่หุ้นตกลงมาอย่างหนัก
หลังจากเหตุการณ์วิกฤติตลาดหุ้นปี 1907  J.L. ก็ร่ำรวยและกลายเป็น  “เซเลบ”   เขาใช้ชีวิตหรูหราสุด ๆ   เขาซื้อเรือยอร์ชหรูหราไว้ใช้ท่องเที่ยวและจับปลาในทะเลซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เขารัก  เขาจีบและแต่งงานกับผู้หญิงโดยใช้ชีวิตแบบ “เพลบอย”   เขาคบกับคนชั้นสูงเช่น Alfred Sloan ประธานบริษัท General Motor ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในยุคนั้น  Walter Chrysler แห่งบริษัทรถยนต์ใหญ่ Chrysler  และดาราตลกดังอย่าง ชาร์ลี แชบปลิน เป็นต้น
วิกฤติตลาดหุ้นปี 1929 เป็นอีกครั้งหนึ่งที่  J.L. ทำกำไรได้มากมายจากการชอร์ตหุ้นในตลาด  เขาผ่านวิกฤติมาพร้อมกับเงินนับ 100 ล้านเหรียญ  และนี่เป็นความรุ่งโรจน์ครั้งสุดท้ายของชีวิตเขา เพราะหลังจากนั้นเขาก็เริ่มตกต่ำลงเรื่อย ๆ  ทั้งชีวิตการเก็งกำไรและชีวิตส่วนตัว   ในชีวิตของการเก็งกำไรนั้น  เขาเคยล้มละลายมา 2 ครั้งและสามารถฟื้นขึ้นมาได้  แต่ในครั้งนี้  เขา  “หมดตัว”  มีหนี้มากกว่าทรัพย์สิน  ในชีวิตส่วนตัวนั้น  เขาเคยมีภรรยาหลายคน  แต่ละคนใช้เงินที่เขาได้กำไรมาอย่างฟุ่มเฟือยเช่นเดียวกับตัวเขา  ภรรยาคนหนึ่งมีเรื่องขนาดยิงลูกตัวเองเกือบเสียชีวิต  ตัว J.L. เองนั้น  เขามีปัญหาและน่าจะเป็นโรคซึมเศร้า  เขายิงตัวตายในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1940 สิริอายุ 63 ปี
กฎและกลยุทธการเก็งกำไรของ J.L. นั้นสามารถสรุปอย่างย่อ ๆ  ได้ดังต่อไปนี้
1)     อย่าขาดทุน  นักเก็งกำไรที่ไม่มีเงินก็เหมือนกับเจ้าของร้านที่ไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อก  ดังนั้นถ้าคุณไม่มีเงิน คุณก็จะไม่มีธุรกิจ   เก็งกำไรไม่ได้  J.L. บอกว่าการซื้อหุ้นเต็มจำนวนในคราวเดียวที่ราคาเดียวนั้นอันตราย  คุณควรทยอยซื้อเมื่อแน่ใจว่าสิ่งที่คิดไว้ถูกต้อง  ตัวอย่างเช่น  ถ้าคุณต้องการซื้อ 1000 หุ้น  คุณควรจะเริ่มที่ 200 หุ้น  ซื้อแล้วดูว่าราคาขึ้นหรือไม่  ถ้าใช่ ทยอยซื้อเพิ่มอีก 200 หุ้น แล้วก็รอดูว่าขึ้นไหม  ถ้าใช่ก็ซื้ออีก 200 หุ้น และถ้าขึ้นอีก  คราวนี้ให้ซื้อไปอีก 400 หุ้นจนเต็ม 1000 หุ้น  สรุปก็คือ  ทยอยซื้อเมื่อราคาขึ้น  ห้ามซื้อเฉลี่ยเมื่อหุ้นลง
2)    กำหนดจุดตัดขาดทุน  ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน  ต้องกำหนดว่าจะยอมขาดทุนได้ไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์  สำหรับเขาจะไม่ยอมให้ขาดทุนเกิน 10%  เพราะเขาคิดว่าเวลาขาดทุนนั้น  การจะเอาทุนคืนได้จะต้องกำไรมากกว่าเปอร์เซ็นต์ที่ขาดทุนจึงจะเสมอตัว  เช่น  ถ้าขาดทุน 50% กว่าจะคืนทุนก็ต้องกำไร 100%  อีกอย่างก็คือ  ถ้าซื้อแล้วหุ้นลงแสดงว่าสิ่งที่คุณคิดไว้คงผิด  อย่าไปฝืนกระแส  ตัดขาดทุนเสียแล้วไปเล่นตัวใหม่เมื่อเห็นโอกาส
3)    จะต้องมีเงินสดสำรองเสมอ  เงินสดนี้จะมีความสำคัญมากเมื่อถึงจุดที่โอกาสในการเก็งกำไรเปิด  และเมื่อมีโอกาสดี  เราก็จะต้อง  “อัด”  หรือลงเงินให้เต็มที่  J.L. เชื่อว่าคุณไม่จำเป็นต้องลงทุนตลอดเวลาและไม่ควรลงตลอดเวลา  จะเล่นต่อเมื่อมีโอกาสเท่านั้น
4)    อย่ารีบทำกำไร  หรือ Let Profit Run นั่นคือ  ถ้าหุ้นยังวิ่งไปเรื่อย ๆ  อย่ารีบขายเสียก่อน  ตรงกันข้าม  ถ้าซื้อหุ้นแล้วขาดทุน  หุ้นตกลงไปเร็ว  อย่ารอหรือพยายามหาเหตุผลที่มันตก  ต้องรีบขายทันที  เขาบอกว่า  “กำไรดูแลตัวมันเองได้  แต่ขาดทุนไม่เคย”  อย่างไรก็ตาม  การ Let Profit Run ไม่ได้แปลว่าซื้อแล้วถือแบบนักลงทุน  เมื่อถึงจุดหนึ่งก็ต้องขาย
5)    เมื่อได้กำไรต้องเก็บเป็นเงินสด  เช่น  ถ้าได้กำไรมาร้อยเหรียญ  ก็ต้องเก็บเป็นเงินสดไว้ในแบ็งค์  50 เหรียญ  อย่าจมอยู่ในหุ้นหรือไปเล่นต่อทั้งหมด  นี่ก็เหมือนกับเวลาเล่นไพ่  ถ้าได้กำไรก็เก็บเงินเข้ากระเป๋าเอาทุนคืนมาก่อน  และนี่ก็เป็นกฏที่ J.L. บอกว่าตนเองผิดพลาดที่ไม่ได้ทำเท่าที่ควร  ทำให้เงินที่ได้มามาก ๆ  ในที่สุดก็เสียคืนกลับไปหมด
และทั้งหมดนั้นก็คือชีวิตและหลักการเก็งกำไรของ ลิเวอร์มอร์ แบบย่อที่สุด ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่นั้น  ชื่อของเขาดูเหมือนจะร้อนแรงและเป็นที่กล่าวขวัญถึงเสมอแม้ว่าโดยธรรมชาติของเขาแล้ว  เขาเป็นคนที่เก็บตัวและทำตัวลึกลับ
การใช้ชีวิตและแนวความคิดในการลงทุนของ J.L. นั้น  Value Investor หลายคนอาจจะไม่เห็นด้วยและไม่เชื่อว่ามันเป็นหลักการที่ถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม  การศึกษาทำความเข้าใจนั้น  ผมคิดว่ามีประโยชน์ไม่น้อย  เหนือสิ่งอื่นใด  VI  กับนักเก็งกำไรนั้น  ต่างก็เล่นอยู่ในตลาดเดียวกัน  บางครั้งก็เล่นหุ้นตัวเดียวกัน  เส้นแบ่งระหว่างนักเก็งกำไรกับ VI นั้น  บางทีก็บางมากจนในบางครั้งเราก็อาจจะไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้น  เราเก็งกำไรหรือลงทุนกันแน่

