Infinite Growth FX

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ทัศนะคติการลงทุน

คนทั่วๆไปนั้นมักจะคาดหวังถึงผลลัพธ์ของการซื้อ-ขายครั้งต่อไป จากผลลัพธ์ในครั้งที่ผ่านๆมานั่นเอง นั่นหมายความว่า ถ้าคราวที่แล้ว หรือ สองสามครั้งที่แล้วพวกเขาขาดทุนล่ะก็ พวกเขาก็มักจะมองเห็นแต่ความเสี่ยง

ในการลงทุนซื้อ-ขายครั้งต่อไปครับ แต่หากว่าครั้งที่ผ่านๆมา พวกเขามีกำไรล่ะก็ พวกเขาก็มักจะตกอยู่ในความรู้สึกเคลิบเคลิ้มไปกับกำไรของพวกเขา และแทบจะไม่ได้มองเห็นถึงความเสี่ยงของพวกเขาเลย ซึ่งนั่นจะทำให้เขาอาจเริ่มขุดหลุมฝังตัวเองขึ้นมา จากการที่พวกเขานั้นจะเริ่มเสี่ยงมากไป หรือซื้อ-ขายมากเกินไป(Over trade) เพราะพวกเขาเริ่มเชื่อว่า การลงทุนซื้อ-ขายครั้งต่อไปของพวกเขาจะไม่ขาดทุนนั่นเองครับ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงต้องมีระบบการลงทุน(Trading System)เข้ามาช่วยที่จะช่วยในการระบุอย่างชัดเจนว่า สิ่งไหนที่ได้ผลหรือไม่ได้ผลครับ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พวกเขายังต้องมีทัศนคติที่เหมาะสม เพื่อที่จะนำระบบการลงทุนต่างๆ มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดด้วยครับ ซึ่งถ้าหากพวกเขาไม่มีทัศนคติที่เหมาะสมแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะทำสิ่งต่างๆอย่างสะเปะสะปะ หรือมั่วไปหมด และนี่คือสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ในการที่จะได้มาซึ่งกำไรอย่างสม่ำเสมอ

แต่ผมอยากจะบอกคุณว่าผมกล้าพนันกับคุณเลย ว่าถ้าคุณลองไปถามนักเก็งกำไรส่วนใหญ่ ว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคืออะไร พวกเขาจะตอบคุณว่าพวกเขาต้องการได้กำไรอย่างสม่ำเสมอ เพราะพวกเขามักมองเห็นโอกาสในการทำกำไรอยู่ในทุกนาทีๆ หรือในทุกๆวันอยู่แล้ว และสิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆก็คือ การเติบโตของเงินทุนอย่างสม่ำเสมอ นั่นเองครับ

แต่เนื่องจากว่าพวกเขานั้น มักลงทุนซื้อ-ขายตามอำเภอใจอย่างไร้แผนการ และลืมคิดไปว่าหากพวกเขาไม่ทุ่มเท และใส่ใจในการพิจารณาว่าสิ่งไหนใช้ได้ หรือไม่ได้แล้วล่ะก็ มันก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย สิ่งที่เขาจะได้รับกลับมาก็คือ เงินทุนที่มักจะเพิ่มๆลดๆ เหมือนกับฟันปลาขึ้นมาแทนครับ

สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้ให้ความสนใจ เมื่อพวกเขาเริ่มต้นเข้ามาเก็งกำไรหรือลงทุนนั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้คิดว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตใจ มากแค่ไหนนั่นเองครับ จริงๆแล้วตลาดนั้นไม่สามารถที่จะบังคับหรือไม่มีผลต่อคุณ ในการกำหนดมุมมองการรับรู้ หรือแปลความหมายของสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดของตัวคุณเองเลย แต่มันเกิดขึ้นมาจากกลไกทางจิตวิทยาในตัวคุณ ซึ่งจะคอยควบคุมการรับรู้ และแปลผลของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในตัวของคุณเองครับและในฐานะที่คุณเป็นนักเก็งกำไร หรือนักลงทุนก็ตาม ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ สิ่งที่คุณจะต้องทำเพื่อให้เกิดกำไรที่สม่ำเสมอขึ้นมาก็คือ การควบคุมกระบวนการในการรับรู้ และแปลความหมายของสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น ในทางที่คุณจะสามารถทำสิ่งต่างๆได้อย่างเหมาะสม และไร้ความวิตกกังวลนั่นเองครับ

 ผมหมายถึงการไร้ความวิตกกังวล ในความหมายที่ว่า คุณนั้นรู้สึกสงบผ่อนคลายครับ เพราะถ้าหากจิตใจของคุณไม่สงบ หรือผ่อนคลายล่ะก็ คุณจะไม่สามารถมีสมาธิกับสิ่งต่างๆได้เต็มที่ครับ ไม่เช่นนั้นคุณจะก็จะเริ่มเสียสมาธิ และทำสิ่งที่ผิดพลาดต่างๆครับสิ่งที่เป็นตัวการสำคัญอย่างหนึ่งก็คือ “ความกลัว” นั่นเองครับ เนื่องจากจิตใจของเรานั้นถูกออกแบบมาให้หลักเลี่ยงจากความเจ็บปวด จากกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่ทั้งใต้จิตสำนึกของเรา และจิตสำนักของเราเอง และนี่คือตัวการใหญ่ตัวหนึ่งที่พวกเรามักจะมองข้ามมันไปครับ

อย่างแรกเลยก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าความกลัวนั้น นอกจากจะทำให้จิตใจของเราอ่อนแอลงไป แต่มันทำให้มุมมอง หรือวิสัยทัศน์ของเราย่ำแย่ลงไปด้วย ความกลัวนั้นจะทำให้มุมมองของเราแคบลงไป ซึ่งจะมีผลต่อการรับรู้ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เข้ามาในทุกๆช่วงขณะเวลานั่นเอง โดยความกลัวนั้น จะทำให้มุมของเราแคบลง และเพิ่งไปสู่สิ่งที่เรากลัวอยู่แต่เพียงอย่างเดียวครับ


จริงๆแล้วความกลัวของเรา คือกลไกทางธรรมชาติที่จะช่วยเตือนให้เรารู้ว่า มีความเป็นไปได้ที่เราจะต้องพบเจอกับความเจ็บปวด และเมื่อเราต้องการหลีกเลี่ยงจากความเจ็บปวดนั้น สิ่งที่เราจะทำคืออะไรล่ะ? มันก็คือการ จดจ่อไปกับการหาหนทางที่จะหลีกเลี่ยงจากความเจ็บปวดนั้นเอง เพื่อที่จะปกป้องตัวของเราครับ



ยิ่งในเรื่องของการเก็งกำไร หรือการลงทุนแล้ว มันยิ่งเป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของเราเองขึ้นอีกครับ เนื่องจากจริงๆแล้วตลาดนั้น ไม่ได้สร้างข้อมูลที่ทำให้เกิดความเจ็บปวดขึ้นมาด้วยตัวของมันเองเลย สิ่งที่มันสร้างขึ้นมาคือข้อมูลดิบ ซึ่งสามารถทำให้เรารับรู้มัน ในแนวทางที่เจ็บปวดขึ้นมา หรือในแนวทางที่พึงพอใจขึ้นมาควบคู่กันไป อยู่ตลอดเวลาครับ


นั่นก็จะหมายความว่า ทุกครั้งที่ตลาดขยับขึ้นมา มันสามารถสร้างความเจ็บปวดขึ้น หรือสร้างความพึงพอใจขึ้นมาก็ได้ครับ ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าผมอาจเข้าซื้อไป และตลาดเคลื่อนที่สวนทางกับผมลงมา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตลาดไม่ได้เคลื่อนที่สวนทางกับผมตลอดเวลา บางช่วงมันก็จะขยับไปในทิศทางที่ผมพอใจ หรือหวังเอาไว้ แต่ภาพรวมที่เกิดขึ้นก็คือ ตลาดนั้นอาจเคลื่อนที่สวนทางกับผม 4 ช่วงราคา ก่อนที่มันจะเด้งขึ้นมา 1 ช่วงราคานั่นเองครับ

สมมุติว่าผมได้เขาซื้อไป แต่ภาพของตลาดโดยรวมนั้นกลับกลายเป็นขาลงขึ้นมา และโชคร้ายเหลือเกินที่การเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้ง มันทำให้ผมตัดสินใจถือมันต่อไป เพราะช่วงที่ตลาดเด้งสวนขึ้นมานั้น ทำให้เกิดความหวังขึ้นมานั่นเองครับ และจุดนี้เองที่ความกลัวของผม จะเข้ามามีผลทำให้ผมจดจ่อความสนใจไปที่การเด้งขึ้นมาของตลาดแต่เพียงอย่างเดียว เนื่องจากผมได้ให้ความสำคัญกับการเด้งขึ้นมาของตลาดมากกว่าอย่าอื่น และทำให้ผมจะพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้ ที่จะบอกกับตัวเองว่าผมจะไม่เป็นอะไรครับ

 เพราะผมมัวแต่จดจ่อไปกับการเด้งขึ้นมาของตลาด และถึงแม้ว่าตลาดยังจะเคลื่อนที่เป็นขาลงต่อไป ผมก็จะไม่อยากรับรู้มัน ว่ามันกำลังอยู่ในช่วงขาลงต่อไป ซึ่งในทางกลับกันแล้ว ผมกลับจะมอง หรือหวังว่าการเด้งขึ้นมาในแต่ละครั้งของตลาด จะกลายเป็นจุดต่ำสุดของมันครับ นั่นก็คือผมจะรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดในทางที่ว่า มันกำลังที่จะเปลี่ยนแนวโน้มกลับขึ้นมาแล้วนั่นเองครับ

วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

นักพนัน



ผมไม่เคยเห็นนักพนันคนไหนที่ประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนบนโลกแม้แต่เพียงคนเดียว ไม่ว่าอาชีพไหนๆ คุณต้องเข้าใจว่าลักษณะเกมส์การเงินที่มีอยู่บนโลก คือการเคลื่อนไหวของเงินจากคนกลุ่มหนึ่งไปยังคนอีกกลุ่มหนึ่ง ส่วนใหญ่เราเรียกคนที่กลุ่มเงินไหลเข้าว่า “เจ้ามือ” และเรียกคนที่กลุ่มเงินไหลออกว่า “นักพนัน”
ในทางจิตวิทยาเกี่ยวกับการเงิน “วิธีคิด” ของนักพนันถือว่าอันตรายมาก เพราะคนกลุ่มนี้พร้อมที่จะยอมรับความเสี่ยงเข้ามาในความคิด ความไม่กลัวเกมส์การพนันทำให้คนเหล่านี้กล้าได้กล้าเสีย เราจะสังเกตได้ว่าคนกลุ่มนี้ ใจร้อน ไม่ชอบการรอคอย ไม่มีความอดทนต่อความยากลำบาก และส่วนใหญ่จะมีความคิดในเชิงลบ

ด้วยเหตุของความใจร้อนและไม่ชอบการรอคอย คนกลุ่มนี้มัก “ตัดสินใจผิดพลาด” อยู่เสมอๆ แม้พวกเขาอาจมีหลักการบางอย่างมาสนับสนุนความคิด แต่แท้จริงก็คือความต้องการ และความโลภของพวกเขาเอง คนที่มีลักษณะนิสัยของนักพนันหากเป็นลูกจ้างประจำ ก็จะย้ายงาน เปลี่ยนงานบ่อย หากประกอบธุรกิจจะอยู่ได้ไม่นาน และล้มเหลว และคนเหล่านี้จะไม่สามารถเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้

