หลายท่านสงสัยที่มาของสูตรคำนวณราคาทองคำที่ใช้กัน จริงๆก็เคยตอบไปแล้ว แต่ก็หล่นๆไปตามกาลเวลา วันนี้ลอกกลับมาปรับปรุงให้อ่านกันใหม่ และปักหมุดไว้เลย เผื่อท่านที่มาทีหลังจะได้ไม่ต้องไปหาขุดขึ้นมาอีก
ราคาทองไทยเป็นทองชนิด 96.5% เปอร์เซนต์ และประกาศที่น้ำหนัก 1บาท ครับ
ส่วนของ Newyork เป็นการประกาศทองชนิด 99.99% ที่น้ำหนัก 1 ออนซ์
การคำนวณจะใช้สูตรนี้ครับ
ราคาทองไทย = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
โดย Premium เป็นค่าธรรมเนียมอะไรนี่แหละครับ เท่ากับ 1 เหรียญ ( บางทีก็ 2 เหรียญ)
อย่างตัวอย่างสดๆ (22.5.51 13.13 น.) ที่ ThaiGoldRealTime goldspot 932.7 USD/THB 31.95 คำนวณได้ 14107 บาท
ลองเข้าสูตรเป็น
ราคาทองไทย = (( 932.7 +1 ) x 32.148 x 31.95 x .965 )/65.6
ราคาทองไทย = 14107.68 บาท สมาคมประกาศ 14100-14000 (ขึ้นสดๆเลย หุหุ)
ปล. รวบสูตรข้างบนง่ายๆเข้าก็เอา 32.148x .965 /65.6 มารวมกันได้เป็น 0.4729 หรือ 0.473
ได้สูตรนี้ครับ
ราคาทองไทย = ( Spot Gold + 1 ) x THB x 0.473 ก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนตัวเลข ตัวเลข 32.148 และ 65.6 มาจากไหน
เพราะว่าปกติ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
และ 15.244 กรัม ( 1 บาททองคำ ) เท่ากับ 0.49 ออนซ์
solve ออกมาได้ว่า
SpotGold ของฝรั่งเป็นราคาทอง 9999 และเป็น USD ต่อออนซ์ครับ
ราคา ทอง9999 ต่อ กก = (SpotGold +Premium) x นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก
นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508 ออนซ์
แปลงไปเป็นทองชนิด 100% ก่อนครับ ดังนี้
นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508x0.9999
= 32.14758
= 32.148 .......... ที่มาของเลขที่สงสัยครับ
ราคาทอง100% ต่อ กก = (SpotGold + Premium) x นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก
= (SpotGold + Premium) x 32.148 ..................................(1)
แปลง นน. จากออนซ์เป็นทองไทย 1 บาท
หา นน ทอง100% ของทอง 1 บาทไทย
ทอง965 1 บาท = 15.244g หรือ 0.015244 กก หรือ 1/65.6 กก
ทอง100%1 บาท = 0.965/65.6 กก ............................................................(2)
= 0.01471 กก
ราคาทองไทย 96.5% 1บาท ได้จาก (1) x THB x (2) ก็คือสูตรนี้
= (SpotGold + Premium) x 32.148 x THB x 0.965/65.6
หรือก็คือสูตรที่ใช้กัน = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
บทความอื่นๆ
วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557
การวางแผนการเงิน
การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้ได้ว่า ในเดือนหนึ่งเราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายส่วนเกินลงได้แล้ว ยังช่วยให้คุณมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นด้วย...และนี่คือ 7 วิธีที่ได้ผลที่ควรลองทำตามดู
1. เปอร์เซ็นต์ดังนี้ 60% คือเงินที่ต้องใช้ประจำทุกเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าอาหาร ค่ารถ 10% คือเงินที่เก็บออมไว้ ในยามเกษียณ 10 % สำหรับ สำหรับเก็บไว้ในระยะยาว เอาไว้โปะหนี้ หรือคุณอาจนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยก็ได้ 10 % เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมเครื่องใช้ในบ้าน ค่าของขวัญ และ 10 % สุดท้ายเผื่อไว้สำหรับความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังคอนเสิร์ต เป็นต้น
2. ฝึกนิสัยการเซฟเงินให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ว่าเงินส่วนไหนควรเก็บออม เงินส่วนไหนควรใช้จ่าย นอกจากนี้ ควรทำบัญชีหลักเพียง 2 บัญชี คือ บัญชีสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน และ บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ การทำเช่นนี้อาจดูยุ่งยากอยู่สักหน่อย แต่ก็จะช่วยให้คุณจัดสรรการใช้เงินได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมาปวดหัวภายหลัง
3. ใช้เงินสดจ่ายทุกอย่าง เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าบัตรเครดิต ฯลฯ โดยให้เบิกเงินแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้น วิธีนี้ดีกว่าการใช้เช็คหรือบัตรเครดิตเป็นไหนๆซึ่งเราจะได้ไม่เผลอใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย หากจะใช้บัตรเครดิตก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นจริๆเท่านั้น