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ถ้าจะเก็งกำไรแบบเล่นสั้น ไม่ควรเล่นหุ้นตัวเดียว อย่างต่ำๆ ต้อง 5 ตัวขึ้นไป ...ยิ่ง 10 ตัวยิ่งดี ...แต่หลายคนจะบอกว่า มันรวยช้า ...แต่คิดดีๆนะ มัน Safe กว่า และ มันป้องกันความเสี่ยงได้ หากเราเลือกผิด เพราะ มันจะไม่ทำให้เงินทั้งหมดเราเสียหาย เนื่องจากเรากระจายไปหลายตัว ...วิธีเล่นสั้น สุดท้ายก็ต้องพัฒนา การเลือกหุ้น จับจังหวะ หาหุ้น “เข้าวิน ...วิ่งแรง” ...ก็ประมาณนี้ เลือกเอาตัวที่ใช่......ดีกว่านั่งรอจังหวะตัวเดียวคนเล่นสั้นต้องแน่ใจจังหวะนั้นจิงๆแล้วค่อยเข้า  การที่มีตัวเลือกหลายตัวเราก็เลือกเฉพาะที่เรามั่นใจไม่ได้หมายความว่าต้องเข้าทุกตัวพร้อมกัน
ส่วนเล่นยาว “มันคือ การเลือกหุ้นคนละประเภท” ...ซึ่งต้องแยกกันให้ชัดนะครับ ว่าแนวของหุ้นที่เอามาเล่นสั้นกับเล่นยาว มันคนละจังหวะ ...“คิดง่ายๆ แค่นี้เลยว่า การเล่นยาว มันคือ การสวนตลาดคนส่วนใหญ่ ...แล้วก็ถือไปเรื่อยๆ จนกำไร ก็แค่นั้นเอง” -- ความยากของการเล่นยาว คือ คนส่วนใหญ่ทำใจไม่ได้ ...ดังนั้น คนที่จะเล่นยาว ต้องแน่ใจว่า คุณสามารถคิดและทำ ตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ...เพราะ ในเวลาที่คุณซื้อ คนส่วนใหญ่จะกลัว !!
 คำถามต่อไปคือ เวลานี้ หุ้นมันเลวร้ายมากหรือเปล่า ...ใช่ มันดูเลวร้ายมาก สำหรับ นักลงทุนระยะสั้น แต่ในทางกลับกัน นักลงทุนระยะยาวดูว่าเยี่ยมมาก(แต่ไอ้ที่บอกว่าเยี่ยมมาก สำหรับนักลงทุนระยะยาว คือ เยี่ยมมากในอีก 3 ปี ข้างหน้านู่น!!)
“คุณเห็นความแตกต่าง ระหว่างสั้น กับ ยาว หรือยังว่า ทั้งสองแนวทาง มันคิดตรงข้ามกับแบบสุดขั้ว ...แต่ทั้งสองแนว สามารถทำกำไรได้ทั้งคู่นะครับ เพียงแต่จุดซื้อ จุดขาย มันคนละจุด ก็เท่านั้นเอง”
โจทย์แรก คือ เราต้องแยกให้ออกก่อนว่า หุ้นไหน ในจังหวะไหน เหมาะกับเล่นยาว หรือ เล่นสั้น ...แล้วเลือกให้ถูกครับ


วันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ความมั่งคั่ง BY TSI



            เชื่อหรือไม่... คำตอบของคนส่วนใหญ่เกือบร้อยทั้งร้อย จะนึกถึงภาพคนที่มี “รายได้สูงๆ” “มีทรัพย์สินเงินทอง
   มากมาย” หรือ “คนที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย” เป็นลำดับต้นๆ เพราะรายได้และทรัพย์สินเป็นเหมือนสิ่งที่แสดงฐานะ
   ทางสังคม สื่อให้เห็นถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของบุคคล

            จึงไม่ใช่เรื่องแปลก... ที่ทุกวันนี้ เราเห็นผู้คนวิ่งวุ่นอยู่กับการทำงานอย่างหนัก เพื่อหาเงินมาจับจ่ายใช้สอยซื้อข้าวของ
   เครื่องใช้ต่างๆ ไว้สร้างความสุขความสะดวกสบายให้ตนเอง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร หากคนๆ นั้นรู้จักกินอยู่อย่างพอดี
   ไม่พยายามก่อหนี้ และมีเงินเก็บออมพอประมาณ แต่สำหรับคนที่ชอบกินอยู่เกินฐานะ ใช้จ่ายมากกว่าที่หาได้ ดิ้นรนกู้หนี้ยืมสิน
   ผ่อนทุกอย่างในชีวิตเท่าที่จะผ่อนได้ คนเหล่านี้แม้จะมีเฟอร์นิเจอร์รอบกาย แต่หนี้ก็รอบตัว อย่างนี้เราถือว่ายังไม่มั่งคั่ง
   เพราะยังดิ้นรนผ่อนเดือนชนเดือนอยู่
ถ้าอย่างนั้นความมั่งคั่งคืออะไร

         “ความมั่งคั่ง” คือ เงินที่เหลืออยู่ หลังจากที่นำทรัพย์สินทั้งหมดของคุณ ลบด้วยหนี้สินทั้งหมดของคุณ
สรุปง่ายๆ เป็นสมการได้ดังนี้


        ยิ่งคุณมีทรัพย์สินสุทธิมากเท่าใด ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะนำเงินไปต่อยอดสร้างความมั่งคั่งได้มากขึ้นเท่านั้น         


แล้วจะรู้่ได้อย่างไรว่ามั่งคั่งแล้ว

         หลายคนมักจะถามเชิงบ่นว่า “เมื่อไหร่จะรวย” หรือไม่ก็ “เมื่อไหร่จะมั่งคั่ง” เอาเป็นว่า... ก่อนจะมั่งคั่ง
เราต้องอยู่รอดให้ได้ก่อน ดูง่ายๆ จาก “อัตราส่วนความอยู่รอด”

         ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำกว่า 1 แสดงว่าเราไม่สามารถอยู่รอดได้ เพราะมีรายได้น้อยกว่ารายจ่าย แต่ถ้าอัตราส่วนนี้มากกว่า 1
แสดงว่าเราสามารถดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้
         หากอยู่รอดได้แล้ว วิธีที่จะทำให้รู้ว่าคุณมั่งคั่งและมีอิสรภาพทางการเงินแล้วหรือยัง ดูได้จาก...

