หลายท่านสงสัยที่มาของสูตรคำนวณราคาทองคำที่ใช้กัน จริงๆก็เคยตอบไปแล้ว แต่ก็หล่นๆไปตามกาลเวลา วันนี้ลอกกลับมาปรับปรุงให้อ่านกันใหม่ และปักหมุดไว้เลย เผื่อท่านที่มาทีหลังจะได้ไม่ต้องไปหาขุดขึ้นมาอีก
ราคาทองไทยเป็นทองชนิด 96.5% เปอร์เซนต์ และประกาศที่น้ำหนัก 1บาท ครับ
ส่วนของ Newyork เป็นการประกาศทองชนิด 99.99% ที่น้ำหนัก 1 ออนซ์
การคำนวณจะใช้สูตรนี้ครับ
ราคาทองไทย = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
โดย Premium เป็นค่าธรรมเนียมอะไรนี่แหละครับ เท่ากับ 1 เหรียญ ( บางทีก็ 2 เหรียญ)
อย่างตัวอย่างสดๆ (22.5.51 13.13 น.) ที่ ThaiGoldRealTime goldspot 932.7 USD/THB 31.95 คำนวณได้ 14107 บาท
ลองเข้าสูตรเป็น
ราคาทองไทย = (( 932.7 +1 ) x 32.148 x 31.95 x .965 )/65.6
ราคาทองไทย = 14107.68 บาท สมาคมประกาศ 14100-14000 (ขึ้นสดๆเลย หุหุ)
ปล. รวบสูตรข้างบนง่ายๆเข้าก็เอา 32.148x .965 /65.6 มารวมกันได้เป็น 0.4729 หรือ 0.473
ได้สูตรนี้ครับ
ราคาทองไทย = ( Spot Gold + 1 ) x THB x 0.473 ก็ได้เช่นกันครับ
ส่วนตัวเลข ตัวเลข 32.148 และ 65.6 มาจากไหน
เพราะว่าปกติ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม
และ 15.244 กรัม ( 1 บาททองคำ ) เท่ากับ 0.49 ออนซ์
solve ออกมาได้ว่า
SpotGold ของฝรั่งเป็นราคาทอง 9999 และเป็น USD ต่อออนซ์ครับ
ราคา ทอง9999 ต่อ กก = (SpotGold +Premium) x นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก
นน ทอง9999เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508 ออนซ์
แปลงไปเป็นทองชนิด 100% ก่อนครับ ดังนี้
นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก = 32.1508x0.9999
= 32.14758
= 32.148 .......... ที่มาของเลขที่สงสัยครับ
ราคาทอง100% ต่อ กก = (SpotGold + Premium) x นน ทอง100% เป็นออนซ์ ต่อ กก
= (SpotGold + Premium) x 32.148 ..................................(1)
แปลง นน. จากออนซ์เป็นทองไทย 1 บาท
หา นน ทอง100% ของทอง 1 บาทไทย
ทอง965 1 บาท = 15.244g หรือ 0.015244 กก หรือ 1/65.6 กก
ทอง100%1 บาท = 0.965/65.6 กก ............................................................(2)
= 0.01471 กก
ราคาทองไทย 96.5% 1บาท ได้จาก (1) x THB x (2) ก็คือสูตรนี้
= (SpotGold + Premium) x 32.148 x THB x 0.965/65.6
หรือก็คือสูตรที่ใช้กัน = (( Spot Gold + Premium ) x 32.148 x THB x .965 )/65.6
บทความอื่นๆ
วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557
วันพุธที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2557
การวางแผนการเงิน
การวางแผนการเงินเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเป็นวิธีที่ทำให้เรารู้ได้ว่า ในเดือนหนึ่งเราใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดรายจ่ายส่วนเกินลงได้แล้ว ยังช่วยให้คุณมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นด้วย...และนี่คือ 7 วิธีที่ได้ผลที่ควรลองทำตามดู
1. เปอร์เซ็นต์ดังนี้ 60% คือเงินที่ต้องใช้ประจำทุกเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าอาหาร ค่ารถ 10% คือเงินที่เก็บออมไว้ ในยามเกษียณ 10 % สำหรับ สำหรับเก็บไว้ในระยะยาว เอาไว้โปะหนี้ หรือคุณอาจนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยก็ได้ 10 % เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมเครื่องใช้ในบ้าน ค่าของขวัญ และ 10 % สุดท้ายเผื่อไว้สำหรับความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังคอนเสิร์ต เป็นต้น