นอกจากนี้นักพนัน ยังขาดคุณสมบัติที่ดีในการป้องกันอันตรายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน กิจกรรมที่นักพนันส่วนใหญ่ชอบเข้าไปยุ่งเกี่ยว มักดึงดูดคนคิดลบ ไม่ว่านักพนันด้วยกันเอง นักค้ายาเสพติด นักเลง มือปืน หรือกลุ่มคนที่คิดจ้องแต่จะเอาผลประโยชน์ ไม่ใช่มิตรแท้ เพราะฉะนั้นถ้าหากนักพนันคนไหนมีกลุ่มเงินไหลเข้าเป็นจำนวนมาก ตามกฎธรรมชาติแล้วพวกเขาก็จะถูกจับ หรือไม่ก็ถูกฆาตกรรม… เพราะพวกเข้าไม่ได้เกิดมาเป็นเจ้ามือ

การแก้วิธีคิดแบบนักพนันได้ ส่วนใหญ่ต้องพึ่งศาสนาเป็นหลัก เพราะหลายศาสนาทำให้คนมี “สติ” ในการใช้ชีวิตมากขึ้น บางศาสนาถือว่าการพนันเป็นเรื่องเลวร้ายและมีบทลงโทษสูง ศาสนาจึงช่วยให้คนเหล่านี้รู้จักการยับยั้งความต้องการ และความโลภที่มีมากกว่าปกติได้นั่นเอง

อย่างไรก็ตาม มีคุณสมบัติบางอย่างที่เป็นส่วนเด่นของนักพนัน คือความกล้า ไม่ว่าจะเป็นความกล้าทำ กล้าเสี่ยง และกล้าตัดสินใจ หากพวกเขาเหล่านั้นมี “สติ” รู้จักยับยั้งความต้องการที่มีมากจนเกินไป คุณสมบัติเหล่านี้อาจช่วยเสริมให้สามารถทำงานบางประเภทได้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ความกล้าจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อที่ถูกต้องด้วย สิ่งที่แสดงออกมาจึงจะมีพลังมากกว่าคนทั่วไป

เมื่อพูดถึงการลงทุน จะมีเส้นบางๆที่กั้นระหว่างนักลงทุนและนักพนัน คนสองกลุ่มนี้หากมองแบบผิวเผินอาจเรียกได้ว่าเป็นคนกลุ่มเดียวกันที่ใช้เงินทำงานหนักเพื่อให้ได้เงิน แต่สภาพความเป็นจริงค่อนข้างแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง นักลงทุนที่แท้จริงจะใช้ข้อมูล ใช้การวิเคราะห์ที่ละเอียดถี่ถ้วนกว่า ให้ความสนใจเรื่องของอัตราส่วนทางการเงิน ผลตอบแทน และการทำกำไร โดยเน้นในเรื่องของราคาเมื่อพิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจ หรือสิ่งที่ตนเองลงทุน โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา (นักลงทุนจะไม่ถูกบังคับด้วยเงื่อนไขของระยะเวลาในการซื้อขายเพื่อทำกำไร) แต่ระยะเวลาของนักลงทุนอาจถูกนำไปใช้ในการป้องกันและรักษาต้นทุน หรือเพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรที่มากกว่า

ผิดกับนักพนันที่ขาดการควบคุมความเสี่ยง ในขณะที่พวกเขาอาจมีความเชื่อว่าความเสี่ยงเป็นเรื่องปกติ ไม่มีความสำคัญมากนักต่อการตัดสินใจ (ในช่วงเวลาที่จำกัด) และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาต้องการทำกำไรในช่วงระยะเวลาที่สั้นที่สุดเพื่อผลตอบแทนที่มากที่สุด จึงมักให้หรือกำหนดมูลค่าตามราคาตลาด (แทนการวิเคราะห์มูลค่าของธุรกิจ) และคิดว่าการถือเงินอยู่กับตัวนั้นคือความ “ไม่เสี่ยง” เหมือนอย่างคนที่เล่นได้แล้วออกจากบ่อน โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งเหล่านี้คือกลอุบายของเจ้ามือ ที่ส่วนใหญ่มีแต่ได้… ไม่มีเสีย

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนั้น มีคนหลายคนที่เรียกตนเองว่าเป็นนักลงทุน ทั้งๆที่ความเป็นจริงมีลักษณะครบถ้วนทุกประการในการเป็นนักพนันที่ดี!?!??


บทความอื่นๆ

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

โมเมนตัม MOMEMTUM

โมเมนตัมเป็นเครื่องมือ OSCILLATOR ที่นิยมใช้ในระยะสั้นอีกตัวหนึ่ง ที่สามารถใช้วัดการแกว่งตัวของราคา และเนื่องจากเป็นเครื่องมือระยะสั้น จึงเป็นเครื่องมือที่มักจะสวนทางกับแนวโน้มของราคา (COUNTER TREND) โดยจะนำมาใช้ดูสภาพในช่วงสั้น ของตลาดว่าขณะนั้นอยู่ในภาวะ”ซื้อมากจนเกินไป” (OVERBOUGHT) หรือ “ขายมากจนเกินไป” (OVERSOLD)


สูตรของโมเมนตัม

MOMENTUM = P – Pn

                                                              P   = ราคาปิดปัจจุบัน
                                                              Pn = ราคาปิดเมื่อ n วันที่ผ่านมา

                หลังจากที่ได้ค่าความแตกต่างของราคา ที่กำหนดช่วงต่างของเวลาไว้แน่นอนแล้ว นำค่าที่ได้มาทำเป็นเส้นกราฟ จะได้เส้นกราฟที่มีเส้นกึ่งกลาง (เส้นศูนย์) และจะมีส่วนที่เป็นค่าบวกและค่าลบ รูปแบบเครื่องมือโมเมนตัมจะมีลักษณะเป็นการเคลื่อนไหว ขึ้นลงอยู่ในช่วงแคบ ๆ โดยช่วงบนจะเป็นการบอกภาวะ”ซื้อมากจนเกินไป” และช่วงล่างจะเป็นการบอกภาวะ “ขายมากจนเกินไป”



                ปกติถ้าใช้ช่วงเลาสั้น ๆ เส้นโมเมนตัมจะปรับตัวขึ้นลงเร็วขึ้น แต่ถ้าใช้ช่วงเวลาที่ยาวขึ้น เส้นโมเมนตัด จะปรับตัวขึ้นลงช้ากว้า ทั้งนี้การเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับความเหมาะสมมีข้อสังเกตว่า

                 เนื่องจากหุ้นบางประเภทมีการซื้อขายสม่ำเสมอ และระดับราคามีการเหวี่ยงตัวไม่มากนัก เช่นหุ้นที่มีทุนจดทะเบียนสูง หรือหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี จะมีรูปแบบการเคลื่อนไหวที่ให้ภาพชัดเจน และสามารถอ่านทิศทางได้ง่าย หุ้นประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องใช้โมเมนตัม แต่สำหรับหุ้นที่มีการเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว โดยในตลาดหลักทรัพย์ไทยหุ้นประเภทนี้ มักจะเป็นหุ้นที่มีราคาต่ำ จะเหมาะกับการวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือโมเมนตั้ม เนื่องจากจะเห็นรูปแบบที่ชัดเจนกว่า

ประโยชน์ของเครื่องมือโมเมนตั้ม
                 1. ใช้สำหรับการลงทุนในช่วงสั้น สามารถนำมาใช้เป็นสัญญาณ เตือนว่า ในช่วงระยะเวลานั้น ราคาหุ้นได้ดีขึ้นมาจนถึงที่สุดแล้ว และน่าจะมีการปรับตัวขึ้นทางเทคนิค โดยหุ้นแต่ละตัวจะมีระดับสูงสุดของโมเมนตัมต่างกัน

                 2. สามารถนำมาใช้กับสภาพตลาดที่ยังไม่มีทิศทาง (TRENDLESS) หรือในสภาพตลาดที่เคลื่อนไหวอยู่ในช่วงแคบ ๆ ที่เป็นไปใน ลักษณะแนวนอน (SIDEWAYS)

                 3. นำมาใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของตลาดที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น “พละกำลัง” ใกล้จะอ่อนตัวลงหรือยังโดยสัญญาณเตือน จะแสดงออกมาในรูปของการแยกทางออก (DIVERGENCE) ของราคาหุ้นกับเส้นโมเมนตัม โดยเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ตรงข้ามกัน

เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ RELATIVE STRENGTH INDEX (RSI)



เครื่องมือดัชนีกำลังสัมพัทธ์ RSI : RELATIVE STRENGTH INDEX


RSI เป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดการแกว่งตัวของราคาหุ้น สำหรับการลงทุนในช่วงหนึ่ง เพื่อดูภาวะการซื้อมากเกินไป (OVERBOUGHT) หรือขายมากเกินไป (OVERSOLD) โดยใช้ระดับเหนือ 70% บอกภาวะ OVERBOUGHT และระดับต่ำกว่า 30% บอกภาวะ OVERSOLD และยังใช้เป็นสัญญาณเตือนว่า แนวโน้มของราคาหุ้นที่กำลังมีทิศทางขึ้นหรือลงนั้น กำลังใกล้จะอ่อนตัวลงหรือยัง โดยมีสัญญาณเตือนที่แสดงออกมาในรูปแบบของการแยกทางออก (DIVERGENCE) ระหว่างราคาหุ้นกับ 14 RSI

ดัชนีกำลังสัมพัทธ์ (RSI) คือ การคำนวณหาพละกำลัง ที่ซ่อนตัวอยู่ของตลาดหรือของหุ้นใดหุ้นหนึ่ง (INTERNAL STRENGTH) โดยดูจากอัตราส่วนที่ “แกว่ง” ไปมาอยู่ระหว่างการขึ้นลงโดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ และภายใน “เวลา” ที่กำหนด ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ระยะเวลา 14 วัน เราจึงเรียกว่า 14 RSI


สูตรการคำนวณ 14 RSI

RSI = 100 - 100
1+RS

RS = ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของราคาปิดใน 14 วัน
ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงลดลงของราคาปิดใน 14 วัน

หรือใช้สูตร

RSI = 100 XU
U+D

U = AVERAGE OF 14 DAY’S UP CLOSES
(ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นของราคาปิดใน 14 วัน)
D = AVERAGE OF 14 DAY’S DOWN CLOSES
(ค่าเฉลี่ยของจำนวนที่เปลี่ยนแปลงลดลงของราคาปิดใน 14 วัน)

ระดับซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไป (OVERBOUGHT & OVERSOLD)

ระดับ “การซื้อมากเกินไป” ของ 14 RSI อยู่ที่บริเวณระดับสูงเกิน 70% ส่วนระดับที่มีการขายมากเกินไปอยู่ต่ำกว่าบริเวณ 30% และมีกฎว่าถ้าเส้น 14 RSI ลดต่ำลงมามากเท่าใดจะทำให้เกิดภาวะ OVERSOLD ซึ่งโอกาสที่ราคาหุ้นจะตีกลับขึ้นไปในลักษณะการ “ปรับตัวทางเทคนิค” มีอยู่สูง ในทางกลับกัน ถ้าเส้น 14 RSI วิ่งสูงขึ้นจนเข้าไปในเขต OVERBOUGHT แล้ว โอกาสที่ราคาหุ้นจะมีการปรับตัวลงก็มีเช่นเดียวกัน