้จากทรัพย์สินมากพอที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายได้โดยไม่เดือดร้อน แบบนี้แหละ... ที่เรียกว่า “อิสรภาพทางการเงิน” ที่ทุกคนใฝ่ฝันหา         ถ้าคุณมีอัตราส่วนความมั่งคั่งมากกว่า 1 ก็พอจะบอกเป็นนัยๆ ได้ว่าแม้คุณจะไม่ทำงาน คุณก็ยังมีรายได้

         โดย “อิสรภาพทางการเงิน” คือ การมีหลักประกันทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอที่จะใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย
ตามสมควรแก่อัตภาพ โดยไม่ต้องพึ่งพาใครมากจนเกินไป และไม่ต้องหวาดผวากับเรื่องเงินๆ ทองๆ ว่าจะมีไม่พอกับ
การจับจ่ายใช้สอยเพื่อดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ

         แต่อย่าลืมว่า... แม้คุณจะหาเงินได้มากแค่ไหน หากใช้หมด ก็หมดทางมั่งคั่ง ดังนั้น นอกจากการทำงานหาเงิน
แล้ว คุณยังต้องให้ความสำคัญกับการวางแผนชีวิตและแผนการเงินในทุกๆ ด้านด้วย ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมค่าใช้จ่าย
การบริหารหนี้สิน การออมเงินเพื่อเป้าหมายในอนาคต รวมถึงการทำประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยง การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างคุ้มค่า และการลงทุนเพื่อต่อยอดเงินออมให้งอกเงยขึ้น 
ซึ่งเส้นทางที่จะนำพาคุณไปสู่ความมั่งคั่งอย่างที่ฝันไว้ประกอบไปด้วย 4 ขั้นตอนง่ายๆ ได้แก่






               “การสร้างความมั่งคั่ง” (Wealth Creation) 
เป็นด่านแรกที่คุณจะต้องฟันฝ่าไปให้ได้หากอยากมั่งคั่ง ร่ำรวย
   หรือมีอิสรภาพทางการเงินอย่างที่ฝันไว้ ซึ่งคนที่จะสร้างความมั่งคั่งได้ต้อง “รู้หา รู้เก็บ รู้ใช้ และรู้ขยายดอกผล”    อย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นนิสัย

               แต่คนส่วนใหญ่ไม่เป็นเช่นนั้น... บางคนหาเงินได้เยอะ ก็ใช้เยอะ เปลี่ยนมือถือเป็นว่าเล่น ใส่เสื้อผ้าอินเทรนด์
   ตามกระแส ไม่ใส่ใจที่จะออม ส่วนบางคนบอกอยากออม แต่เงินจะกินในแต่ละเดือนยังแทบไม่พอ จะเอาที่ไหนมาออม

               เอาละสิ... ยังไม่ทันเริ่มก็ดูท่าว่าจะแย่เสียแล้ว แบบนี้ความมั่งคั่ง ร่ำรวย คงไม่เฉียดมาใกล้เราเป็นแน่
               ถ้าอย่างนั้น... ลองปรับเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการจัดการเงินทองซะใหม่ สลัดความคิดแบบเดิมๆ ให้สิ้นซาก
   แล้วหันมาสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองด้วยการ “วางแผนใช้จ่ายและบริหารหนี้สิน” ให้มี “เงินเก็บออม” ก่อน
   นั่นแหละ... หัวใจสำคัญของการสร้างความมั่งคั่ง
               พยายามคิดไว้เสมอว่า “ทุกๆ 1 บาท ที่ประหยัดได้ในวันนี้ เหมือนคุณมีเงินออมเพิ่มขึ้นอีก 1 บาท
   ที่สามารถต่อยอดเพิ่มพูนความมั่งคั่งได้ในอนาคต”





        เพราะ “เงิน” มีบทบาทสำคัญไม่เฉพาะการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน หรือเป็นเครื่องวัดค่าสิ่งของต่างๆ
แต่เงินยังสามารถสะสมเพื่อเพิ่มค่าได้ในอนาคต “การวางแผนการเงิน” อย่างเหมาะสมจะช่วยให้เราสามารถ
จัดการกับเรื่องเงินๆ ทองๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการบรรลุเป้าหมายชีวิต

       และเพราะ “เงิน” เข้ามามีส่วนช่วยอำนวยความสะดวกในการหาซื้อสิ่งของ
จำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน เราจึงควรให้ความสำคัญกับการวางแผนการเงิน
เหมือนเป็นกิจกรรมหนึ่งในชีวิตประจำวัน เพื่อให้มีชีวิตที่ดี และมีความสุข
ในบั้นปลายชีวิต

       อาจเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ค้นเคยกับ “การใช้เงิน” ก่อนที่จะ “หาเงินได้”
โดยพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้เงินเราใช้ตั้งแต่เรายังเป็นเด็ก
 เราจึงมีความสุขจากการ
ใช้เงินทั้งที่ยังหาเงินไม่ได้
 ต่อมาเมื่อเราหาเงินได้เองการจากทำงาน
ปัญหาทางการเงินจึงเกิดขึ้น เพราะคิดว่าการหาเงินได้มากขึ้นจะสร้างความสุข
ความสะดวกสบายในชีวิตได้มากขึ้น แต่กลายเป็นว่าเงินที่หาได้เพิ่มขึ้น
กลับไม่เคยเพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเลย
        การไม่รู้จักบริหารจัดการค่าใช้จ่ายของตนเองให้เหมาะกับเงินที่หามาได้ การใช้เงินโดยไม่มีเป้าหมาย
ทางการเงินอย่างเหมาะสม การไม่รู้จักทางเลือกในการรักษาและเพิ่มมูลค่าของเงิน รวมทั้งความไม่มีวินัยทางการเงิน

อาจทำให้เราต้องทำงานหนักไปตลอดทั้งชีวิตเพียงเพื่อให้มีเงินใช้จ่ายเฉพาะหน้า
        การวางแผนการเงินเป็นทักษะชีวิตที่จำเป็นสำหรับทุกคน เราควรมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการวางแผน
การเงินของตนเองอย่างรอบด้าน ทั้งในการหาเงิน การใช้เงิน การเก็บรักษา และการเพิ่มมูลค่าเงินอย่างชาญฉลาด
ทีสำคัญเราต้องลงมือปฏิบัติ เพื่อสร้างนิสัยทางการเงินที่ดี... ใครอยากสบายทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า คงต้องเริ่ม
วางแผนการเงินตั้งแต่เดี๋ยวน
ี้

คุณล่ะ... คิดจะวางแผนการเงินบ้างหรือยัง?
        คนส่วนใหญ่พอจะไปเที่ยวก็เริ่มจินตนาการไปไกล... อยากไปเที่ยวไหน จะไปกับใคร จะไปอย่างไร จะพกเงิน
ไปเท่าไหร่ จะไปกี่วัน ฯลฯ สารพัดสารพันคำถามที่ผุดขึ้นมาในสมอง หากใครที่เตรียมตัวและวางแผนมาอย่างดี ย่อมได้
ชมของดี ได้ชิมของดัง ทั้งยังไม่พลาดจุดสำคัญต่างๆ เรียกได้ว่าเที่ยวกันอย่างคุ้มค่าเลยทีเดียว 

        “การวางแผนการเงิน” ก็เหมือนกับการวางแผน
ท่องเที่ยวที่ต้องมีจุดสตาร์ทในใจก่อน จึงจะสามารถเดินทาง
สู่เป้าหมายที่ต้องการได้โดยไม่หลงทาง ซึ่งขั้นตอนการวางแผน
ก็ไม่่ยากเย็นอะไร เพียงเริ่มจาก...