2. ฝึกนิสัยการเซฟเงินให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ว่าเงินส่วนไหนควรเก็บออม เงินส่วนไหนควรใช้จ่าย นอกจากนี้ ควรทำบัญชีหลักเพียง 2 บัญชี คือ บัญชีสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน และ บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ การทำเช่นนี้อาจดูยุ่งยากอยู่สักหน่อย แต่ก็จะช่วยให้คุณจัดสรรการใช้เงินได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมาปวดหัวภายหลัง
3. ใช้เงินสดจ่ายทุกอย่าง เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าบัตรเครดิต ฯลฯ โดยให้เบิกเงินแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้น วิธีนี้ดีกว่าการใช้เช็คหรือบัตรเครดิตเป็นไหนๆซึ่งเราจะได้ไม่เผลอใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย หากจะใช้บัตรเครดิตก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นจริๆเท่านั้น
4. แบ่งเวลา 15-20 นาที ต่อสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของตัวเองว่า เราใช้จ่ายไปมากน้อยแค่ไหน ใช้เงินเกินงบหรือไม่ โดยอาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างตารางขึ้นมา แล้วบันทึกค่าใช้จ่ายเรียงลำดับก่อนหลังตามความจำเป็นให้พยายามตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป วิธีนี้จะช่วยให้เราใช้เงินได้ตามแผนที่วางไว้
5. แบ่งเงินใส่ซองแต่ละซอง โดยเขียนหน้าซองไว้ว่า ซองนี้ซองนั้นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหากใช้เงินไม่หมดซองเราก็สามารถเช็คได้ง่าย แล้วยังเก็บไว้สมทบเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนหน้าได้อีกด้วย วิธีนี้อาจดูโบราณไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอย่างดีไม่น่าเชื่อ
6. ตัดใจบอกยกเลิกบัตรเครดิตบางบัตรที่ไม่จำเป็นไปบ้าง จะได้ช่วยลดภาระหนี้สินลงได้ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แต่บัตรเดบิต (ที่หักเงินจากบัญชีธนาคารของเรา) เพียงอย่างเดียว
7. จ่ายบิลทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าครบกำหนดชำระในวันที่หนึ่งของทุกเดือน ก็ให้รวบรวมทุกบิลไปจ่ายพร้อมกันทีเดียวเลย จะได้รู้ว่าเดือนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักๆ เท่าไร และเงินส่วนไหนที่สามารถจะเก็บออมไว้ได้บ้าง
บทความอื่นๆ
1. เปอร์เซ็นต์ดังนี้ 60% คือเงินที่ต้องใช้ประจำทุกเดือน เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าอาหาร ค่ารถ 10% คือเงินที่เก็บออมไว้ ในยามเกษียณ 10 % สำหรับ สำหรับเก็บไว้ในระยะยาว เอาไว้โปะหนี้ หรือคุณอาจนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยก็ได้ 10 % เป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าซ่อมเครื่องใช้ในบ้าน ค่าของขวัญ และ 10 % สุดท้ายเผื่อไว้สำหรับความบันเทิง เช่น ดูหนัง ฟังคอนเสิร์ต เป็นต้น
2. ฝึกนิสัยการเซฟเงินให้เป็นไปโดยอัตโนมัติ ว่าเงินส่วนไหนควรเก็บออม เงินส่วนไหนควรใช้จ่าย นอกจากนี้ ควรทำบัญชีหลักเพียง 2 บัญชี คือ บัญชีสำหรับใช้จ่ายฉุกเฉิน และ บัญชีสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ การทำเช่นนี้อาจดูยุ่งยากอยู่สักหน่อย แต่ก็จะช่วยให้คุณจัดสรรการใช้เงินได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องมาปวดหัวภายหลัง