การใช้ 14 RSI ในการวิเคราะห์แผนภูมิราคามี 5 วิธี

             1. ดูยอด (TOP) และฐาน (BOTTOM) มักจะเกิดยอดเหนือเส้น 70 และเกิดฐานใต้เส้น 30 โดยปรากฏยอดและฐานให้เห็นก่อนตลาด
             2. ใช้ดูรูปแบบซึ่งจะใช้ดูเช่นเดียวกับรูปแบบที่เกิดในแผนภูมิราคา แต่จะให้ความสำคัญกับรูปแบบ HEAD & SHOULDERS ; DOUBLE TOPS & DOUBLE BOTTOMS ในลักษณะเป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นจะมีการเปลี่ยนทิศทาง โดยเฉพาะถ้ารูปแบบนั้นเกิดขึ้นในบริเวณเขต OVERBOUGHT หรือ OVERSOLD
           3. ดูการเหวี่ยงตัวของ 14 RSI ที่ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย (FAILURE SWING) โดยการตวัดกลับครั้งต่อไปไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในบริเวณเขต OVERBOUGHT หรือ OVERSOLD
TOP FAILURE SWING เกิดขึ้นเมื่อยอดแหลมของ RSI อยู่เหนือเส้น 70 (A) และยอดสูงใหม่ © อยู่ต่ำกว่ายอดสูงเก่า (A) โดย TOP FAILURE SWING จะสมบูรณ์ เมื่อเส้น RSI เคลื่อนที่จากจุดยอด © ลงต่ำกว่าจุดต่ำสุด (B) ทีอยู่ระหว่างยอดสูงทั้งสอง (A และ C)

สัญญาณการขายจะมีอยู่ 3 ช่วง

    เมื่อเส้น RSI อยู่เหนือเส้น 70 ที่ยอดสูง
    เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นต้าน
    เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นหนุน
โดยทั่วไปแล้วสัญญาณขายตามข้อ 3. จะมีความแม่นยำสูงสุด

BOTTOM FAILURE SWING เกิดขึ้นเมื่อจุดฐานของ RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30  และจุดฐานใหม่ อยู่สูงกว่าจุดฐานเก่า โดย BOTTOM FAILURE SWING จะสมบูรณ์เมื่อเส้น RSI เคลื่อนที่จากจุดฐาน ขึ้นสูงกว่าจุดสูงสุด ที่อยู่ระหว่างจุดฐานทั้งสอง

สัญญาณการซื้อจะมีอยู่ 3 ช่วง

เมื่อเส้น RSI อยู่ต่ำกว่าเส้น 30 ที่จุดฐาน (A)
เมื่อเส้น RSI ไม่ทะลุเส้นหนุน (AC)
เมื่อเส้น RSI ทะลุเส้นต้าน (B)
โดยทั่วไปแล้วสัญญาณซื้อตามข้อ 3. จะมีความแม่นยำสูงสุด
           4. การดูแนวหนุนและแนวต้าน บางครั้ง RSI จะแสดงระดับของแรงหนุน-แรงต้านได้ชัดเจนกว่าแผนภูมิราคา โดยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์แนวโน้ม เช่น TRENDLINES, MOVING AVERAGES
            5. การแยกทางออกจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับ RSI

สโตแคสติกส์ STOCHASTICS



STOCHASTICS คือ ดัชนีวัดการแกว่งตัวของราคาที่ศึกษาความสัมพันธ์ การเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ กับราคาปิด โดยมาจากข้อสังเกตที่ว่า ถ้าการสูงขึ้นของราคาหุ้นนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อไป ราคาปิดของหุ้นนั้นจะอยู่ใกล้กับราคาสูงสุด แต่ถ้าราคาของหุ้นมีแนวโน้มลดต่ำลง ราคาปิดจะอยู่ในระดับเดียวกับราคาต่ำสุดของวัน

ถ้าราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ขึ้น” เป็น “ลง” เรามักจะพบว่าราคาในระหว่างชั่วโมงการซื้อขายอาจจะสูงขึ้น แต่ราคาปิดจะอยู่ใกล้เคียงกับราคาต่ำสุดของวัน แต่หากราคาหุ้นกำลังจะเปลี่ยนทิศทางจาก “ลง” เป็น “ขึ้น” ราคาปิดจะมีราคาใกล้เคียงกับราคาสูงสุดของวัน แม้ว่าในระหว่างชั่วโมงซื้อขายราคาอาจจะลดต่ำลง


ความสัมพันธ์ระหว่างราคาสูงสุด-ต่ำสุดกับราคาปิด ได้ถูกนำมาพัฒนาเป็นสูตรสมการในการดูแนวโน้มขึ้น หรือลงของราคาหุ้นในช่วงสั้น ๆ โดยนำมาใช้ดูว่า ราคาปิดอยู่ที่ระดับกี่เปอร์เซ็นต์ของช่วงราคาที่ซื้อขายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

หลักการเบื้องต้นในการคำนวณ STOCHASTICS

เครื่องมือ STOCHASTICS ประกอบด้วย

เส้น %K เป็นเส้น STOCHASTICS
เส้น %D เป็นเส้นค่าเฉลี่ยของเส้น %K

%K = ราคาปิด (วันนี้) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
ราคาสูงสุด (ในช่วง n วัน) - ราคาต่ำสุด (ในช่วง n วัน)
%D = ค่าเฉลี่ย (n วัน) ของค่า %K

หลักการอ่าน STOCHASTICS

สัญญาณเตือน “ซื้อ” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERSOLD ที่บริเวณระดับต่ำกว่า 20% และควรซื้อเมื่อเกิดสัญญาณ “ซื้อ” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น

สัญญาณเตือน “ขาย” เกิดขึ้นเมื่อเส้น STOCHASTICS เข้าเขต OVERBOUGHT ที่บริเวณระดับสูงกว่า 80% และควรขายเมื่อเกิดสัญญาณ “ขาย” จากการที่เส้น %K ตัดเส้น %D ลง

รูปแบบของการตัดขึ้นตัดลง

สัญญาณซื้อหรือขายจากการตัดขึ้นหรือลงในทางปฏิบัติ มักจะมีบางกรณีเกิดเป็นสัญญาณหลอกขึ้นซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนเสียหาย จึงมีกฎเกณฑ์เพิ่มเติมในการอ่านรูปแบบของการตัดขึ้นหรือลง โดยจะดูว่ารูปแบบในลักษณะใดที่จะผลักดันให้ราคาหุ้นขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว

การตัดค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER)

เนื่องจากเส้น %K เปลี่ยนทิศทางเร็วกว่าเส้น %D โดยจะวิ่งขึ้นหรือลงก่อน และอาจทำให้เกิดสัญญาณหลอก ดังนั้นสัญญาณที่ดีกว่าคือ การให้ทั้ง 2 เส้นเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน ในกรณีเช่นนี้ รูปแบบจะออกมาในลักษณะที่เส้น %K ตัดเส้น %D ค่อนไปทางขวามือ (RIGHT-HAND CROSS-OVER) ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนกว่า

รูปแบบ HINGE

เป็นรูปแบบการชะลอการขึ้นหรือลงในลักษณะอ่อนตัวลง เป็นเครื่องชี้ว่าราคาหุ้นอาจจะมีการเปลี่ยนทิศทางในเร็ว ๆ นี้

การแยกทางจากกันระหว่างแผนภูมิราคากับแผนภูมิ STOCHASTICS
(DIVERGENCE) แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

BEARISH DIVERGENCE คือการที่ราคาหุ้นสามารถสร้างจุดสูงใหม่ แต่ STOCHASTICS ไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่เป็นสัญญาณขาย

BULLISH DIVERGENCE คือการที่ราคาหุ้นสร้างจุดต่ำใหม่ที่ต่ำกว่าจุดต่ำเก่า แต่ STOCHASTICS มีจุดต่ำใหม่ที่สูงกว่าจุดต่ำกว่า เป็นสัญญาณซื้อ

รูปแบบ SET-UP

จุดยอดใหม่ของ STOCHASTICS สูงกว่าจุดยอดเก่า ในขณะที่ราคาหุ้นไม่สามารถสร้างจุดสูงใหม่และกลับลดต่ำกว่าจุดสูงเก่าเป็นสัญญาณเตือนว่า การลดต่ำลงของราคาหุ้นไม่น่าจะรุนแรงมากกว่านี้เรียกว่า BULL SET-UP และมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะดีดตัวกลับสูงขึ้น

BEAR SET-UP จุดต่ำใหม่ของ STOCHASTICS ต่ำกว่าจุดต่ำกว่าในขณะที่ราคาหุ้นมีจุดต่ำใหม่สูงกว่าจุดต่ำเก่า เป็นสัญญาณเตือนว่า การขึ้นของราคาหุ้นครั้งนี้จะเป็นการขึ้นก่อนที่ราคาจะต่ำลง

รูปแบบ FAILURE แบ่งเป็น 2 ลักษณะคือ

รูปแบบ KNEE เส้น %K ตัดเส้น%D ขึ้นและถอยกลับแต่ไม่ทะลุผ่านเป็นสัญญาณเตือนว่า ราคาหุ้นยังสามารถที่จะเคลื่อนตัวสูงขึ้นต่อไปได้

รูปแบบ SHOULDER เส้น %K ตัดเส้น %D และดีดตัวสะท้อนกลับแต่ไม่สามารถตัดผ่านไปได้เป็นสัญญาณเตือนว่าราคาหุ้นใกล้จะอ่อนตัวลง

รูปแบบ GARBAGE แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ

GARBAGE TOP เป็นรูปแบบทีเส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่บริเวณเขตภาวะซื้อมากไป รูปแบบนี้จะเกิดขึ้นกับสภาพตลาดที่อยู่ในภาวะขาขึ้น ซึ่งจะใช้ระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นจะมีการปรับตัวลง ลักษณะการปรับตัวลงของ STOCHASTIC จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และจะสามารถดีดตัวกลับสูงข้นได้ทันที โดยมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับตัว V จึงเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า SPIKE BOTTOM

GARBAGE BOTTOM เกิดขึ้นในสภาพตลาดขาลง และมีความหมายตรงกันข้ามกับ GARBAGE TOP โดยรูปแบบการปรับตัวสูงขึ้นของ STOCHASTIC จะเป็นไปในลักษณะ SPIKE TOP

ความหมายของระดับ 0% และ 100%

ระดับ 0% หมายถึงระดับที่บอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD) ของหุ้นแต่ ณ ระดับนี้ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะลดลงต่ำกว่านี้อีกไม่ได้ เพียงแต่แต่บอกว่า ณ ระดับนี้ราคาหุ้นอาจหยุดพักชั่วคราว หรืออาจดีดตัวสูงขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะของ TECHNICAL REBOUND ก่อนที่ราคาจะตกลงต่อระดับ 0% จึงอาจตีความได้ว่าราคาหุ้นได้ลดลงมาถึงระดับ “WEAK”

ระดับ 100 % หมายถึงระดับที่บอกภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) ของหุ้น แต่ ณ ระดับนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาหุ้นจะไม่สามารถวิ่งขึ้นสูงต่อไปได้ แต่กลับชี้ให้เห็นว่าหุ้นมีความแข็งแรง (STRONG) จน สามารถผลักดันให้เส้น STOCHASTIC ขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 100% ได้ อย่างไรก็ดี ณ ระดับราคานี้ STOCHASTIC อาจมีการปรับตัวลงมาบ้าง (TECHNICAL CORRECTION) แต่เป็นการปรับตัวเพื่อลดภาวะ OVERBOUGHT มากกว่า

สโตแคสติกส์แบบเร็ว FAST STOCHASTIC

STOCHASTIC แบบเร็วนี้ เป็นเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของระดับราคาในปัจจุบัน ภายในช่วงกว้างของระดับราคา ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งมีการแกว่งตัวที่รวดเร็วมาก จึงทำให้หลายฝ่ายไม่นิยมใช้ เนื่องจากมีการแกว่งตัวที่ผันผวนและไม่แน่นอน ดังนั้น SLOW STOCHASTIC จึงเป็นที่นิยมใช้มากกว่า STOCHASTIC นี้ประกอบด้วยค่าดัชนีสองค่าคือ %K และ %D โดยจะบอกถึงภาวะซื้อมากไป (OVERBOUGHT) เมื่อ STOCHASTIC ตัดเส้น 80% ขึ้นไป คืออยู่ในช่วงระหว่างเส้น 80% ถึง 100 % และจะบอกภาวะขายมากไป (OVERSOLD) เมื่อ STOCHASTIC เตือนชี้จะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 20% ลงมา และสัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %Kตัดเส้น %D ขึ้นไป สำหรับสัญญาณเตือนขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %D ตัดเส้น 80% ขึ้นไป และสัญญาณขายจะเกิดขึ้นเมื่อเส้น %K ตัดเส้น %D ลงมา