“สำรวจตนเอง” เพื่อให้รู้ว่า “ตอนนี้สุขภาพทางการเงิน
ของเราเป็นอย่างไร” 
ฟิตหรือฟุบ “แล้วสถานะทางการเงิน
ล่ะ... เป็นอย่างไร” 
เงินออมท่วมหรือหนี้ท่วม

          ต่อมาจึงเริ่ม “กำหนดเป้าหมาย” เพราะเป้าหมายจะคอยนำทางให้คุณไปสู่สิ่งที่ฝันไว้ ซึ่งเป้าหมายของ
แต่ละคนจะแตกต่างกันไป แต่ไม่ว่าเป้าหมายของคุณจะเป็นอะไร อย่าลืมกำหนดเป้าหมายทางการเงินให้สอดคล้อง
กับเป้าหมายชีวิตด้วย เพราะหากไม่มีเงิน เป้าหมายที่ฝันไว้ก็คงจะเป็นไปได้ยาก



จากนั้นก็ถึงเวลา “สร้างแผนการเงิน”ให้้เป็นรูปธรรม พร้อม "ปฏิบัติตามแผนอย่างมีวินัย” เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่ฝันไว้อย่าปล่อยให้กิเลสครอบงำทำลายแผนการเงินให้ล้มลงไม่เป็นท่า

 สุดท้าย... ต้องหมั่น “ทบทวนและปรับปรุงแผนอย่างสม่ำเสมอ” เพื่อให้การเดินทางไปยังเป้าหมาย
ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด



คุณคิดว่า... ขั้นตอนไหนยากที่สุดสำหรับคุณ?
        คุณเชื่อหรือไม่... การเขียนเป้าหมายลงบนกระดาษ หรือหาภาพมาติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่คุณเห็นได้อย่างชัดเจน
จะมีส่วนช่วยกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้คุณเก็บออมเงินเพื่อทำเป้าหมายนั้นกลายเป็นจริงขึ้นมาได้ ลองมาเขียน
เป้าหมายชีวิตในแต่ละช่วงอายุกันดีกว่า!!!




คุณเคยเขียนเป้าหมายที่ต้องการลงบนกระดาษบ้างหรือไม่?


ไม่วางแผนการเงิน
ไม่มีเป้าหมายทางการเงินทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ใช้จ่ายแบบไม่วางแผน
ทั้งการจ่ายซื้อของชิ้นใหญ่และซื้อของกินของใช้ในชีวิตประจำวัน

ไม่รู้ว่ามีเงินสดเท่าไร
เพราะได้เงินมาก็ใช้ไป เงินหมดก็กด ATM ไปเรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าใช้เงินเดือนละเท่าไร 
ไม่รู้ว่าใช้จ่ายเป็นค่าอะไรบ้าง

เหนียวหนี้
โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต เพราะการจ่ายหนี้ขั้นต่ำจะทำให้ต้องจ่ายดอกเบี้ยมหาศาล

ใช้ก่อนเก็บ
เพราะมักลงเอยด้วยการใช้เงินจนหมดไม่เหลือเก็บ

จนแต่ไม่เจียม 
ชอบใช้จ่ายเงินเกินตัว มีรสนิยมสูงเกินรายได

ไม่สนใจดอกเบี้ย 
ค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย

ลงทุนแบบไม่มีความรู้ 
ลงทุนตามข่าว ตามกระแส ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการลงทุนดีพอ

ไม่มีการจัดสรรสินทรัพย์หรือ Asset Allocation ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการเพิ่มพูนความมั่งคั่ง


คุณล่ะ... มีนิสัยที่ไม่ค่อยดีทางการเงินกี่ข้อ? แล้วคุณจะปรับปรุงอย่างไร?
         
              เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยฝันเช่นนี้ เพราะนี่คือความฝันสุดแสนจะเบสิคที่ใครๆ ก็อยากมี แต่ก็ต้องยอมรับว่าความฝัน
    แต่ละอย่างไม่ใช่ของถูกๆ และต้องแลกมาด้วย “เงิน” มากมาย แถม “การใช้จ่าย” ก็ดูจะสนุกสนานกว่า “การเก็บออม”    เป็นไหนๆ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใด... เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า ความฝันเหล่านั้นก็ยังไม่เป็นจริงเสียที!!!

              เอาเป็นว่า... ใครอยากทำให้ฝันเป็นจริง แต่ไม่รู้จะเริ่มต้นวางแผนชีวิตและจัดระบบระเบียบการเงินของตนเอง
    จากตรงไหน ลองเริ่มจาก “แปลงความฝันให้กลายเป็นเป้าหมาย” ตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราอยากออมเงินไปเพื่ออะไร
    เพราะถ้าคุณรู้เป้าหมายว่าจะออมไปเพื่ออะไร คุณก็จะสามารถคาดคะเนได้ว่า... คุณต้องใช้เงินเท่าใด ต้องออมนาน
    แค่ไหน ต้องทำอย่างไร หรือต้องใช้วิธีไหนจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้น 


              วิธีแปลงความฝันให้เป็นเป้าหมายก็ง่ายๆ แค่ถ่ายทอดสิ่งที่คิดและฝันเอาไว้ลงบนกระดาษ อาจเขียนเป็นตัวหนังสือ
    หรือหาภาพมาติดไว้ตามที่ต่างๆ ที่คุณจะเห็นอย่างชัดเจน การทำให้เห็นเป็นรูปธรรมเช่นนี้... นอกจากจะช่วยให้ “เป้าหมาย”    ไม่กลายเป็น “เป้าหาย” แค่ชั่วข้ามคืนแล้ว ยังช่วยตอกย้ำจิตใต้สำนึกของคุณให้จดจำและช่วยกระตุ้นให้คุณเดินหน้าทำฝัน
    ให้เป็นจริงด้วย



เป้าหมายไม่จำเป็นต้องมีเพียงหนึ่งเดียว คุณอาจกำหนดเป้าหมายที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงเวลาได้ เพียงแต่ต้องรู้จักจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายต่างๆ ตามความจำเป็นในชีวิต ไล่เรียงตั้งแต่สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรก อันดับรองลงมา และเรื่อยไปจนถึงอันดับสุดท้าย

แล้วรู้หรือไม่ว่า...เป้าหมายที่ดีต้องมีหน้าตาอย่างไร?

เป้าหมายที่ดีต้องมีความชัดเจน วัดผลได้ทำสำเร็จได้ เป็นไปได้ และมีระยะเวลากำหนดไว้อย่างชัดเจน แน่นอน หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า “SMART Goals” นั่นเอง

 แต่เอ๊ะ!!! สงสัยจัง...ทำไมต้อง SMART? แล้วSMART ย่อมาจากอะไร?เรามาดููความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำว่า “SMART” กันดีกว่า

              อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าคุณยังนึกเป้าหมายที่ดีของตนเองไม่ออก เราจะบอกใบ้ให้คร่าวๆ สมมติว่าเป้าหมายของคุณคือ
    “เก็บเงินดาวน์บ้านในฝัน” ก็แล้วกัน

              เป้าหมายนี้... จัดว่าเป็นเป้าหมายที่น่าสนใจ แต่ยังไม่เรียกว่าเป็นเป้าหมายที่ดีหรอกนะจนกว่าคุณจะเติมข้อความ
    ที่ชัดเจนกว่านี้ลงไปในเป้าหมาย เช่น...