3. ใช้เงินสดจ่ายทุกอย่าง เช่น ค่าอาหาร ค่าน้ำมัน ค่าบัตรเครดิต ฯลฯ โดยให้เบิกเงินแค่เดือนละสองครั้งเท่านั้น วิธีนี้ดีกว่าการใช้เช็คหรือบัตรเครดิตเป็นไหนๆซึ่งเราจะได้ไม่เผลอใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย หากจะใช้บัตรเครดิตก็ต่อเมื่อถึงคราวจำเป็นจริๆเท่านั้น
4. แบ่งเวลา 15-20 นาที ต่อสัปดาห์ เพื่อตรวจสอบการใช้เงินของตัวเองว่า เราใช้จ่ายไปมากน้อยแค่ไหน ใช้เงินเกินงบหรือไม่ โดยอาจใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สร้างตารางขึ้นมา แล้วบันทึกค่าใช้จ่ายเรียงลำดับก่อนหลังตามความจำเป็นให้พยายามตัดสิ่งที่ไม่จำเป็นออกไป วิธีนี้จะช่วยให้เราใช้เงินได้ตามแผนที่วางไว้
5. แบ่งเงินใส่ซองแต่ละซอง โดยเขียนหน้าซองไว้ว่า ซองนี้ซองนั้นสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ซึ่งหากใช้เงินไม่หมดซองเราก็สามารถเช็คได้ง่าย แล้วยังเก็บไว้สมทบเป็นค่าใช้จ่ายในเดือนหน้าได้อีกด้วย วิธีนี้อาจดูโบราณไปหน่อย แต่ก็ได้ผลอย่างดีไม่น่าเชื่อ
6. ตัดใจบอกยกเลิกบัตรเครดิตบางบัตรที่ไม่จำเป็นไปบ้าง จะได้ช่วยลดภาระหนี้สินลงได้ และยังเป็นการป้องกันไม่ให้ใช้จ่ายเงินเกินตัวด้วย ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้แต่บัตรเดบิต (ที่หักเงินจากบัญชีธนาคารของเรา) เพียงอย่างเดียว
7. จ่ายบิลทุกอย่างในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าครบกำหนดชำระในวันที่หนึ่งของทุกเดือน ก็ให้รวบรวมทุกบิลไปจ่ายพร้อมกันทีเดียวเลย จะได้รู้ว่าเดือนหนึ่งมีค่าใช้จ่ายหลักๆ เท่าไร และเงินส่วนไหนที่สามารถจะเก็บออมไว้ได้บ้าง
บทความอื่นๆ
วันพฤหัสบดีที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2557
มาตรการ QE คืออะไร (Quantitative Easing)
มาตรการ QE คืออะไร (Quantitative Easing)
QE มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน ย่อมาจากคำว่า Quantitative Easing เป็นนโยบายด้านการเงินที่ไม่เป็นแบบแผน ที่ดำเนินการโดยธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเกิดเหตุการณ์ในกรณีที่นโยบายทางการเงินที่เป็นแบบแผนตามปกตินั้นเริ่มไม่มีประสิทธิภาพและไม่สามารถขับเคลื่อนในระบบเศรษฐกิจได้ โดยการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ ฯลฯ จากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินของเอกชนทั้งในและนอกประเทศ มาตรการ QE เป็นที่รู้จักว่าเป็นการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติม (Printing Money) ซึ่งก็คือเม็ดเงินใหม่ๆ ที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนั่นเอง สามารถใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงสถาบันการเงินสามารถดำเนินการปล่อยสินเชื่อในการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้นอีกด้วย QE ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คือการเพิ่มเพดานหนี้นั่นเอง
มาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