FORMULA

FAST %k = CURRENT CLOSE – LOWEST LOWn
HIGHEST HIGHn – LOWEST LOWn

%D = 3 PERIOD MODIFIED MOVING AVERAGE OF FAST %k

n = NUMBER OF PERIODS

สโตแคสติกส์แบบช้า SLOW STOCHASTIC

SLOW STOCHASTIC เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องมือวัดการแกว่งตัวของราคา ที่ถูกทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC ซึ่ง SLOW STOCHASTIC ใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE ในการหาค่า SLOW %K เท่ากับ 3 PERIOD แต่ใน FAST STOCHASTIC ค่าของ FAST %Kจะใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE เท่ากับ 1 PERIOD หรือไม่มีการเฉลี่ยนั่นเอง

FORMULA

SLOW %K = 3 Period Modified Moving Average of FAST %K

%D = 3 Period Modified Moving Average of SLOW %K

หลักการวิเคราะห์ SLOW STOCHASTIC ใช้หลักเดียวกันกับ FAST STOCHASTIC

สโตแคสติกส์แบบปรับปรุง MODIFIED STOCHASTIC

MODIFIED STOCHASTIC เป็นอีกแบบหนึ่งของเครื่องวัดการแกว่งตัวของราคา ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถทำให้ราบเรียบขึ้นจาก FAST STOCHASTIC หรือทำให้แกว่งตัวมากกว่า SLOW STOCHASTIC

แต่เดิม FAST STOCHASTIC ใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาในการหาค่า %D เท่ากับ 3 และ SLOW STOCHASTIC ใช้ MODIFIED MOVING AVERAGE ที่กำหนดช่วงเวลาการหาค่า %Kและ %D เท่ากับ 3 แต่ใน MODIFIE STOCHASTIC ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าของ MOVING AVERAGE เท่ากับช่วงเวลาใดๆก็ได้ และสามารถกำหนดรูปแบบของ MOVING AVERAGE ได้ตามต้องการ เพื่อนำมาใช้ในการคำนวณหาค่า %K
และ %D
หลักการวิเคราะห์ของ MODIFIED STOCHASTIC ใช้หลักเดียวกันกับ FAST และ SLOW STOCHASTIC

บทความอื่นๆ

เครื่องมือพาราโบลิก PARABOLIC SAR

 

    ปัญหาประการหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนบางกลุ่มวิจารณ์ว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิค (TECHNICAL ANALYSIS) ขาดความน่าเชื่อถือ คือ ความล่าช้าเนื่องจากเวลา (TIME LAG) เพราะการเคลื่อนที่ของเครื่องมือเทคนิคชนิดต่าง ๆ จะตามหลังราคาหรือดัชนีเสมอ ดังนั้นแนวโน้มที่ได้จึงไม่น่าเชื่อถือ เพราะเกิดจากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งนาย J. WELLES WILDER ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้สร้างเครื่องมือเทคนิคตัวใหม่ขึ้นมาที่เรียกว่า พาราโบลิก (PARABOLIC) เพื่อลดความล้าหลังของการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยการเพิ่มความเร่งของสัญญาณของแนวโน้ม เมื่อราคาสามารถทำยอดสูงใหม่หรือต่ำใหม่ โดยพิจารณาให้ความสำคัญเรื่องราคาและเวลาเป็นหลัก และสัญญาณที่ได้เรียกว่า จุดเปลี่ยนแนวโน้ม หรือ STOP AND REVERSAL (SAR) และด้วยเหตุที่ SAR

มีการเคลื่อนที่คล้ายรูปแบบ PARABOLIC CURVE เครื่องมือตัวนี้ จึงถูกตั้งชื่อว่า PARABOLIC ณ จุดนี้เองที่บอกนักลงทุนว่าควรเปลี่ยนสถานภาพ กล่าวคือ ถ้านักลงทุนทำการซื้อและถือหุ้นอยู่ (LONG POSITION) และเมื่อเกิด SAR ในวันรุ่งขึ้นอยู่เหนือราคาหุ้น ควรที่นักลงทุนจะขายหุ้นดังกล่าวออกไป หรือในทางตรงกันข้ามถ้าเป็นผู้ขาย (SHORT POSITION) เมื่อเกิด SAR ในวันต่อไปอยู่ต่ำกว่าราคาหุ้นในวันนั้น นักลงทุนควรที่จะซื้อหุ้นนั้นคืนมา

สำหรับคุณสมบัติการเคลื่อนตัว ถ้าเป็นกรณีซื้อและถือหุ้นอยู่ (LONG POSITION) SAR จะเคลื่อนที่สูงขึ้นทุก ๆ วัน ไม่ว่าราคาจะเคลื่อนไปทางใด ส่วนจะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับทิศทาง และความแรงของการเคลื่อนไหวของราคา (PRICE FUNCTION) ซึ่งโดยปกติถ้าราคาหุ้นเพิ่มสูงขึ้นทำยอดสูงใหม่ SAR จะเคลื่อนที่ตามราคาแต่ในอัตราที่เร็วกว่า จนกระทั่ง SAR เคลื่อนที่เข้าใกล้ราคาแล้วกระโดดขึ้นไปอยู่เหนือ ดังนั้นควรที่จะขายหุ้นในวันแรกที่ SAR อยู่เหนือราคาหุ้น

ในทางกลับกัน ถ้าเป็นกรณีขายหุ้น (SHORT POSITION) SAR จะเคลื่อนที่ต่ำลงเรื่อย ๆ แต่จะมีอัตราที่เร็วกว่าราคาหุ้นในกรณีที่ราคาทำยอดต่ำใหม่ จนกระทั่งเข้าใกล้ราคาและกระโดดลงไปอยู่ใต้ราคาในที่สุด ดังนั้นควรที่จะซื้อหุ้นในวันแรกที่ SAR อยู่ต่ำกว่าราคาหุ้น สำหรับค่า SAR ที่คำนวณจากข้อมูลปัจจุบัน จะใช้เป็นค่าที่ชี้แนวโน้มของตลาดหรือราคาหุ้น เพื่อการตัดสินใจในวันรุ่งขึ้น

หลักการคำนวณ

SARt-1 = SARt + AF(EPt - SARt)

SARt-1  คือ ค่า SAR ในวันรุ่งขึ้น
SARt     คือ ค่า SAR ในวันปัจจุบัน
EPt        คือ ราคาต่ำสุดในวันนั้นกรณีขายหุ้น (SHORT)
                   และราคาสูงสุด ในวันนั้น กรณีซื้อหุ้น (LONG)
AF        คือ ค่าความเร่ง โดยเริ่มต้นที่ 0.02 และเพิ่มขึ้น 0.02 ทุก ๆ ครั้งที่เกิดยอดสูงใหม่ในแนวโน้มขึ้น หรือต่ำใหม่ในแนวโน้มลง และจะสะสมไปได้มากที่สุดที่ 0.2 แต่ถ้าไม่เกิดยอดสูงหรือต่ำใหม่ จะใช้ค่าเดิม ไปจนกว่าจะเกิดยอดสูงใหม่หรือต่ำใหม่

สำหรับความถูกต้องของสัญญาณจากเครื่องมือ PARABOLIC จะขึ้นอยู่กับลักษณะการเคลื่อนตัวของราคาหุ้น โดยถ้าหุ้นมีแนวโน้มที่ชัดเจนไม่ว่าขึ้นหรือลง (UPWARD OR DOWNWARD) ความน่าเชื่อถือของสัญญาณจะมีมาก แต่ถ้าการเคลื่อนที่ของหุ้นมีทิศทางไม่แน่นอนหรือขึ้นลงสลับกัน (SIDEWAYS) ความแม่นยำของสัญญาณก็จะลดลง

ดังนั้นนาย WILDER จึงได้สร้างเครื่องมืออีกตัวหนึ่งขึ้นมา เพื่อช่วยกลั่นกรองความถูกต้องของสัญญาณจาก PARABOLIC คือ AVERAGE DIRECTIONAL MOVEMENT (ADX) (รายละเอียดของการคำนวณ และการวิเคราะห์ได้กล่าวไว้ในหัวข้อ DIRECTIONAL MOVEMENT) โดยตัว ADX นี้ถูกกำหนดการเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 0 ถึง 100 (ไม่เคลื่อนไหวจนถึงเคลื่อนไหวมาก) โดยบอกถึงว่า ถ้าตัว ADX มีค่ามาก ๆ แล้ว ตลาดนั้นหรือหุ้นตัวนั้นมีทิศทางการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน ซึ่งจะทำให้สัญญาณจาก PARABOLIC มีน้ำหนักในความน่าเชื่อถือมากตาม นอกจากนั้นนาย WILDER ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ค่าของ ADX ที่จะชี้ถึงความน่าเชื่อถือในสัญญาณของ PARABOLIC อย่างน้อยไม่ควรต่ำกว่า 20 และเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการใช้ค่าของ ADX ในการกลั่นกรองสัญญาณของ PARABOLIC คือเมื่อ ADX ไต่ระดับสูงขึ้น


สัญญาณของ SAR :

กรณีน่าเชื่อถือสูง คือ 1, 4
กรณีที่น่าเชื่อถือปานกลาง คือ 2
กรณีที่น่าเชื่อถือน้อย คือ 3

           จุดที่ควรขาย คือ จุดที่ SAR อยู่เหนือดัชนี หรือราคาหุ้น และเส้น ADX เริ่มไต่ระดับสูงขึ้น ซึ่งก็คือจุด A ในกราฟ
           จุดที่ควรซื้อ คือ จุดที่ SAR อยู่ใต้ดัชนี หรือราคาหุ้น และเส้น ADX เริ่มไต่ระดับสูงขึ้น ซึ่งก็คือ จุด B ในกราฟ

บทความอื่นๆ

Bollinger Band



สำหรับบทความนี้นะครับ จะเป็นเรื่อง การใช้  Bollinger Band ผมจะอธิบายตามหลักที่ผมเข้าใจนะครับ
Bollinger Band คือเส้นที่อยู่เหนือราคา และอยู่ตำกว่าราคา สองเส้นนี้จะเป็นกรอบที่ห้อมล้อมราคาไว้ และสามารถบอกเราให้รู้ว่า ราคาควรจะอยู่ในช่วงไหน ซึ่งนี้แหระครับ คือความมหัศจรรย์ของมัน หลายคนอาจจะมีมองข้ามสิ่งที่ง่ายๆไป สิ่งที่สามารถทำกำไรได้ โดยที่ไม่รู้ว่า พื้นฐานนี่แหระครับ เป็นสิ่งที่ดี (Basis(c) is the best ) โบลินเจอร์แบนจะประกอบด้วยทั้งหมด 3 เส้น ในกรณีที่อยู๋ในกราฟ MT4 นะครับ แต่ถ้าอยู่ใน Marketiva จะมีสองเส้น (ให้เพิ่มเส้น MA 20 เข้าไปเพื่อให้มีสามเส้นเหมือนกับ mt4 )
Bollinger band ประกอบด้วย 1. Upper Line เส้นบนสุด  2.Middle Band เส้นกลาง 3. Lower Line เส้นล่างสุด  เส้นกลาง Middle Line ผมจะเรียกมันว่า เส้น Pivot จะใช้เป็นจุดกึ่งกลางของช่วงที่ราคาเคลื่อนที่ โดยกฎทั่วไปของ Bollinger band  ผมจะพิจารณาเป็นสองช่วงนะครับ ช่วงแรกคือกราฟวิ่งทางเดียว หรือที่เรียกว่า กราฟมีแนวโน้มที่ชัดเจน และช่วงที่สองคือ ช่วงกราฟวิ่งขึ้นวิ่งลงเป็น Flat(ขนานในแนวระนาบ) หรือที่เรียกว่ากราฟ Sideway (เหมาะมากกับการใช้โบลินเจอร์แบน)
เรามาดูแบบแรกกันก่อนนะครับ
สภาวะขาขึ้น Bullish 
-ช่วงที่มีแนวโน้มชัดเจน ถ้าเป็นขาขึ้น (Bullish) กราฟจะเกาะเส้นบน (Upper Line ) ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีการพักตัว
-เมื่อกราฟพักตัวแล้วราคามีการปรับตัวลงมา แต่ราคาไม่สามารถทะลุเส้น Middle Band ไปได้ นั่นหมายความว่า ราคายังจะคงขึ้นต่อไปจนกว่าจะไปชนเส้นบน Upper line อีกครั้ง
-แล้วจุดกลับตัวดูยังไง
  