              หากคุณมีเงินเดือน 20,000 บาท เป้าหมายนี้อาจจะดูเป็นไปไม่ได้หรือเป็นไปยากสักหน่อย เพราะคุณจะมี
    เงินกินเงินใช้เพียงเดือนละ 5,000 บาทเท่านั้น แต่หากในแต่ละเดือนคุณไม่มีภาระค่าใช้จ่ายใดๆ สามารถใช้จ่ายเดือนละ
    5,000 บาทได้อย่างสบายๆ ก็ถือว่าเป้าหมายนี้เป็นเป้าหมายที่ดี มีคุณลักษณะทั้งห้าครบหมดและคุณก็เห็นชัดด้วย
    ว่าคุณจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้

              เมื่อมีเป้าหมายชีวิตที่ดีและชัดเจนแล้ว คราวนี้... ก็ถึงเวลาลงมือออมให้สอดรับกับเป้าหมายที่วางไว้ แต่สิ่งที่
    ขาดไม่ได้เลยเมื่อคิดจะออมก็คือ ความ “ตั้งใจ” ที่จะออมอย่างจริงจัง หลายคนตั้งท่าออมเสียดิบดี แต่พอเอาเข้าจริงๆ
    กลับตกม้าตายไปไม่ถึงฝั่งฝัน เพราะออมบ้างไม่ออมบ้าง ท้ายสุดเป้าหมายการออมของคุณก็ล้มลงไม่เป็นท่า เพราะขาด
    “วินัย” ทางการเงิน

    หมั่นท่องคาถานี้เข้าไว้ “ตั้งเป้า ตั้งใจ มีวินัย” เชื่อสิว่า... เส้นชัยแห่งการออมรออยู่ข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็ว สักวันต้องไปถึ


          
ชีวิตคนเราต้องเผชิญกับความเสี่ยงรอบด้าน ใครจะรู้... ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างอุบัติเหตุหรือเจ็บไข้ได้ป่วย
   จะเกิดกับคุณและครอบครัวเมื่อไหร่ หากคุณไม่ได้เตรียมการรับมือเอาไว้ ทรัพย์สินเงินทองที่เก็บสะสมมาตลอดชีวิตอาจ
   หมดไปเพียงเพราะถูกสารพันความเสี่ยงทั้งหลายจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัว

         
           ทางที่ดี... คุณควรหาตัวช่วยเพื่อ “ปกป้องความมั่งคั่ง” (Wealth Protection)
ให้อยู่กับคุณไปนานๆ พร้อมทั้งเลือกวิธีจัดการความเสี่ยงต่างๆ อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะใช้ชีวิต
อย่างเรียบง่ายเพื่อลดความเสี่ยง หลีกเลี่ยงกิจกรรมอันตรายทั้งหลายทั้งปวง รวมถึงรู้จักถ่ายโอน
ความเสี่ยงด้วย“การทำประกันภัย” ติดไม้ติดมือเอาไว้บ้าง แม้วิธีการเหล่านี้จะไม่สามารถขจัด
ความเสี่ยงทุกชนิดให้หมดไปจากชีวิตเราได้ แต่ก็น่าจะช่วยสร้างความมั่นใจว่า... เรายังมีตัวช่วย
บรรเทาความสูญเสียทางการเงินได้ในระดับหนึ่ง
          นอกจากเรื่องราวไม่คาดฝันที่อาจมาเคาะประตูบ้านเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อีกเหตุการณ์หนึ่งที่หลายคนคิดไม่ถึงว่าจะเป็น
   ความเสี่ยงในชีวิตนั่นคือ การมีเงินไม่พอใช้ในวัยเกษียณ ใครที่เคยคิดว่าไม่ต้องสะสมเงินออมอะไรให้มันเยอะหรอก ไม่รู้จะได้ใช้
   ตอนแก่รึเปล่า เผลอๆ จะขึ้นสวรรค์ไปซะก่อน อ๊ะอ๊ะ... ขอบอกว่าประมาทได้ที่ไหน เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็อายุยืนกันทั้งนั้น
   ยิ่งบางคนอยู่ถึงร้อยกว่าปีเลยทีเดียว เชื่อว่าถ้าอายุยืนแล้วไม่มีเงินใช้ คงจะน่ากลัวกว่าสิ่งอื่นใดเป็นแน่แท้

          ดังนั้น “การวางแผนเกษียณ” ซะตั้งแต่วันนี้ จึงเป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่จะทำให้คุณมีเงินพอใช้อย่างสุขสบายในช่วง
   บั้นปลายของชีวิต หากคุณเอาแต่ผัดวันประกันพรุ่งโดยไม่ทำอะไรเลย กว่าจะรู้ตัวว่ามีเงินไม่พอใช้ตอนเกษียณก็คงสายไป
   เสียแล้ว!!!
          เมื่อรู้ตัวว่าต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความเสี่ยงและเลี่ยงได้ไม่พ้น สู้หาอะไรป้องกันความเสี่ยงไว้ไม่ดีกว่าหรือ?
   อย่างน้อยยังช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้


         
             หลายปีที่ผ่านมา... อัตราเงินเฟ้อพุ่งพรวดแซงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจนแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นทีลำพังการออมเงิน
    ไว้ในธนาคารเพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถทำให้คุณไปถึงฝั่งฝันหรือมั่งคั่งอย่างที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะเงินออมเติบโตไม่ทัน
    ราคาสินค้าและค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น

            เอาเป็นว่า... ถ้าวันนี้เงินของคุณยังนอนนิ่งๆ อยู่ในบัญชีเงินฝาก ทำไมไม่ลองปล่อยให้ออกมายืดเส้นยืดสายทำงาน
    แทนคุณกันดูบ้าง เพราะยังมีทางเลือกอื่นๆ อีกมากมายที่จะช่วย “เพิ่มพูนความมั่งคั่ง” (Wealth Accumulation)
    ให้คุณได้
             “การวางแผนลงทุน” จึงกลายเป็นพระเอกคนสำคัญของเรื่องนี้ เพราะการลงทุนเปรียบเสมือนทางด่วนสู่ความมั่งคั่ง
    การออกตัวที่ดี ตั้งต้นได้เร็ว และเดินตามแผนที่วางไว้ ย่อมช่วยให้ถึงเส้นชัยได้สมดังใจหวัง
             นอกจากนี้ การใส่ใจเรื่องภาษีก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้คุณได้เช่นกัน เพราะ “การวางแผน
    ภาษี”
 ช่วยลดภาระภาษีของคุณให้น้อยลง เมื่อเสียภาษีน้อยลง คุณก็จะมีเงินออมและลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งให้มากยิ่งขึ้น     ยิ่งในปัจจุบันมีช่องทางการออมการลงทุนหลายประเภทที่ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี ไม่ว่าจะเป็นกองทุนรวมหุ้นระยะยาว     (LTF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) หรือการทำประกันชีวิต ฯลฯ ซึ่งคุณไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยประหยัด
    ภาษีในแต่ละปีลงได้แล้ว ยังถือเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มพูนความมั่งคั่งในระยะยาวให้คุณด้วย