QE1 ปี 2552-2555 เกิดการล่มสลายของระบบการเงินในยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ครอบครองพันธบัตรคงคลังระหว่าง 700-800 พันล้านเหรียญ ก่อนเกิดภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ช่วงปลายปี 2551 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มเข้าซื้อตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลัง มูลค่ารวม 600 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ปี 2552 ระดับหนี้ตราสารทางการเงินและพันธบัตรคงคลังเพิ่มขึ้น 1.75 ล้านล้านเหรียญ เดือนมิถุนายน 2553 เพิ่มเป็น 2.1 ล้านล้านเหรียญ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารกลางแห่งเอเชียได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เข้าไปดูแลและแทรกแซงค่าเงิน
QE2 เดือนพฤศจิกายน 2553 ธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้าซื้อพันธบัตรคงคลังมูลค่า 600 พันล้านเหรียญ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
QE3 เดือนกันยายน 2555 วางแผนเข้าซื้อตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลัง(Mortgage-backed securities : MBS) มูลค่า 40 พันล้านเหรียญต่อเดือน คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน Federal Open Market Committee (FOMC) ได้ประกาศที่จะคงระดับอัตราดอกเบี้ยได้ที่ระดับใกล้ศูนย์ต่อไปจนถึงปี 2558
QE4 13 ธันวาคม 2555 เพิ่มวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลังเพิ่มเติมอีก 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน จากเดิมใน QE3 เป็นการเข้าซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้ในตลาดจำนองอสังหาริมทรัพย์ ในวงเงิน 40,000 ล้านเหรียญฯต่อเดือน ส่งผลให้ “เฟด” ปล่อยเงินเข้าระบบต่อเดือนเพิ่มจากเดิมรวมเป็น 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหตุผลคือต้องการขยายผลการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องนอกจากนโยบายการเงินและเสถียรภาพด้านราคา “เฟด” ถูกกำหนดไว้ให้ดูแลการจ้างงานของประเทศด้วย เนื่องจากประเทศมีการจ้างงานต่ำมาก “เฟด” จึงออกมาตรการเพิ่มการจ้างงาน เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
เมื่อมีการพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมาก จะทำให้เงินเหล่านั้นทะลักเข้าไปลงทุนเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันและอาหาร ทำให้สินค้าปรับตัวขึ้น กำลังซื้อของประชาชนลดลง อาจมีการไหลเข้าของเงินทุนของต่างชาติอย่างมหาศาล จะส่งผลต่อค่าเงินของประเทศที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้มีการเก็งกำไรค่าเงินที่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน การส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
บทความอื่นๆ
QE มาตรการผ่อนคลายในเชิงปริมาณทางการเงิน ย่อมาจากคำว่า Quantitative Easing เป็นนโยบายด้านการเงินที่ไม่เป็นแบบแผน ที่ดำเนินการโดยธนาคารกลางในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเกิดเหตุการณ์ในกรณีที่นโยบายทางการเงินที่เป็นแบบแผนตามปกตินั้นเริ่มไม่มีประสิทธิภาพและไม่สามารถขับเคลื่อนในระบบเศรษฐกิจได้ โดยการเข้าไปซื้อสินทรัพย์ทางการเงิน เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ ฯลฯ จากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินของเอกชนทั้งในและนอกประเทศ มาตรการ QE เป็นที่รู้จักว่าเป็นการพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเติม (Printing Money) ซึ่งก็คือเม็ดเงินใหม่ๆ ที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจนั่นเอง สามารถใช้ประโยชน์ในการกระตุ้นการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจ รวมถึงสถาบันการเงินสามารถดำเนินการปล่อยสินเชื่อในการดำเนินธุรกิจได้มากขึ้นอีกด้วย QE ถ้าจะพูดแบบชาวบ้านก็คือการเพิ่มเพดานหนี้นั่นเอง
มาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ
QE1 ปี 2552-2555 เกิดการล่มสลายของระบบการเงินในยุโรป ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ครอบครองพันธบัตรคงคลังระหว่าง 700-800 พันล้านเหรียญ ก่อนเกิดภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ช่วงปลายปี 2551 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้เริ่มเข้าซื้อตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลัง มูลค่ารวม 600 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ปี 2552 ระดับหนี้ตราสารทางการเงินและพันธบัตรคงคลังเพิ่มขึ้น 1.75 ล้านล้านเหรียญ เดือนมิถุนายน 2553 เพิ่มเป็น 2.1 ล้านล้านเหรียญ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ธนาคารกลางแห่งเอเชียได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ส่วนใหญ่เข้าไปดูแลและแทรกแซงค่าเงิน
QE2 เดือนพฤศจิกายน 2553 ธนาคารกลางสหรัฐฯ เข้าซื้อพันธบัตรคงคลังมูลค่า 600 พันล้านเหรียญ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
QE3 เดือนกันยายน 2555 วางแผนเข้าซื้อตราสารทางการเงินที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยหนุนหลัง(Mortgage-backed securities : MBS) มูลค่า 40 พันล้านเหรียญต่อเดือน คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน Federal Open Market Committee (FOMC) ได้ประกาศที่จะคงระดับอัตราดอกเบี้ยได้ที่ระดับใกล้ศูนย์ต่อไปจนถึงปี 2558
QE4 13 ธันวาคม 2555 เพิ่มวงเงินการเข้าซื้อพันธบัตรกระทรวงการคลังเพิ่มเติมอีก 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อเดือน จากเดิมใน QE3 เป็นการเข้าซื้อพันธบัตรหรือตราสารหนี้ในตลาดจำนองอสังหาริมทรัพย์ ในวงเงิน 40,000 ล้านเหรียญฯต่อเดือน ส่งผลให้ “เฟด” ปล่อยเงินเข้าระบบต่อเดือนเพิ่มจากเดิมรวมเป็น 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหตุผลคือต้องการขยายผลการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องนอกจากนโยบายการเงินและเสถียรภาพด้านราคา “เฟด” ถูกกำหนดไว้ให้ดูแลการจ้างงานของประเทศด้วย เนื่องจากประเทศมีการจ้างงานต่ำมาก “เฟด” จึงออกมาตรการเพิ่มการจ้างงาน เพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจของประเทศ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
เมื่อมีการพิมพ์เงินออกมาเป็นจำนวนมาก จะทำให้เงินเหล่านั้นทะลักเข้าไปลงทุนเก็งกำไรในสินค้าโภคภัณฑ์ น้ำมันและอาหาร ทำให้สินค้าปรับตัวขึ้น กำลังซื้อของประชาชนลดลง อาจมีการไหลเข้าของเงินทุนของต่างชาติอย่างมหาศาล จะส่งผลต่อค่าเงินของประเทศที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น ทำให้มีการเก็งกำไรค่าเงินที่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน การส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
บทความอื่นๆ
วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557
Fibonacci ตัวเลขมหัศจรรย์