จุดกลับตัวก็ดูจากราคาปิดของแท่งเทียน ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของแท่งมันเอง นั่นหมายความว่า แนวโน้มของกราฟกำลังจะกลับตัวลงมาที่เส้น Middle Line อีกครั้ง
-แล้วเราจะใช้กับ Time frame ไหน จึงจะเหมาะสมที่สุด
Time Frame หรือ ช่วงเวลาที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับตัวคุณเองว่าเล่นสั้น(Short term Trading) หรือเส้นยาว(Long Term Trading) ถ้าเล่นสั้นๆ ก็ใช้ Tf 5 15 นาที แต่ถ้าเล่นยาวๆ ก็ควรจะใช้ มากกว่า 1 H แต่โดยส่วนตัวผมแล้ว ผมใช้กับกราฟ 30 นาที ถือว่าเหมาะสมกับผมที่สุด
ต่อไปเรามาดูสภาวะที่เป็นขาลง Bearish กันบ้างครับ
สภาวะขาลงก็ตรงกันข้ามกับขาขึ้น แต่สภาวะขาลงจะเล่นสนุกกว่าขาขึ้น เพราะลงมากกว่าขึ้น และใช้เวลาน้อยกว่า เทรดเดอร์บางคนรอเล่นเฉพาะขาลง เพราะมันได้กำไรเร็ว
-ถ้าราคาเกาะเส้นล่าง Lower line ไปเรื่อย แสดงแนวโน้มของขาลงยังคงไปต่อ และยังไม่จบอย่างง่ายๆ โดยเฉพาะถ้าแท่งเทียนปิดต่ำกว่าครึ่งของแท่งมันเอง เป็นสัญญาณบอกได้ชัดเจนว่าลงต่อ อย่างแน่นอน
-เมื่อราคามีการพักตัวราคาจะดีดกลับมาที่เส้น Middle Line แต่โดยส่วนมาก ราคามักจะไม่ผ่านเส้นกึ่งกลางนี้
-เมื่อราคาเกิดการพักตัวจะ Side way ไปหาเส้น Middle Line แล้วเมื่อไปชนเส้นนี้ แล้วมีแท่งเทียนขาลงเกิดขึ้น แสดงว่าแนวโน้มยังคงลงต่อไปและไปหาเส้นล่าง(Lower Line ) เสมอ

-แล้วจุดกลับตัวล่ะ ดูยังไง
จุดกลับตัวก็ดูตรงข้ามกับกราฟขาขึ้น จุดกลับตัวของกราฟขาลง ถ้าราคาทะลุเส้นโบลินเจอร์แบนลงไปแล้ว เด้งกลับขึ้นมาแล้วลักษณะของแท่งเทียนแสดงเป็นลักษณะ โดจิ ค้อน หรือดูราคาปิดก็ได้ ถ้าราคาปิด ปิดสูงกว่ากึงกลางของแท่ง ก็แสดงว่า เริ่มจะกลับตัว

ช่วงที่สอง กราฟวิ่งขึ้นวิ่งลง หรือเรียกกันว่ากราฟไซด์เวย์ นั่นเอง
กราฟไซเวย์ดูง่ายครับ ถ้าใช้ Bollinger Band ลักษณะของโบลินเจอร์จะเป็นช่องขนานไปกับแนวระนาน โดยที่
- เส้นบนจะกลายเป็นแนวต้านทันที นั่นหมายความว่า ถ้าราคาขึ้นไปแล้วไม่ผ่าน มันก็จะวิ่งลงมาหาเส้นล่าง แล้วถ้าไม่ผ่านเส้นล่าง ก็ขึ้นไปหาเส้นบน จะเป็นแบบนี้ตลอด
-แล้วมันจะแบบนี้ตลอดเลยเหรอ
มันจะเป็นแบบนี้เฉพาะช่วงไซย์เวย์หนักๆเท่านั้น โดยส่วนมาก จะไม่เกิน 3 Top 3 Bottom ถ้าเกินคือกราฟเริ่มสะสมแรงเพื่อไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
- แล้วมีจุดสังเกตมั้ยว่ากราฟกำลังสะสมกำลังจะพุ่ง
   ดูง่ายๆเลยครับ ถ้าโบลินเจอร์แบนลู่เข้าหากัน หมายความว่า เป็นลักษณะคอคอด หรือขอขวดนัั่นแหระ ให้้เตรียมพร้อมไว้เลย ว่ากราฟจะกำลังจะไปในทิศทางใด ทิศทางหนึ่ง
วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ ผมให้การบ้านกับคนที่อ่านทุกคน จินตนาการตามที่ได้อ่าน แล้วลองดูกราฟ ตอนนี้ผมยังไม่ทำรูปให้ดู แล้วมาดูกันว่า รูปตามจินตนาการของคุณกับของ 9prof จะเหมือนกันมั้ยครับ ฝากไว้เป็นการบ้านนะครับ

มาดูกันต่อนะครับ ว่า  Bollinger band มีวิธีใช้อย่างไร
1.Up Trend ชนขอบบนแล้วทะลุ และราคาเกาะเส้น Upper Line ไปเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า UpTrend Strong แนวโน้มขาขึ้นยังคงไปได้เรื่อยๆ
ดูรูปตัวอย่างด้านล่างครับ


2.DownTrend ชนขอบล่างแล้วทะลุขอบล่างลงมา เมื่อราคาเกาะขอบล่างลงมา ราคาจะไปต่อได้เรื่อยๆ วิธีสังเกตคือ ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนปิดใกล้กับเส้นขอบล่าง นั่นหมายความว่า แนวโน้มลงยังคงดำเนินต่อไป และแนวโน้มขาลงมักจะเคลื่อนที่แบบต่อเนื่อง และรวดเร็วกว่าแนวโน้มขาขึ้นมากๆ
ดูตัวอย่าง แนวโน้มขาลงจาก Bollinger band กันเลยครับ


3.Sideway  เมื่อราคาไซด์เวย์ โบลินเจอร์แบนจะเคลื่อนตัวขนานราบ (Flat) หลักการเทรดด้วย Flat แบบนี้ก็คือ เมื่อราคาชนขอบบนแล้วมีแท่งเทียนกลับตัว ให้เปิดออเดอร์ Sell ทันที และเมื่อราคาชนขอบล่างแล้วมีแท่งเทียนกลับตัวขึ้นไป ให้เปิดออเดอร์ Buy ทันทีครับ ดังรูปตัวอย่างด้านล่าง

ด้านบนเป็นตัวอย่างการเข้าซื้อ ขายโดยใช้ Bollinger Band นะครับ จากรูปดูเหมือนง่ายนะครับ เพราะว่ามันเป็นกราฟย้อนหลัง การดูสัญญาณเพียวๆจากโบลินเจอร์แบนตัวเดียวค่อนข้างจะยากนิดนึงครับ เราต้องอาศัยดูแท่งเทียนตอนกลับตัวด้วย แต่อินดี้ตัวนี้จะเหมาะกับพวกชาวสวนมากกว่า เพราะฉะนั้น ผมจึงต้องหาอินดิเคเตอร์อีกตัวเพื่อเป็นตัวกรองสัญญาณอีกทีครับ เพื่อใช้ร่วมกับ Bollinger band

 

MOVING AVERAGE

MOVING AVERAGE

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ SIMPLE MOVING AVERAGE (SMA)


เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย หรือค่าเฉลี่ยเลขคณิต (ARITHMETIC MEAN) นี้ เป็นวิธีที่นักวิเคราะห์ใช้กันแพร่หลายมากที่สุด ในการหาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ วิธีนี้จะถ่วงน้ำหนักให้ค่าทุกค่าที่นำมาคำนวณมีความสำคัญ (อิทธิพล) ต่อราคาเท่ากันหมด โดยอาศัยหลักการเอาข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งมาหาค่าเฉลี่ยกัน เช่น การหาเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาในช่วงเวลา 10 วัน จะคำนวณโดยรวมราคาหุ้น ณ วันปัจจุบัน (Pt) กับราคาหุ้นของอีก 9 วันก่อนหน้า (Pt-1 ถึง Pt-9) แล้วหารด้วย 10 หลังจากนั้นนำมาจุดบนแผนภูมิแท่ง (BAR CHART) หรือแผนภูมิเส้น (LINE CHART) ให้ตรงกับราคาหุ้นครั้งสุดท้ายแล้วลากเส้นต่อกัน


วิธีการคำนวณ

SMAt = (Pt + Pt - 1 + P1-2 + … + Pt-n+1) /n
โดยที่ :

SMAt คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ณ คาบเวลา (วัน) ปัจจุบัน
n คือ จำนวนวัน
Pt คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณ (เช่น ราคาปิดหรือราคาเฉลี่ยฯ) ณ วันปัจจุบัน
Pt-k คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณย้อนหลังไป k คาบเวลา

อย่างไรก็ดี ยังมีปัญหาถกเถียงเกี่ยวกับความถูกต้องแม่นยำของวิธีนี้คือ ค่าเฉลี่ยฯที่ได้นี้จะมีผลในช่วงระยะเวลาที่ใช้ในการคำนวณเท่านั้น การหาแนวโน้มที่ได้จึงไม่ใช่แนวโน้มที่มาจากข้อมูลทั้งหมด นอกจากนี้ วิธีการคำนวณ SMA ให้ความสำคัญกับทุก ๆ วันเท่ากัน

 Simple Moving Average (SMA) เหมาะกับราคาหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนัก คือมีการผันผวนของค่าเงินไม่มากนัก ควรใช้กับความแตกต่างของค่าเงิน ที่ไม่สูงมานัก
หมายเหตุ : การนำไปวิเคราะห์นั้นต้องใช้ข้อมูลหลายอย่างประกอบด้วยกันหลายอย่าง เช่น อาจจะใช้ เส้นแนวโน้ม + เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ดูจุดเรามั่นใจที่สุดจึงตัดสินใจ ซื้อขายและยังมีวิธีการอีกมากที่จะมากที่ใช้ในการตัดสินใจ



เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ EXPONENTIAL MOVING AVERAGE (EMA)

วิธีนี้เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการหาค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก โดยการให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา และถ่วงน้ำหนักให้ค่าสุดท้ายมีความสำคัญเพิ่มขึ้น วิธีนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญของเวลาในการวิเคราะห์ ราคาทุกราคาจะมีผลต่อค่าของ EMA แม้ว่าราคาล่าสุดจะมีความสำคัญมากที่สุดก็ตาม ซึ่งวิธีนี้เป็นการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นจากวิธี SMA กล่าวคือ EMA นั้น จะถ่วงน้ำหนักโดยให้ความสำคัญกับวันสุดท้ายมากที่สุด และจะเอาค่าทุก ๆ ค่ามาหาค่าเฉลี่ย โดยจะไม่ทิ้งข้อมูลเก่าที่ผ่านมา ซึ่งจะทำให้ค่าทุกค่าสะท้อนให้เห็นการเปลี่ยนแปลงของราคา