          
หลังจากที่คุณได้สร้างและสะสมความมั่งคั่งของตนเองมาระดับหนึ่ง ก็ถึงเวลาคิดและถามตัวเองว่าตอนนี้คุณมีทรัพย์สิน
   อะไรบ้าง?แต่ละอย่างมีมูลค่าเท่าไหร่? หรือหากวันนี้คุณเป็นอะไรไป ทายาทจะได้รับมรดกอย่างที่คุณอยากยกให้หรือไม่?
           เป็นไปได้ว่า... ถ้าคุณไม่ได้มีการวางแผนและตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่คุณยังมีชีวิตอยู่ ทรัพย์สมบัติ ิ   ของคุณอาจตกไปอยูู่่กับคนที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะมอบให้ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นตามข่าวหน้าหนึ่งอยู่บ่อยๆ... ญาติพี่น้อง
   ทะเลาะกันเพื่อแย่งชิงมรดก หรือลูกนอกสมรสออกมาเรียกร้องสิทธิในทรัพย์สมบัติ หนักเข้าก็ถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล
   เป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โต เสียทั้งชื่อเสียงและค่าใช้จ่ายจำนวนมาก


      
 “การส่งมอบความมั่งคั่ง” (Wealth Distribution) จึงเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่มีความสำคัญ
ไม่แพ้ขั้นตอนอื่นๆ ในการบริหารจัดการความมั่งคั่ง เพราะจะช่วยให้สิ่งที่คุณสร้างสมและเก็บรักษามา
ตลอดชีวิตถูกจัดสรรให้แก่คนที่คุณรัก ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือแม้กระทั่งการแบ่งปัน ให้กับผู้อื่นตามที่คุณต้องการ โดยหัวใจหลักของการส่งมอบความมั่งคั่งก็คือ “การวางแผนมรดก” 
ที่จะช่วยส่งผ่านความมั่งคั่งร่ำรวยจากรุ่นสู่รุ่น แถมยังช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมด
จะถูกสืบทอดไปตามเจตนารมณ์ของคุณ
         ที่จริงแล้ว... การส่งมอบความมั่งคั่งไม่ได้เป็นเรื่องของการส่งต่อทรัพย์สินให้แก่ทายาทเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง    "การแบ่งปันให้ผู้อื่น” ทั้งในยามปกติ เช่น การบริจาคให้มูลนิธิ องค์กรสาธารณกุศล ผู้ที่มีน้อยหรือด้อยโอกาสกว่า และ
   คราวจำเป็นเมื่อมีภัยพิบัติขึ้น เช่น แผ่นดินไหว ไฟไหม้ น้ำท่วม ฯลฯ ซึ่งการแบ่งปันเหล่านี้... นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือผู้อื่น
   ยามเดือดร้อนและช่วยให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว ยังสุขใจทั้งผู้ให้ อิ่มใจทั้งผู้รับด้วย

ขอบพระคุณความรู้ดี จาก TSI

คุณสมบัติ 8 ประการสู่ความสำเร็จ



คุณสมบัติ 8 ประการสู่ความสำเร็จ 

ในการที่จะเล่นกีฬาให้ชำนาญจนมีความสามารถเป็นที่ยอมรับกัน และจนถึงขนาดชนะได้รางวัลนั้น นอกจากผู้เล่นจะต้องมีทักษะพื้นฐาน
ที่ดีแล้ว ยังต้องฝึกฝนตัวเองอย่างสม่ำเสมออีกด้วย จะเห็นว่าผู้ประสบความสำเร็จและเป็นผู้ชนะมักจะมีสไตล์ในการเล่นที่แตกต่างกัน 
ไม่มีสไตล์ไหนที่ชนะตลอดหรือแพ้ตลอด