4. แบ่งเวลา 15-20 นาที ต่อสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของตัวเองว่า เราใช้จ่ายไปมากน้อยแค่ไหน ใช้เงินเกินงบหรือไม่ โดยอาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างตารางขึ้นมา แล้วบันทึกค่าใช้จ่ายเรียงลำดับก่อนหลังตามความจำเป็นให้พยายามตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป วิธีนี้จะช่วยให้เราใช้เงินได้ตามแผนที่วางไว้
5. แบ่งเงินใส่ซองแต่ละซอง โดยเขียนหน้าซองไว้ว่า ซองนี้ซองนั้นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหากใช้เงินไม่หมดซองเราก็สามารถเช็คได้ง่าย แล้วยังเก็บไว้สมทบเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนหน้าได้อีกด้วย วิธีนี้อาจดูโบราณไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอย่างดีไม่น่าเชื่อ
6. ตัดใจบอกยกเลิกบัตรเครดิตบางบัตรที่ไม่จำเป็นไปบ้าง จะได้ช่วยลดภาระหนี้สินลงได้ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แต่บัตรเดบิต (ที่หักเงินจากบัญชีธนาคารของเรา) เพียงอย่างเดียว
7. จ่ายบิลทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าครบกำหนดชำระในวันที่หนึ่งของทุกเดือน ก็ให้รวบรวมทุกบิลไปจ่ายพร้อมกันทีเดียวเลย จะได้รู้ว่าเดือนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักๆ เท่าไร และเงินส่วนไหนที่สามารถจะเก็บออมไว้ได้บ้าง
บทความอื่นๆ
1. เปอร์เซ็นต์ดังนี้ 60% คือเงินที่ต้องใช้ประจำทุกเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าอาหาร ค่ารถ 10% คือเงินที่เก็บออมไว้ ในยามเกษียณ 10 % สำหรับ สำหรับเก็บไว้ในระยะยาว เอาไว้โปะหนี้ หรือคุณอาจนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยก็ได้ 10 % เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมเครื่องใช้ในบ้าน ค่าของขวัญ และ 10 % สุดท้ายเผื่อไว้สำหรับความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังคอนเสิร์ต เป็นต้น
2. ฝึกนิสัยการเซฟเงินให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ว่าเงินส่วนไหนควรเก็บออม เงินส่วนไหนควรใช้จ่าย นอกจากนี้ ควรทำบัญชีหลักเพียง 2 บัญชี คือ บัญชีสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน และ บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ การทำเช่นนี้อาจดูยุ่งยากอยู่สักหน่อย แต่ก็จะช่วยให้คุณจัดสรรการใช้เงินได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมาปวดหัวภายหลัง
3. ใช้เงินสดจ่ายทุกอย่าง เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าบัตรเครดิต ฯลฯ โดยให้เบิกเงินแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้น วิธีนี้ดีกว่าการใช้เช็คหรือบัตรเครดิตเป็นไหนๆซึ่งเราจะได้ไม่เผลอใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย หากจะใช้บัตรเครดิตก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นจริๆเท่านั้น
4. แบ่งเวลา 15-20 นาที ต่อสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของตัวเองว่า เราใช้จ่ายไปมากน้อยแค่ไหน ใช้เงินเกินงบหรือไม่ โดยอาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างตารางขึ้นมา แล้วบันทึกค่าใช้จ่ายเรียงลำดับก่อนหลังตามความจำเป็นให้พยายามตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป วิธีนี้จะช่วยให้เราใช้เงินได้ตามแผนที่วางไว้
5. แบ่งเงินใส่ซองแต่ละซอง โดยเขียนหน้าซองไว้ว่า ซองนี้ซองนั้นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหากใช้เงินไม่หมดซองเราก็สามารถเช็คได้ง่าย แล้วยังเก็บไว้สมทบเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนหน้าได้อีกด้วย วิธีนี้อาจดูโบราณไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอย่างดีไม่น่าเชื่อ
6. ตัดใจบอกยกเลิกบัตรเครดิตบางบัตรที่ไม่จำเป็นไปบ้าง จะได้ช่วยลดภาระหนี้สินลงได้ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แต่บัตรเดบิต (ที่หักเงินจากบัญชีธนาคารของเรา) เพียงอย่างเดียว
7. จ่ายบิลทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าครบกำหนดชำระในวันที่หนึ่งของทุกเดือน ก็ให้รวบรวมทุกบิลไปจ่ายพร้อมกันทีเดียวเลย จะได้รู้ว่าเดือนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักๆ เท่าไร และเงินส่วนไหนที่สามารถจะเก็บออมไว้ได้บ้าง
บทความอื่นๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)