ขณะที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตัวอื่น ๆ ให้ความสำคัญต่อคาบเวลา แต่ EMA จะให้ความสำคัญกับค่าตัวหนึ่งที่เรียกว่า SMOOTHING FACTOR (SF) หรือ SMOOTHING CONSTANT โดยที่ SF = 2/(n+1) ซึ่งวิธี



การสร้าง EMA มีสูตรการคำนวณคือ

EMA = EMAt-1 + SF(Pt - EMAt-1)


เมื่อ EMAt คือ ค่าของ Exponential Moving Average ณ เวลาปัจจุบัน
EMAt-1     คือ ค่าของ Exponential Moving Average ณ คาบเวลาก่อนหน้า
SF             คือ ค่าของ Smoothing Factor = 2/(n+1)
Pt              คือ ราคาปัจจุบัน
n               คือ จำนวนวัน

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ WEIGHTED MOVING AVERAGE (WMA)

หุ้น
 วิธีนี้เกิดจากความพยายามในการแก้ปัญหาในเรื่องการถ่วงน้ำหนักจากวิธี SMA โดยให้ความสำคัญกับวันที่ใช้คำนวณวันสุดท้ายมากที่สุด โดยวันถัดไปจะถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อย ๆ และความไวของเส้นค่าเฉลี่ยฯ ถ่วงน้ำหนักนี้ มักจะนำหน้าเส้นค่าเฉลี่ยฯอย่างง่าย
                   อย่างไรก็ดี เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ถ่วงน้ำหนักนี้ อธิบายได้เพียงแค่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในช่วงของเวลาที่พิจารณาอยู่เหมือนกับวิธี SMA มิได้ครอบคลุมถึงราคาในช่วงเวลาที่ผ่านมา

      

    

วิธีการคำนวณ

               [Pnt + Pt-1 (n-1) + (Pt-2 (n-2) + … + t-n+1 (1)]
WMAt = ------------------------------------------------
                           n + (n-1)+(n-2) + … + 2 + 1

      WMAt  คือ ค่าเฉลี่ยฯถ่วงน้ำหนัก ณ วันปัจจุบัน
             Pt   คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณ (เช่น ราคาปิดหรือราคาเฉลี่ยฯ) ณ วันปัจจุบัน
         Ptt-k  คือ ราคาที่เลือกใช้ในการคำนวณย้อนหลังไป k คาบเวลา
              n   คือ จำนวนห้องของค่าเฉลี่ยฯ

Weighted Moving Average (WMA) จะใช้ค่าถ่วงน้ำหนักมากว่าวิธีอื่น ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะเลือก ระหว่าง Exponential หรือ Weighted คือ ถ้าจะใช้ Exponentail จะไม่ใช้ Weighted กลับกัน ถ้าจะใช้ Weighted จะไม่ใช้ Exponential ครับ ส่วนวิธีการใช้งานก็เหมือนเดิมครับ ดุได้ที่ Simple Moving Average

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Triple Exponential Moving Average (TEMA)



Triple Exponential Moving Average หรือ TEMA ถูกพัฒนาขึ้นมาโดย นาย Patrick Mulloy ในปี 1994 เขาพบว่า หนึ่งในปัญหาทั่วไปของการซื้อขายกับ EMAS หรือ oscillators มักพบปัญหาของความล่าช้าของ สัญญาณ ในการตัดสินใจซื้อขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาจึงพัฒนา TEMA ขึ้นมาเพื่อจัดการกับปัญหานี้


การคำนวณ

TEMA=(3xEMA)-(3xEMAofEMA)+(EMAof EMAofEMA)

ในการคำนวณมูลค่า TEMA คือการตัดสินใจของตัวบ่งชี้ระยะเวลาที่ ตัวอย่าง เช่น เมื่อเรากำหนดระยะเวลาที่จะ 5 วันตัวบ่งชี้ที่จะคำนวณ EMA เกี่ยวกับข้อมูลราคา หลังจาก 5 วันไปแล้วนั้น ถือว่าใหม่ EMA เป็นกราฟใหม่ของการเคลื่อนไหวของราคา และถือเป็นเวลาสองของ EMA ค่าที่สองนี้ถูกเรียกว่า คู่เวลา ในที่สุดหนึ่งในสามของ DEMA EMA จะถูกคำนวณและค่าที่จะได้รับการแทนค่าในสูตรข้างต้น จากปัญหาความล่าช้าของ TEMA จึงต้องคูณสาม EMA ลบด้วยระยะนี้ใหม่ EMA (EMA of EMA)คูณสามเช่นกัน ถ้าค่า TEMA เป็นบวก แสดงว่า ความผันผวนในขณะเดียวกันจะลดลง



TEMA เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพก็จริง แต่สามารถใช้ประโยชน์ได้เพียง การเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นเท่นั้น มันจึงยากที่จะใช้ในการตลาดที่มีความผันผวนมาก

ข้อดีของ TEMA คือ การรวมสามเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ซึ้งเป็นกลยุทธ์ของนักลงทุนจำนวนมาก
ข้อเสียของการ TEMA คือ มันรวดเร็วมากในการเปลี่ยนแปลงในโมเมนตัมของราคาตลาด

วัตถุประสงค์หลักของการใช้ TEMA เป็นกรองออกความผันผวนเท่านั้น

เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Kaufman Adaptive Moving Average (KAMA)

KAMA ได้รับการพัฒนาโดย เพอร์รี เจ Kaufman เป็นค่าเฉลี่ยสไตล์ EMA แต่มีการปรับให้ที่แตกต่างกัน ตรง ข้อมูลล่าสุด

          abs (close[today] - close[N days ago])
ER = --------------------------------------
         Sum abs (close - close[prev])
          past N days

ER คือ ค่าระหว่าง 0.0645 และ 0.666 และจากนั้นยกกำลังสองเพื่อให้ปัจจัยกับอัลฟา สำหรับ EMA ระหว่าง 0.444 และ 0.00416 จะสอดคล้องกับระยะเวลา EMA ที่เร็วมาก คือ 3.5 วัน และจะช้าที่สุดที่ 479.5 วัน


alpha = (ER * 0.6015 + 0.0645) ^ 2
KAMA = alpha * close + (1-alpha) * KAMA[prev]


เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Mesa Adaptive Moving Average (MAMA)

Mesa adaptive moving average (MAMA)พัฒนาโดย โดย John F. Ehlers เป็นวิธีการปรับไปใช้ในการเคลื่อนไหวของราคาและวิธีการใหม่ที่ไม่ซ้ำกัน ข้อดีของวิธีของการปรับตัวนี้คือมันมีคุณสมบัติแสดงสัญญาณที่รวดเร็วนั้น หมายถึง ระยะเวลาที่คงที่ แต่เป็นระยะสั้น ตามมูลค่าราคา

MAMA คำนวณจาก Exponential Moving Average (EMA) สมการสำหรับ EMA คือ

Ema = a*Price + (1 - a)*Ema
where a is less than 1

EMA ถูกสร้างขึ้นโดยการเศษส่วนของราคาปัจจุบันและการเพิ่มลบเศษส่วนที่เท่าค่าเดิมของ EMA ดังนั้นวิธีการหนึ่งที่จะทำให้ก EMA ปรับตัว คือค่าที่แตกต่างกันไปตามพารามิเตอร์ที่เป็นอิสระ เช่น Kaufman adaptive moving average (KAMA) และ variable index dynamic average (VIDYA) โดย KAMA และ Vidya ใช้รูปแบบในราคาหรือความผันผวนเป็นพื้นฐานของการปรับตัวของมัน

บทความอื่นๆ

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

กฎ 10 ข้อในการอยู่รอดและการลงทุนด้วย การวิเคราะห์ทางเทคนิค



 กฎ ทั้ง10 ข้อนี้ เป็นหลักการสำคัญสำหรับผู้ที่ใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับการลงทุน เพราะหากไม่มีหลักการดังกล่าวแล้ว เราก็จะไม่สามารถกำหนดการซื้อขายที่เป็นรูปแบบได้ ซึ่งในกฎเหล่านี้จะพูดถึงการวิเคราะห์แนวโน้ม , หาจุดกลับตัว, ติดตามค่าเฉลี่ย, มองหาสัญญาณเตือน และอื่นๆ
หากท่านสามารถเข้าใจและปฎิบัติตามหลักการเหล่านี้ได้ผมเชื่อว่าท่าน ก็สามารถเอาตัวรอด ด้วยการลงทุนโดยใช้หลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้ครับ

1. ดูแนวโน้ม
 เรียนรู้ชาร์ตในระยะยาว โดยเริ่มการวิเคราะห์ชาร์ตในระดับเดือนและสัปดาห์ ของช่วงเวลาหลายๆปี การดูชาร์ตในระดับของช่วงเวลาที่กว้างขึ้นจะทำให้สามารถมองเป็นแนวโน้มของตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น  เมื่อทราบถึงแนวโน้มระยะยาวแล้ว จึงจะดูชาร์ตในระดับวันและนาที  การดูแนวโน้มในช่วงสั้นเพียงอย่างเดียวจะทำให้เกิดความผิดพลาดได้  ถึงแม้ว่าคุณจะลงทุนในระยะสั้น คุณจะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหากคุณลงทุนในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะกลางและยาว

2. วิเคราะห์และไปตามแนวโน้ม
 แนวโน้มของตลาดมีหลายช่วงเวลา ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้น สิ่งแรกคือ คุณต้องรู้ว่าคุณจะลงทุนในระยะเวลาเท่าใด และวิเคราะห์ชาร์ตของช่วงเวลาที่เหมาะสม  โดยที่คุณต้องแน่ใจว่าคุณลงทุนไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มในระยะเวลานั้นๆ ซื้อเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น และขายเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาลง หากคุณลงทุนในระยะกลาง ให้ใช้ชาร์ตในระดับวันและสัปดาห์ ถ้าคุณลงทุนระยะสั้น ให้ใช้ชาร์ตระดับวันและรายนาที  อย่างไรก็ตาม ในแต่ละกรณี ให้ดูแนวโน้มของช่วงเวลาที่ยาวขึ้น และใช้ชาร์ตของช่วงเวลาที่สั้นลงในการหาจุดที่จะเข้าซื้อ-ขาย

3. หาจุดสูงสุดและต่ำสุด
 วิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน จุดที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อก็คือจุดใกล้แนวรับซึ่งมักจะเป็นจุดต่ำสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว  จุดที่ดีที่สุดสำหรับการขายก็คือจุดที่ใกล้แนวต้าน ซึ่งมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบการซื้อขายที่แล้ว หากมีการเคลื่อนผ่านแนวต้าน แนวต้านนั้นจะกลายเป็นแนวรับสำหรับการปรับตัวลดลง  อีกนัยหนึ่ง จุดสูงสุดเดิมกลายเป็นจุดสูงสุดใหม่  และเช่นเดียวกัน ในกรณีที่ราคาทะลุผ่านแนวรับ มักจะมีแรงขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้จุดต่ำสุดเดิมกลายเป็นจุดต่ำสุดใหม่

4. รู้ว่าจะไปไกลแค่ไหนจึงจะกลับตัว
 เทียบอัตราส่วนการขึ้น-ลง เป็นเปอร์เซนต์   โดยทั่วไปตลาดจะมีการกลับตัวทั้งขึ้นและลงตามสัดส่วนเปอร์เซนต์ของแนวโน้มของช่วงก่อน  คุณสามารถวัดอัตราส่วนของการปรับตัวขึ้นหรือลงของแนวโน้มปัจจุบันได้โดยใช้อัตราส่วนชุดหนึ่งที่มีการกำหนดค่าไว้แล้ว  เช่น การกลับตัวขึ้นหรือลง 50%ของแนวโน้มก่อน เป็นอัตราพื้นฐานที่ใช้กันบ่อย  อัตราส่วนต่ำสุดของการวัดการดีดกลับ คือ 1/3 ของแนวโน้มก่อน  และอัตราส่วนสูงสุดคือ 2/3  อัตราส่วนที่สำคัญและควรให้ความสนในก็คือ อัตราส่วน Fibonacci 36% และ 62% ดังนั้น เมื่อตลาดมีการพักในช่วงแนวโน้มขาขึ้น จะมีจุดซื้อคืนจุดแรกเมื่อตลาดปรับตัวลง 33-38% ของจุดสูงสุด