ในการลงทุนก็เช่นเดียวกัน เราจะต้องพยายามหาสไตล์การเล่นที่เหมาะกับตัวเราและมีความเชื่อมั่นว่าจะทำให้เราชนะในเกมการลงทุน และค่อยๆ พัฒนาจนมีสไตล์ของตนเองที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร ใครจะรู้ สไตล์การลงทุนของตัวคุณเองอาจจะประสบ
ความสำเร็จอย่างสูงในอนาคตก็ได้ นักลงทุนระดับ “ปรมาจารย์” ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีคุณสมบัติที่เหมือนๆ กันอยู่ 8 ประการด้วยกัน คือ
คุณสมบัติ #1 : มีความรอบรู้ (Breadth)
จากการศึกษาพบว่าผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนมักมีความกระตือรือร้น สนใจเรื่องราวต่างๆ รอบตัว นอกจากข้อมูลซึ่งเกี่ยวข้องกับการลงทุนโดยตรงแล้ว พวกเขายังให้ความสนใจกับสิ่งอื่นๆ ด้วย เช่น George Soros มีความสนใจเรื่องปรัชญาและได้เข้าไปทำกิจกรรมหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเมืองระดับโลกด้วย นักลงทุนที่ดีต้องเป็นผู้ที่มีความสนใจที่หลากหลาย ไม่ตีกรอบตัวเองอยู่เฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะในโลกทุกวันนี้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันสูงมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในซีกโลกหนึ่ง อาจส่งผลกระทบต่อ
ประเทศอื่นๆ อย่างกว้างขวาง แม้แต่ประเทศที่อยู่ในอีกซีกโลกหนึ่งก็อาจได้รับผลกระทบอย่างมากและรวดเร็วอย่างคาดไม่ถึง เช่น
กรณีวิกฤต “ต้มยำกุ้ง” ที่เกิดกับประเทศไทย ปี 2540 นั้นได้ส่งผลสะเทือนต่อระบบการเงินไปทั่วโลก เป็นต้น
คุณสมบัติ #2 : ช่างสังเกต (Observation)
นักลงทุนที่ดีควรจะสวมวิญญาณนักสืบ เป็นคนที่ช่างสังเกต ใส่ใจในรายละเอียด รวมทั้งต้องจดจำข้อมูลที่สำคัญๆ ของหุ้นต่างๆ ได้
ยิ่งคุณจำรายละเอียดได้มากเท่าใด คุณจะยิ่งมีความสามารถในการวิเคราะห์ แยกแยะ รวมทั้งประเมินผลกระทบภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วกว่าคนอื่น กล่าวกันว่า Warren Buffet นั้น เป็นคนช่างสังเกตและสามารถจดจำรายละเอียดของข้อมูลต่างๆ ของบริษัทที่เขาไปลงทุนได้มากมายอย่างน่าทึ่ง ราวกับว่าตัวเขาเป็นเหมือน “สารานุกรมเคลื่อนที่” ทีเดียว
คุณสมบัติ #3 : ไม่มีอคติ (Objectivity) 
นักจิตวิทยาได้ชี้ให้เห็นว่ามนุษย์นั้นเป็น “สัตว์สังคม” เมื่อได้มารวมกลุ่มกันเข้าแล้ว เพื่อจะไม่ให้เกิดปัญหาทางสังคมกับผู้อื่น จึงมี
ความโน้มเอียงที่จะตัดสินใจทำเรื่องต่างๆ ในลักษณะที่คล้อยตามกระแสที่คนส่วนใหญ่นิยมทำกัน ทำให้เกิดพฤติกรรม “สัญชาติญาณ
ฝูงสัตว์” (herd instinct) เหมือนกับสัตว์ต่างๆ ที่มักจะคล้อยตามจ่าฝูง นักลงทุนที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีความคิดที่เป็นอิสระ และไม่ยอมให้ความคิดของตัวเองถูกครอบงำโดยกระแสของคนส่วนใหญ่ เพราะว่าความผิดพลาดเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จนกลายเป็นพฤติกรรมที่สามารถคาดคะเนได้ล่วงหน้า
คุณสมบัติ #4 : รักษาวินัย (Discipline) 
นักลงทุนจะต้องมีความอดทนในการรอคอย เพราะโอกาสดีๆ หรือความคิดดีๆ สำหรับการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงๆ นั้นไม่ได้เกิดขึ้น
ทุกวัน เช่น Warren Buffet ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีวินัยในการลงทุนสูงมาก เขาเคยบอกว่าเคล็ด (ไม่) ลับของความสำเร็จในการลงทุน
ของเขาก็คือต้องรู้จักอดทนอดกลั้น รอคอยโอกาส ไม่ตัดสินใจตามกระแส และเมื่อโอกาสนั้นมาถึงต้อง “หวดให้สุดแรง” (ภาษา
นักเบสบอล ซึ่งเป็นกีฬาที่คนอเมริกันชอบมาก) เพราะโอกาสดีๆ ที่จะผ่านเข้ามาในชีวิตของคนเรานั้น มีไม่บ่อยครั้งนัก
คุณสมบัติ #5 : มีความลึก (Depth) 
โดยปกติ “ความลึก” จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคนเรามีสมาธิ ซึ่งจะทำให้เราสามารถเพ่งความคิดให้แน่วแน่อยู่ที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง (focus) และสามารถคิดได้อย่างมีอิสระ Soros จะไม่ยอมให้มีใครรบกวนเลยเวลาที่เขาทำการซื้อขายอยู่ แม้ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเพราะมีข่าวใหญ่บางอย่างเข้ามากระทบ เขาก็ยังไม่ยอมให้ใครคนไหนเข้าพบเพื่อมาสรุปข้อมูลและวิเคราะห์ผลกระทบให้ฟัง จนกว่าเขาจะได้ “จัดการ” กับการลงทุนของเขาให้เรียบร้อยเสียก่อน
คุณสมบัติ #6 : มีความคิดสร้างสรรค์ (Creativity) 
ในการลงทุน นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องเห็นภาพรวมของสิ่งต่างๆ เช่น สภาวะเศรษฐกิจส่วนรวมของไทย เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจต่างๆ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่สำคัญต่างๆ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน ราคาน้ำมันด้วย มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถคว้าโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ หรือไม่สามารถจัดการกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อลดทอนความเสียหายได้
คุณสมบัติ #7 : มีฉันทะในสิ่งที่ทำ (Passion) 
นักลงทุนระดับปรมาจารย์ทุกคน “รัก” อาชีพการลงทุน พวกเขามีความสุขกับการได้ทำในสิ่งที่ทำมากกว่าจะคิดเรื่องของผลตอบแทน
ที่ได้ Warren Buffet เคยพูดว่าตัวเขาเองว่า...Enjoy the process rather than the proceeds… รู้สึกสนุกกับการทำให้ “ได้ผล” มากกว่าจะคำนึงถึง “ผลได้”
คุณสมบัติ #8 : มีความยืดหยุ่น (Flexibility) 
ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนนั้น ต้องเปิดใจพร้อมที่จะยอมรับข้อมูลใหม่ๆ และโลกทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขารู้ดีว่าการที่ยึดติดกับความคิด/ความเชื่อบางอย่างตายตัวเกินไปอาจเป็นการโยนทิ้งโอกาสดีๆ ที่ผ่านเข้ามา (ตกเครื่องบิน) หรือทำให้เกิดผลเสียหายร้ายแรงต่อการลงทุน (เครื่องบินตก) ก็ได้ ประเด็นก็คือ นักลงทุนที่ประสบกับความสำเร็จ
จะต้องกล้าที่จะยอมรับความจริง ถ้าหากพบว่ามีการตัดสินใจผิดพลาดก็ต้องยอม “ตัดขาดทุน” (cut losses) เสียแต่เนิ่นๆ แต่เมื่อตัดสินใจถูกต้องแล้ว ก็ต้องรู้จักปล่อยให้ “กำไรเพิ่มพูน” (run profits) ด้วยการไม่รีบขายหุ้นนั้นทิ้งไปด้วย
ทั้งหมดนี้คือคุณสมบัติที่นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมีอยู่คล้ายกัน หากท่านเป็นผู้หนึ่งที่สนใจในการลงทุนเพื่ออิสรภาพทางการเงิน
ในอนาคต สามารถนำคุณสมบัติเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้กับการลงทุนของตนเอง และหากสนใจที่จะเรียนรู้กลยุทธ์การลงทุน และการบริหารเงินส่วนบุคคล ไม่ควรพลาดหนังสือชุด อยากรวย ต้องรู้ เคล็ด (ไม่) ลับ สู่....อิสรภาพทางการเงิน ทั้ง 4 เล่ม จากตลาดหลักทรัพย์
แห่งประเทศไทย

By TSI

การลงทุนคืออะไร


“การลงทุน” คือ การที่เราใช้จ่ายเงินสดรูปแบบหนึ่งในปัจจุบัน โดยมุ่งหวังจะได้รับ

ผลตอบแทนจากการใช้จ่ายนั้นในอนาคต ซึ่งผู้ลงทุนเชื่อว่าเงินสดหรือผลตอบแทน
ส่วนเพิ่มที่จะได้รับคืนนั้น จะสามารถชดเชยระยะเวลา อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงที่
อาจเกิดขึ้นได้อย่างคุ้มค่า หรืออาจกล่าวได้ว่า 
        “การลงทุน” หมายถึง การออมเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่มากขึ้น ซึ่งเราจะต้องยอมรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน การตัดสินใจนำเงินออมมาลงทุน เราจึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และศึกษาหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้รับผลตอบแทน
ตามที่คาดหวังไว้และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นจากการลงทุน.

ในตลาดการเงินปัจจุบัน มีทางเลือกสำหรับการลงทุน

ให้เราเลือกมากมาย ทั้งสินทรัพย์ทางการเงิน
(Financial Assets) 
ประเภทพันธบัตร หุ้นกู้ 

หุ้นทุนกองทุนรวมประเภทต่างๆ หรือ สินทรัพย์ที่จับต้องได้
(Tangible Assets)
 เช่น ทองคำ ที่ดิน อาคาร เพชรนิลจินดา 

เครื่องประดับ การมีความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ที่จะลงทุน
จึงมีความสำคัญต่อเรามาก การลงทุนโดยไม่มีความรู้ หรือไม่เข้าใจในเรื่องความเสี่ยงและทางเลือกในการลงทุนดีพอ ถือเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด




การลงทุนอย่างถูกวิธีและมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องจะช่วยให้เรามีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นและสร้างความมั่งคั่งได้รวดเร็วขึ้น การลงทุนที่มี

การกระจายการลงทุนอย่างดียังช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของผลตอบแทนที่จะได้รับ จึงมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เราบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น

นอกจากนี้ เงินลงทุนยังมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย เพราะเงินส่วนนี้จะหมุนเวียนไปยังผู้ขาดแคลนเงินทุนหรือผู้ที่ต้องการเงินทุนผ่านตัวกลางทางการเงินหลากหลายรูปแบบในระบบการเงิน ให้ได้นำไปใช้ในการพัฒนาหรือขยายธุรกิจ ทั้งในรูปของเงินให้กู้หรือเงินลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ 