Fibonacci ถือได้ว่าเป็นอีกเครื่องมือชนิดหนึ่งที่นักลงทุนใช้อย่างกว้างขว้าง และมีหลากหลายรูปแบบ ซึงเราจะพูดถึง สองชนิดที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้กันและได้ผล นั้นก็คือ Retracement and Extension นั้นเอง เราจะเท้าความเราประวัติให้ฟังสักนิคเพื่อที่จะเข้าใจ Concept ซึ่งคนที่คิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาชื่อว่า Leonard Fibonacci ที่นี้เรารู้แล้วว่าชื่อนี้มาจากไหน แหม่! ซึ่งเขาผุ้นี้เป็นนักคณิตศาสตร์ ชาวอิตตาเลียนที่เก่งกาจ เขาค้นพบชุดของตัวเลขที่เป็นอัตราส่วนที่สามารถอธิบายทุกสรรพสิ่งเจอ ซึ่งสัดส่วนทั้งหมดประกอบไปด้วย 0,1,1,2,3,5,8,13,21,34,55,89,144 …. ซึ่งหลักการคิดก็คือว่าเขาจะนำเลขตัวก่อนหน้า สองตัวมาบวกกันแล้วจะได้ตัวที่ต่อมา เช่น 8+13 = 24 ซึ่งหลักการนี้จะต้องเริ่มจากเลขสองตัวนี้เท่านี้ คือ 0 และ 1 จึงจะสามารถบวกกันต่อไปได้
เวลาเราตีเส้น Fibonacci ออกมาแล้วทำไมตัวเลขถึงเป็นทศนิยมต่างq
Leonard นั้นเขาจะสุ่มตัวเลขมาตัวเลขหนึ่งในเลขชุดนั้นซึ่งถ้าจะให้ดีแล้วความสุ่มเกินเลข 21 ขึ้นไป สมมุติว่าเราสุ่มตัวเลขออกมาได้ 55 ที่เราจะเอาไว้เป็นฐานหาสัดส่วน ซึ่งเขาจะเอา 55 ไปหารตัวเลขตัวถัดไปคือ 89,144,233,377,610,..... ซึ่ง 55/89 = 0.618 (ปัดเศษแล้ว) 55/144 = 0.382(ปัดเศษแล้ว) 55/233 = 0.236 และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราจะพบว่ามันจะไม่มีทางเป็น 0 เลย ในทางกลับกัน จะต้องนำ55ไปหารอีกด้านและตัวมันเองด้วยด้วยเช่น 55/55= 1 และ 55/34 = 1.618 และ 55/21 = 2.619 ซึ่งตามหลักการหาแบบนี้เราจะเจอตัวเลข infinite ซึ่งเป็นชุดตัวเลขที่ไม่มีวันจบ ซึ่งนักลงทุนเลยนำทฤษฎีของเขามาใช้ในกราฟแค่บางส่วนเท่านั้น Fibonacci ตัวเลขตามนี้ 0, 0.236, 0.382, 0.618,1, 1.618, 2.619 ซึ่งจะนำมาคูณ 100 จึงจะได้สัดส่วนที่พอดี แต่ในทางทฤษฎีนั้นเราจะใช้ 2 ชุดของตัวเลขคือ Retracement Level and Extension Level
แล้วนักลงทุนส่วนใหญ่นำมาใช้ยังไง?
นักลงทุนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า ชุดตัวเลขพวกนี้มีเป็นตัวเลขทางจิตวิทยาการลงทุน ซึ่งเป็นพวกแนวรับ แนวต้าน จุดเข้าซื้อ และ ออกออเดอร์นั้นเอง แม้กระทั้งตัดขาดทุนและ Take Profit ซึ่งวิธีใช้ Fibonacci Retracement คือให้ดูเทรนเสียก่อนว่าหาหัวและหางเจอไหม สมมุติว่าเจอล่ะกัน ซึ่งตอนนี้ราคาอาจจะมาอยู่ประมาณกลางๆแล้ว สมมุติว่ากราฟราคาลงมาเรื่อยๆแล้วขึ้นไปอยู่ตรงกลางระหว่างหัวและหางก็แล้วกัน ซึ่งเราจะเห็น Shape ตัว V แล้วเราจะตีจากบนลงล่าง และลากจากล่างขึ้นบน เมื่อมีเงื่อนไขตรงกันข้ามนั้นเอง
ที่นี้เรามาดุวิธีการใช้ Fibonacci Extension กัน ซึ่งจริงแล้วไม่ต่างอะไรกันมากกับอีกวิธีเพียงแต่ว่านี้เป็นการตีสามจุดเท่านั้นเอง ซึ่งวิธีตีก็เหมือนกับ Fibonacci Retracement แต่มีสามจุดให้ลาก หลังจากลากสองจุดแรกเสร็จให้ลากจุดที่สามไปไว้ตรงกลางด้วยหรือจุด ณ ตอนนี้ ถ้าไม่มีตัวเลขในชุดให้ดับเบิลคลิกที่เส้นแล้วไป Property ไปที่ Level แล้วให้กด Add เข้าไป แล้ว พิมพ์ FE (เลขทศนิยม*100) ในช่อง Describe เช่น เพิ่ม 0.382 ลงไป เพราะฉะนั้นต้องใส่ FE 38.2 เพื่อง่ายต่อการใช้
ซึ่งนักลงทุนหลายท่านที่มีความมั่นใจสูงในการใช้ Fibonacci บางท่านอาจตั้งออเดอร์ล่วงหน้าเลยก็มี ซึ่งอาจจะทำให้ขาดทุนได้ แม้ว่าราคาจะพยายามวิ่งเข้าไปชนเส้นแนวรับแนวต้านก้ตามแต่ทุกครั้งมักจะไม่ได้เป็นแบบที่หวัง เพราะบ่อยครั้งที่มีผลกระทบปัจจัยภายนอกที่ไม่สามารถควบคุมได้
บทความอื่นๆ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)