5. ใช้เส้นแนวโน้ม
 เส้นแนวโน้มเป็นหนึ่งในเครื่องมือการวิเคราะห์ที่ง่ายและมีประสิทธิภาพที่สุด  สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีเพียงขอบเขตที่เส้นแนวโน้มแสดงและจุด 2 ตำแหน่งบนชาร์ต  เส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดต่ำสุด 2 จุด ที่อยู่ใกล้กัน และเส้นแนวโน้มขาขึ้นวาดโดยใช้จุดสูงสุด 2 จุดใกล้กัน ราคาของหุ้นมักจะเคลื่อนเข้าใกล้เส้นแนวโน้มก่อนที่จะเคลื่อนกลับเข้าสู่แนวโน้มของมัน  หากราคาทะลุผ่านเส้นแนวโน้ม จะแสดงถึงสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม  เส้นแนวโน้มจะมีผลเมื่อราคาเคลื่อนแตะที่เส้น 3 ครั้งเป็นอย่างน้อย  เส้นแนวโน้มที่ลากได้ยิ่งยาว หมายถึง จำนวนครั้งมากขึ้นของการทดสอบเส้นแนวโน้ม และยิ่งทำให้เส้นแนวโน้มมีความสำคัญมากขึ้น

6. ติดตามค่าเฉลี่ย
 หมายถึงการเคลื่อนไหวของเส้นค่าเฉลี่ย ซึ่งจะบอกถึงราคาเป้าหมายที่จะซื้อและขาย  เส้นค่าเฉลี่ยเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าราคาอยู่ในแนวโน้มเช่นใดและช่วยยืนยันสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม  อย่างไรก็ตาม เส้นค่าเฉลี่ยไม่ใช่เครื่องมือที่จะบอกล่วงหน้าว่าแนวโน้มกำลังจะเปลี่ยน  รูปแบบของการใช้เส้นค่าเฉลี่ยที่เป็นที่นิยมคือการใช้เส้นค่าเฉลี่ย 2 เส้นเพื่อหาจุดซื้อ-ขาย  ค่าที่นิยมใช้สำหรับค่าเฉลี่ยที่ใช้คู่กันคือ 5 วันและ10 วัน, 10 วันและ25วัน, 25 วันและ 50 วัน  สัญญาณซื้อ-ขายเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่มีค่าเฉลี่ยสั้นกว่าตัดกับเส้นที่ยาวกว่า  หรือ เมื่อราคาเคลื่อนผ่านเส้นค่าเฉลี่ย 25 วัน  เนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยต่างๆเป็นดัชนีที่เคลื่อนไปตามแนวโน้ม การใช้เส้นค่าเฉลี่ยจึงเหมาะสำหรับตลาดที่ในช่วงที่มีแนวโน้มที่ชัดเจน

7. รู้ถึงจุดที่ตลาดกลับตัว
Oscillators  (เครื่องมือที่มีตัวเลข ตั้งแต่ 0 ถึง 100) เป็นดัชนีที่ช่วยชี้บอกจุดที่มีการซื้อหรือขายมากเกินไป ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยจะช่วยยืนยันว่าตลาดการเปลี่ยนแนวโน้ม Oscillators จะช่วยเตือนล่วงหน้าว่าตลาดเคลื่อนไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งมากเกินไป และทำให้เกิดการกลับตัว  Oscillators ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Relative Strength Index (RSI) และ Stochastics  ทั้งสองตัวนี้จัดเป็นเครื่องมือที่เรียกว่า Oscillators เพราะให้ค่าที่อยู่ในช่วง 0 ถึง 100   เมื่อ RSI มีค่าเกิน 70 จะแสดงถึงการซื้อที่มีมากเกินไป (Overbought) และ ต่ำกว่า 30 แสดงถึงการขายมากเกินไป (Oversold)  ค่า Overbought และ Oversold สำหรับ Stochastics คือ 80 และ 20  นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ค่า 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับการคำนวณ Stochastics  และ 9 หรือ 14 วันหรือสัปดาห์สำหรับ RSI   สัญญาณกลับตัวที่เกิดใน Oscillators  จะเป็นสัญญาณเตือนว่าตลาดกำลังจะกลับตัว  เครื่องมือเหล่านี้ใช้ได้ดีเมื่อตลาดอยู่ในช่วงที่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไรและไม่แสดงแนวโน้มที่ชัดเจน  สัญญาณในระดับสัปดาห์สามารถนำมาใช้ช่วยในการขจัดสัญญาณหลอกและยืนยันสัญญาณในระดับวัน และใช้สัญญาณระดับวันสำหรับยืนยันสัญญาณในรายนาที

8. มองเห็นสัญญาณเตือน
 Moving Average Convergence Divergence (MACD) เป็นดัชนีวัด (พัฒนาโดย Gerald Appel)   ที่รวมเอาระบบการตัดผ่านของเส้นค่าเฉลี่ยและการชี้จุด Overbought/Oversold ของ Oscillators ไว้ด้วยกัน  สัญญาณซื้อจะเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดขึ้นเหนือเส้นที่ช้ากว่า โดยที่ทั้ง 2 เส้นอยู่ต่ำกว่าศูนย์  สัญญาณขายเกิดเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดลงต่ำกว่าเส้นที่ช้ากว่าที่เหนือศูนย์  สัญญาณในระดับสัปดาห์จะมีน้ำหนักและความสำคัญมากกว่าสัญญาณในระดับวัน  MACD histogram ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่ง แสดงถึงส่วนต่างระหว่าง MACD ทั้งสองเส้น สามารถส่งสัญญาณเตือนว่าจะมีการเปลี่ยนแนวโน้มได้เร็วกว่าอีกด้วย

9. เป็นแนวโน้มหรือไม่เป็นแนวโน้ม
 Average Directional Index (ADX) เป็นดัชนีที่จะบอกว่าตลาดอยู่ในช่วงที่มีแนวโน้มหรือไม่ และเป็นตัวช่วยวัดว่าแนวโน้มนั้นอยู่ในระดับใด  เส้น ADX ที่ชี้ขี้นแสดงถึงแนวโน้มที่มีความชัดเจนมาก ควรใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์  หากเส้น ADX ปรับตัวต่ำลง แสดงถึงตลาดที่ไม่มีแนวโน้มและเหมาะสำหรับเก็งกำไรระยะสั้น ควรใช้ Oscillators ในการวิเคราะห์  การใช้ ADX ช่วยนักลงทุนในการวางแผนกลยุทธ์การลงทุนและในการเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับสภาวะตลาด

10. รู้จักการดูสัญญาณเพื่อยืนยันแนวโน้ม
 สัญญาณที่ให้การยืนยันรวมถึงปริมาณการซื้อขายและจำนวนการซื้อขายที่มีการลงทุนจากผู้ที่เข้ามาซื้อขายใหม่ (open interest) ทั้ง 2 ตัวนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการยืนยันแนวโน้มสำหรับตลาดล่วงหน้า  ปริมาณการซื้อขายมักจะส่งสัญญาณกลับตัวก่อนที่ราคาจะกลับตัว  สิ่งสำคัญคือจะต้องมั่นใจว่ามีปริมาณการซื้อขายอย่างหนาแน่นในทิศทางเดียวกับแนวโน้มปัจจุบัน  ในแนวโน้มขาขึ้น ควรมีปริมาณการซื้อขายที่มากขึ้นเพื่อยืนยันว่าแนวโน้มนั้นยังแข็งแรงอยู่   ส่วน open interest ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยยืนยันว่ามีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่องและช่วยหนุนให้แนวโน้มปัจจุบันคงอยู่  หาก open interest ลดลง ย่อมเป็นสัญญาณเตือนว่าแนวโน้มนั้นใกล้สิ้นสุดลง  ดังนั้นราคาที่มีแนวโน้มสูงขึ้นควรจะมีปริมาณซื้อขายและ open interest หนุนอยู่ด้วย
นักลงทุนกับนักเดินเรือ

     จากสภาวะการปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ประชาชนคนไทยไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เริ่มที่จะสนใจในการหาความรู้ด้านการเงินและการลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสภาวะที่ผลตอบแทนด้านดอกเบี้ย ต่ำลงทุกวัน บวกกับสภาวะวิกฤติทางการเงิน ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักรู้ว่า ความไม่แน่นอนของโลกมนุษย์เป็นอย่างไร และความไม่มั่นคงทางการเงินเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่ากับใคร สถานที่ใดหรือเวลาไหน ก็ได้

ดังนั้นการเรียนรู้เท่าทัน เพื่อที่จะสามารถบริหารความเสี่ยงด้านการจัดสรรเงินออมหรือเงินลงทุน ได้ด้วยตัวเอง หรืออย่างน้อยก็สามารถรู้ได้ว่า เงินที่เราฝากไว้ กับการลงทุนใดๆ นั้น มีที่มาที่ไป และผลลัพท์ที่จะเกิดเป็นอย่างไร  ก็จะสามารถเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้


    ทั้งนี้ ผมจึงได้เขียนบทความที่ให้ความคิดเชิงเปรียบเทียบให้กับนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่วางแผนเป้าหมายชีวิต ไปยังดินแดนแห่งความมั่งคั่ง ได้รับรู้ถึงแนวทางหรือวิธีการเตรียมตัว เพื่อจะได้ไปถึงฝั่งเป้าหมายอย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ต้องออกเรืออย่างไร้การวางแผน และทำให้จมอยู่กลางทะเลหรือล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง กันครับ

  ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่สนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการได้รับข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ หรือการได้สัมผัสกับการลงทุนทางอ้อมผ่านการลงทุนในกองทุนรวมประเภท LTF หรือ RMF ดังนั้นผมจึงขอเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปของนักลงทุนและนักเดินเรือในมหาสมุทร ว่าจริงแล้วก็ไม่ต่างกัน ครับ เพราะผู้ออกเรือที่ไร้การวางแผนหรือการเตรียมพร้อม ก็ยากที่จะถึงฝั่งได้ครับ

 


นักลงทุนกับการเดินเรือ


หากเปรียบภาพการลงทุนของนักลงทุน นั้นอาจจะมีองค์ประกอบด้วยกันอยู่หลายอย่าง ซึ่งผู้เริ่มต้นลงทุนใหม่ จะรู้สึกว่ายาก และคิดว่าคงจะดีกว่า หากจะจ้างคนขับเรือส่วนตัว หรือจะจ่ายค่าโดยสารให้กับเรือสาธารณะเพื่อนั่งร่วมไปกับผู้โดยสารอื่นๆ  แต่อย่างไรก็ดียังมีคนส่วนมากที่รู้สึกว่าหากขับเรือได้เอง อาจจะสบายใจกว่า เนื่องจาก


 

1. การจ้างคนขับเรือส่วนตัว นั้นใช้เงินเริ่มต้นสูง เพราะต้องใช้เงินขั้นต่ำที่ 10 ล้านถึงจะซื้อเรือ พร้อมจ้างคนขับส่วนตัวได้     (การเปิดบัญชีแบบ Private Fund หรือตั้งกองทุนบริหารเงินส่วนบุคคล)

 