ธุรกิจต้องการเงินทุนเพื่อการเริ่มธุรกิจ การสร้างโรงงาน การซื้อเครื่องจักร การจ้าง
แรงงาน การซื้อวัตถุดิบ การขยายการผลิต รวมทั้งการลงทุนในโครงการของหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งการผลิตและการลงทุนเหล่านี้จะก่อทำให้เกิดการจ้างแรงงาน และส่งผล
ต่อเนื่องไปสู่ธุรกิจภาคส่วนอื่นๆ การลงทุนจึงเป็นตัวสะท้อนความมั่งคั่งของประเทศที่สำคัญอีกด้วย


งานวิจัยของ Marilyn MacGruder Barnwall แห่ง MacGruder Agency
แบ่งประเภทของนักลงทุนตามระดับความเสี่ยงที่รับได้ ออกเป็น 2 ประเภท คือ



  • นักลงทุนประเภทรอรับผล (Passive Investor) ที่จะหลีกเลี่ยง
    ความเสี่ยงหรือยอมรับความเสี่ยงได้ไม่มากนัก จึงมักจะลงทุนผ่าน
    การจัดการลงทุนโดยมืออาชีพ
  • นักลงทุนประเภทมุ่งหวังผล (Active Investor) ที่เห็นว่ามีโอกาสในการลงทุนเสมอ จึงชอบความเสี่ยง และมักจัดการลงทุน
    ด้วยตนเอง

การกำหนดจำนวนเงินลงทุนที่เหมาะสม เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลงทุน การนำเงินออมหรือเงินสำหรับ
การใช้จ่ายมาลงทุนมากเกินไป
 อาจจะทำให้เราประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง กดดันตัวเองมากเกินไป

        ในขณะที่การจัดสรรเงินเพื่อการลงทุนที่น้อยเกินไป อาจทำให้เสียโอกาสในการสร้างผลตอบแทนตามที่ควรจะได้รับ ซึ่งการจัดสรรเงินสำหรับการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมจะทำให้การลงทุนของเราเป็นไปอย่างสมดุล

         ข้อควรคำนึงในการจัดสรรเงินเพื่อการลงทุน คือ เราควรมีเงินออมและเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินในจำนวนที่

เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายประมาณ 3 - 6 เดือน ซึ่งเงินสำหรับการลงทุนควรเป็นเงินส่วนที่เกินจากเงินออมและเงินสำรอง เพราะการลงทุนมีความเสี่ยงที่เราอาจจะสูญเสียเงินลงทุนไป การนำเงินออมหรือเงินสำรอง
มาลงทุนจึงอาจจะทำให้เราประสบปัญหาได้



การกำหนดนโยบายการลงทุน เริ่มต้นจากการกำหนด

เป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุนที่ชัดเจน

ลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งให้ตนเองจำนวน 5,000,000 บาท เพื่อใช้จ่ายหลังการเกษียณ



ลงทุนเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกจำนวน 3,000,000 บาท



ลงทุนเพื่อต้องการให้มีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้นเดือนละ 5,000 บาท



เมื่อเรามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนแล้ว ก็จะสามารถ


กำหนดอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจาก


การลงทุน
ได้ ซึ่งอัตราผลตอบแทนที่ต้องการจาก

การลงทุนจะทำให้เราเลือกสินทรัพย์หรือจัดสรร
การลงทุนได้อย่างเหมาะสม โดยการกำหนดนโยบายการลงทุนจะต้องครอบคลุม 

          - เป้าหมายและวัตถุประสงค์การลงทุน

          - อัตราผลตอบแทนที่ต้องการจากการลงทุน
          - ระยะเวลาการลงทุน
          - ประเภทของสินทรัพย์ที่จะลงทุน
          - การจัดสรรเงินลงทุน

เช่น ถ้ามีเงินลงทุนจำนวน 100,000 บาท ต้องการ

ผลตอบแทนเดือนละ 5,000 บาท จะต้องลงทุนในสินทรัพย์ลงทุนที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเดือนละ 5%
เป็นต้น


1. เพราะผลตอบแทนที่มากขึ้นจากการลงทุน จะมาพร้อมกับความเสี่ยงที่
มากขึ้นด้วยเสมอ นักลงทุนจะประสบความสำเร็จได้ จึงต้องมีความรู้และ
มีวินัยในการลงทุน
 โดยเฉพาะความรู้ความเข้าใจในเรื่องสินทรัพย์หรือ

หลักทรัพย์ที่จะลงทุน ความเสี่ยง สภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งจะช่วยขจัดอุปสรรคสำคัญในการลงทุนได้ เพราะความรู้และวินัยเป็น
ภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด
 ที่คอยปกป้องเราจากความโลภและความกลัว และจะต้องระลึกอยู่เสมอว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดี
ก่อนตัดสินใจลงทุน
2. การกระจายการลงทุนโดยการสร้างกลุ่มสินทรัพย์ลงทุน  (Portfolio) จะช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้เป็นอย่างดี เช่น หากมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบต่อการทำกำไรของบริษัทที่เราลงทุนไว้ ทำให้บริษัทดังกล่าวไม่สามารถจ่ายเงินปันผลได้ รวมทั้งทำให้ราคาหลักทรัพย์ผันผวน

อาจส่งผลให้ผลตอบแทนจากหลักทรัพย์ที่ลงทุนไว้ไม่เป็นไปตามที่คาดหวังการสร้างกลุ่มสินทรัพย์ลงทุน คือ การจัดสรรเงินลงทุนเพื่อลงทุนในสินทรัพย์มากกว่าหนึ่งประเภท เช่น ถ้ามีเงินลงทุนจำนวน 800,000 บาท อาจเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทองคำ หุ้นสามัญของธุรกิจในกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร หุ้นกู้บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ และกองทุนรวม 2 กองทุน
เป็นต้น

3. ผู้ลงทุนจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าผลตอบแทน และราคาของสินทรัพย์ที่

ลงทุนมีความอ่อนไหวต่อภาวะแวดล้อมค่อนข้างมากและรวดเร็ว การติดตามและทบทวนการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการลงทุน
เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจอย่างสม่ำเสมอ เราอาจจะต้องแบ่งเวลาส่วนตัวในแต่ละวันเพื่อติดตามข้อมูล ข่าวสาร รายงานการวิเคราะห์ หรือ
บทสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้รับข้อมูล ข่าวสารที่จะเป็นประโยชน์ ไม่เสียโอกาสในการลงทุน และเพื่อให้ทันต่อการรับมือกับสถานการณ์ที่จะ
ส่งผลกระทบต่อการลงทุน




1. การลงทุน ไม่ใช่ การเล่นหุ้น
2. ทางเลือกในการลงทุน ไม่ใช่มีแค่หุ้น
3. ต้องมีความรู้ และเข้าใจในสิ่งที่จะลงทุน
4. กำหนดเป้าหมายการลงทุนให้ชัดเจน
5. วินัยในการลงทุนสำคัญที่สุด
6. อ่านงบการเงิน หมายเหตุประกอบงบ และบทวิเคราะห์
    ก่อนตัดสินใจ
7. เก็งกำไร อย่าลืมเก็งขาดทุน
8. ห้ามโลภ และห้ามประมาท  
9. จังหวะและโอกาสที่ดีมีเสมอ
10 กระจายการลงทุนเพื่อช่วยลดความเสี่ยง

By TSI