ปัจจัยในการเคลื่อนไหว
มันเป็นอะไรที่ซับซ้อนครับจะอธิบายด้วยการพิมมันจะเข้าใจยากนิดนึงแต่ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆคับเช่นมีคนทั้งหมดนับเป็น 100% เทรดด้วยเทคนิคต่างกัน 4 เทคนิคดังนี้
1.รับต้าน 25%
2.แนวโน้ม25%
3.แท่งเทียน 25%
4.อื่นๆ 25%
1.เมื่อ ณ จุดราคาหนึ่งราคาลงมาจุดแนวรับจะมีคนจำนวน 25% เข้ารับโดยไม่รอสัญญาณอื่นๆทำให้ราคาจะเกิดเด้งขึ้นมาบ้างเพราะมีคนจำนวน25% เข้าซื้อแต่ยังไม่อาจที่จะพลิกตลาดได้ตามแนวโน้มถ้าเราสักเหตุเราจะเห็นว่าราคาจะมีการเด้งรับบ้างเกือบทุกครั้งที่ราคาทดสอบรับต้าน
2.ที่ราคาเดียวกันในเวลาต่อมาเกิดสัญญาณแท่งเทียนเกิดขึ้นเพราะมีการเข้ารับของคนในกลุ่มแรก(ซึ่งผ่านหรือไม่ก็ขึ้นกับปัจจัยหลายอย่างนะครับแต่นี่ผมแค่ยกตัวอย่างเท่านั้นก็จะมีคนเข้าซื้ออีก)ทำให้ราคาสะท้อนออกมาในรูปของแท่งเทียนทำให้คนอีก 25% เข้าซื้อด้วยสัญญาณแท่งเทียนทำให้มีคนเข้าซื้อจำนวน 50% ซึ่ง ณ จุดนี้จะมียื้อกันระหว่างคนสองกลุ่มทำให้เกิด sideway ซึ่งยิ่งเวลาผ่านไปนานก็จะเห็นเป็นแนวรับสำคัญมากขึ้น
3.และจากการที่คนกลุ่มที่ 1 และ 2 เข้าซื้อในบริเวณดังกล่าวแล้วอาจทำให้คนอีกกลุ่มเริ่มพิจารณาหาจุดเข้า follow ด้วยการมองแนวโน้มนั้นซึ่งมีเทคนิคหลายอย่างที่ใช้มองกัน(ซึ่งจะเป็นการย่อยลงไปอีกมากผมจะขอข้ามไปแล้วกันครับเพราะโพสนี้ผมแค่จะยกตัวอย่างภาพให้เห็นคราวๆเท่านั้น)ซึ่งในจุดนี้อาจมีคนอีก 25% เข้าซื้อตามแนวโน้มแต่เหตุผลการเข้าซื้อจะเป็นด้วยเหตุที่ลงมาทดสอบแนวโน้มจากเทรนไลน์หรือเป็นการย่อตัวลงมาเข้า zone พักตัวตามเงื่อนไขของอีเลียตเวฟ ทำให้การเด้งขึ้นมาได้แรงมากขึ้นหรืออาจวิ่งไปตามแนวโน้มทำไฮต่อเลยก็เป็นได้
4.จากใน 3 ส่วนแรกก็อาจจะเป็นตัวนำพาตลาดไปได้แล้วแต่ส่วนนี้อาจจะเป็นตัวช่วยเสริมตามเทคนิคใดๆก็ตามอาจจะเข้ามาตอนที่ราคาทดสอบรับนานทำให้อาจเกิดกรอบราคาและอาจมีการ Oversold ในบางจังหวะของ Sto หรือ Oversold ด้วยการหลุดกรอบของ BB
แล้วทำไมจึงบอกว่าเป็นคนกลุ่มน้อยที่ได้เงินมันฟังดูขัดแยกกับที่ผมบอกนั่นก็เพราะทุกคนไม่ได้มีเงินเท่ากันและมีเงินส่วนใหญ่ในตลาดมันก็อยู่กับคนกลุ่มน้อยนี่หละครับราคามันไม่ได้นับที่จำนวนคนแต่มันอยู่ที่จำนวนเงิน
เมื่อบอกแบบนั้นว่ามีคนส่วนน้อยที่ได้แล้วทฎษฏีที่ผมอ้างถึงจะใช้ได้เหรอ
มันใช้ได้แน่ครับเพราะในคนส่วนน้อยเขาไม่ได้มีคนเดียวกลุ่มคนใหญ่ที่เทรดก็พวกกองทุนหรือแบงค์แน่นอนเขาต่างก็ใช้เทคนิคที่ต่างๆกันไปในการตัดสินใจซึ่งคนกลุ่มนี้เขาก็จะมาเทรดสู้กันในจำนวน volume ที่ใหญ่แต่รายย่อยอย่างเราก็ต้องมองว่่าคนที่เล่นฝ่ายไหนจะชนะและอีกปัจจัยหนึ่งที่รายย่อยมักจะเจ็บตัวหรือเอาง่ายๆเรียกว่าซวยโดนหางเลขไปด้วยคือการที่มีมาร์จิ้นน้อยเพราะคนกลุ่มนี้เขามีเม็ดเงินใหญ่พอที่จะรับการแกว่งเป็นพันๆจุดหรือหมื่นได้ซึ่งมันเป็นสงครามการต่อสู้ทางการเงินของคนกลุ่มนี้ซึ่งจริงๆการจะอยู่รอได้มันไม่จำเป็นต้องมีเงินใหญ่แบบเขาก็ได้แค่เราจัดสรรเงินของเราให้เหมาะกับตลาดก็พอต้องหัดมองกำไรขาดทุนให้เป็น % อย่ามองที่จำนวนเงิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น