2. เรือสาธารณะ บางลำนั้น มีนโยบาย ไม่ให้ผู้โดยสารออกจากเรือ จนกว่า ถึงระยะเวลาที่กำหนด แม้ว่าจะต้องเจอกับพายุใดๆ ก็ตาม (การเลือกลงทุนผ่านกองทุนปิด ที่กำหนดระยะเวลาการขายคืนหน่วยลงทุนเช่น 2ปี หรือต้องกำไรมากกว่า10% จึงจะปิดกองทุนได้ ซึ่งผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุน ได้เลยจนกว่าครบอายุสัญญา)

 

3. การจะออกจากเรือสาธารณะ ต้องแจ้งกระเป๋าเรือก่อนล่วงหน้า ก่อนเที่ยงวัน ถึงจะลงจากเรือในตอนเย็นได้ ซึ่งช่วงครึ่งเย็นนั้นอาจเป็นเย็นที่ฝนตกหนักหรือเป็นเย็นที่ท้องฟ้าสดใส ก็ไม่สามารถตอบได้ (การลงทุนผ่านกองทุนนั้นจะต้องส่งคำสั่งซื้อหรือขายก่อนเที่ยง โดยจะได้ราคาที่ซื้อหรือขายเป็นราคาปิดตลาดของเย็นวันที่ส่งคำสั่ง ซึ่งอาจไม่ทันการณ์ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างวันได้)

 

4. ค่าธรรมเนียมนั่งโดยสารเรือสาธารณะ อาจแพงกว่าการหาเรือมาขับเอง (ค่าธรรมเนียมการซื้อขายกองทุน มีค่าบริหารจัดการ ค่านายทะเบียน ซึ่งรวม รวมแล้ว ก็จะแพงกว่าการซื้อขายหุ้นด้วยตัวเอง)

 

5. การขับเรือด้วยตัวเอง อาจจะสบายใจกว่า ในด้านการกำหนดทิศทางการเดินเรือได้เอง จะหยุดพักที่ไหนก็ได้ หรือ จะเลือกออกเรือ หรือ หลบคลื่นลม ณ ช่วงไหนก็ได้ เป็นต้น

 

ซึ่งเมื่อเห็นจากประเด็นต่างๆ เหล่านี้ จึงเห็นว่า ผู้โดยสารส่วนหนึ่งก็จะเลือกมาเป็นผู้ขับเรือเอง แต่ก็มีผู้โดยสารหลายคน บ้างก็ขับเรือล่มก่อนถึงฝั่ง บ้างก็ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย หรือเปลี่ยนเรือลำใหม่ ที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่การวางแผนการออกเรือ การดูคลื่นลม และประสบการณ์เป็นต้น

 

ดังนั้นหากเปรียบเทียบการลงทุนกับการออกเรือ ก็คงไม่แตกต่างกัน เพราะหากผู้โดยสารทุกคนมีเป้าหมายการออกเรือที่ชัดเจน มีกรอบระยะเวลา สามารถประเมินความเสี่ยง และโอกาส ในการออกเรือเพื่อให้ถึงเป้าหมาย อย่างปลอดภัยนั้น ควรจะต้องเตรียมการและศึกษาวิธีการในการควบคุมเรือให้ได้อย่างเหมาะสม เพราะในทะเลนั้น ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่มนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถควบคุมได้

 

โดย นักเดินเรือหรือนักลงทุนที่ดี ควรจะต้องมีศึกษาข้อมูลและมีการวางแผนการเดินทางก่อนออกเดินทางเสมอ เพื่อจะได้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและไม่ใช้เวลามากจนเกินไป และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางให้ถึงจุดหมายในการออกเรือจึงมีข้อแนะนำดังนี้

 

1.กำหนดเป้าหมาย และ กำหนดระยะเวลาเดินเรือ (การกำหนดผลตอบแทนและระยะเวลาในการลงทุน) เช่น ระยะทางที่จะเดินทาง ว่าจะใช้เวลาเบื้องต้นเป็นเวลาเท่าไร เช่น กี่เดือนหรือกี่ปี ซึ่งอาจมีทั้งที่หมายระยะสั้น และที่หมายระยะยาว  รวมทั้งความสามารถของผู้โดยสารที่จะสามารถอยู่ในเรือได้ยาวนานเท่าไรด้วย

 

2. การเลือกเส้นทางเดินเรือ (กำหนดนโยบายการลงทุน) ว่าจะเลือกเส้นทางหลัก หรือเส้นทางลัด แต่อาจมีความเสี่ยงเรื่องอุปสรรค ต่างๆที่อยู่ในน่านน้ำ ได้แก่โขดหินโสโครก , กระแสน้ำที่รุนแรง, แหล่งน้ำเน่าเหม็น ซึ่งผู้เดินเรือจะต้องประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหากเลือกเดินทางในเส้นทางดังกล่าว ว่าผลตอบแทนนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงกับตัวเรือหรือเปล่า (เพราะเมื่อเสียหายอาจซ่อมเรือไม่ได้)

 

3.การเลือกขนาดเรือ (ขนาดของเงินลงทุน)  ควรเลือกขนาดเรือให้เหมาะสมกับตัวผู้โดยสารเอง เพราะจะบ่งบอกถึงความสามารถ ในการบรรจุสัมภาระต่างๆ และความคล่องตัว เพราะหากท่านเลือกเดินทางในกระแส น้ำที่เชี่ยว หรือแคบ ต้องใช้ความคล่องตัว ในการหลบหลีกหรือพร้อมสละเรือได้ตลอดเวลา แต่หากเป็นเรือที่ใหญ่เลือกทางสัญจรทั่วไป จะปลอดภัยกว่า

 

4.การเลือกสัมภาระที่นำลงไปในเรือ (การจัดพอร์ตลงทุน) ทั้งนี้ผู้เดินทางจะต้องเข้าใจในสินค้าแต่ละประเภทว่ามีคุณสมบัติเช่นไร และควรเลือกสินค้าใด สัดส่วนเท่าไหร่ลงไปในเรือซึ่งสินค้าต่างๆ ก็จะมีคุณสมบัติดังนี้

4.1 สินค้าที่สามารถออกผลผลิตได้ระหว่างการเดินทาง (เช่นหุ้นปันผล)

4.2 สินค้าที่สามารถขายได้ราคาดี เมื่อนำไปขายที่ท่าเรือเป้าหมาย แต่อาจซื้อขายได้ยากหากไม่ถึงเวลาที่กำหนด (เช่นหุ้นคุณค่า)

4.3 สินค้าที่มีความเสี่ยงของการเน่าเสีย (เช่น หุ้นปั่นหรือหุ้นเล่นตามกระแสนิยม)

4.4 สินค้าพื้นเมืองที่ใครก็รู้จักทำให้ซื้อขายคล่องตัว (เช่น หุ้นในกลุ่ม SET50)

 

แต่อย่างไรก็ดีสินค้าที่เลือกลงเรือไม่ควรที่จะหลากหลายเกินไปและควรสอดคล้องกับขนาดของเรือ ระยะเวลาการเดินเรือ และเป้าหมายของการเดินเรือ

 

@ ทั้งนี้ผู้เดินเรือเองควรศึกษาถึงวิธีวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง ด้านราคาของสินค้า และผลตอบแทนที่เกิดขึ้น ว่ามีราคาถูกหรือแพงอย่างไร คุ้มค่ากับการนำใส่ไปในเรือหรือไม่  (เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน) ซึ่งอาจต้องใช้ประสบการณ์และสอบถามผู้รู้หรือดูข้อมุลที่มีผู้วิเคราะห์ไว้แล้ว

 

5. รู้ทิศทางคลื่นและกระแสลม (การหาจังหวะในการลงทุน) โบราณว่าน้ำเชียวอย่านำเรือไปขวาง เปรียบเสมือนการเดินเรือที่จะได้รับความปลอดภัย หรือใช้เวลาเดินเรือที่สั้นจะต้องรู้ทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลม ซึ่งหากเลือกเดินทางในช่วงคลื่นลมไม่สงบ หรือล่องเรือสวนกระแส อาจทำการออกเรือนั้นสูญเปล่า หรือนำมาให้เกิดความเสียหายของตัวเรือ ซึ่งบางครั้ง การไม่ออกเรือเลยจะเป็นวิธีที่ดีกว่า

 

ดังนั้นผู้ออกเรือควรศึกษาถึงวีธีการประเมินกระแสน้ำว่าอยู่ในทิศทางขึ้นหรือลง หรือเป็นน้ำวน (ไม่มีทิศทางชัดเจน)  เพื่อจะได้กำหนดจังหวะในการออกเรือและพักเรือได้ (เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ทางเทคนิค)

 

6. ซ้อมแผนสละเรือ (การรู้จักที่จะหยุดขาดทุน) ผู้โดยสารควรมีแผนสำรองในการรักษาชีวิตของตนเอง หากการเดินเรือนั้นเจออุปสรรคที่จะต้องสละเรือทิ้ง ดังนั้น การเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ด้วยการสมมุติเหตุการณ์ และกำหนดแผนปฎิบัติ ก็จะเป็นตัวช่วยให้การเดินทาง ครั้งนั้น สามารถรักษาชีวิต เพื่อสร้างโอกาสให้กับมาเดินเรือใหม่ได้ ซึ่งผู้โดยสารจะต้องรู้ว่าจะเส้นทางเดินเรือที่เลือกเดินนั้นมีความเสี่ยงอย่างไรด้วยเช่นกัน




หากกล่าวโดยสรุปคือ

ผู้เดินเรือมือใหม่ นั้นมีความเสี่ยงอยู่มากมายที่อาจไม่สามารถถึงที่หมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย หรือไม่สามารถขายสินค้าอยู่ในลำเรือได้เมื่อถึงที่หมาย  แต่อย่างไรก็ดีการวางแผน ศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อม จะเป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยง  ซึ่งแม้จะต้องมีการลองถูกหรือลองผิดก่อน แต่ประสบการณ์ที่สะสมไว้จะเป็นตัวช่วย ซึ่งหากเดินเรือได้แล้วก็จะเป็นทักษะที่ติดตัวไปได้ตลอด และเมื่อถึงเวลาหนึ่งผู้เดินเรือนั้นก็จะสามารถนำเรือที่ใหญ่มาก และมากขึ้นเรื่อยๆถึงฝั่งได้เช่นกัน

แต่ปัญหาของผู้เดินเรือส่วนใหญ่มักชอบที่จะขับเรือเองแต่ไม่ได้ติดตามเส้นทางการเดินเรือของตน คอยแต่รับฟังความเห็นของ ลูกเรือบ้าง หรือเรือลำข้างๆบ้าง หรือรับฟังแต่ข่าวสารจากวิทยุสื่อสารบ้าง ซี่งไม่ได้วิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าที่เกิดขึ้นจริง จึงทำให้เลือกเดินทางตามเส้นทางที่คนอื่นเขาบอกว่าดีหรือปลอดภัย แต่ไม่รู้ว่าจะมีหลุมน้ำวน หรือโขดหินอยู่ตรงไหน และบางครั้งกังวลจนเกินไป ทำให้การเดินเรือเป็นเรื่องที่เครียด ไม่ได้สนุกเหมือนอย่างที่ออกเรือไปในตอนแรก  ดังนั้น ก่อนออกเรือทุกครั้งผู้เดินเรือควรวางแผนการเดินเรือของตนว่าคุ้มค่ากับการออกเรือหรือไม่ และมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง ก็จะทำให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุกและยอมรับได้หากเกิดปัญหาไม่คาดฝันใดใด เกิดขึ้น

ทั้งนี้จึงขอฝากข้อคิดเหล่านี้ให้กับผู้ลงทุนทุกท่าน สำหรับการเดินทางบนเส้นทางการลงทุน แห่งนี้  ครับ



การลงทุนนั้นไม่ยาก หากเข้าใจ ถึงผลลัพธ์ ของความเสี่ยง และผลตอบแทน เพียงแต่คุณจะเลือกเดินทางในการเดินทางนั้น หรือการเดินทางถัดไป ก็ขึ้นอยู่กับข้อคิดต่างๆ 6 ข้อที่กล่าวมาครับ