• โลหะสีเหลืองมีความมันวาว
• ธาตุ (Atom) ลำดับที่ 79 สัญลักษณ์ Au (Aurum)
คุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการ
• งดงามมันวาวและคงทน (Luster & Durable)
• ขึ้นรูปได้ง่าย (Reformable, Malleable, Ductable) ทองคำ 1 ออนซ์ หากตีเป็นแผ่นจะได้พื้นที่ 9 ตร.ม. หากทำ เป็นเส้นจะได้ความยาว 80 กม.
• หายาก (Rare) การถลุงแร่ทองคำในเหมือง 1 ตัน จะได้ทองคำ 20 กรัมเท่านั้น
• สามารถนำกลับไปใช้ได้ (Reusable) การหมุนเวียนใช้ประมาณ 950 ตันต่อปี
หน่วยน้ำหนักของทองคำ
• กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
• ทรอยออนซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
• บาท : ใช้ในประเทศไทย
มาตรฐานทองคำ
• ทองคำความบริสุทธิ์ 96.50% ทองคำไทย
- ทองรูปพรรณ 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
- ทองแท่ง 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
• ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99% (หรือ 9,999/10,000) ทองโฟร์ไนน์, ทองเก้าสี่ตัว
- 1 (ทรอย)ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม
- 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.148 (ทรอย)ออนซ์
• ทองคำความบริสุทธิ์ 99.50% ทองคำโลก, ทองคำ LBMA
ความบริสุทธิ์ของทองคำ
K จะหมายถึง กะรัต เป็นหน่วยที่ใช้บอกความบริสุทธิ์ของทองคำโดยบอกว่ามีทองคำกี่ส่วนใน 24 ส่วน
ยิ่งตัวเลขสูงก็แสดงว่ามีทองคำอยู่มาก ยกตัวอย่างเช่น
ประโยชน์จากทองคำ
• ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม (เป็นตัวนำไฟฟ้า ไม่มีสนิม ไม่ผุ ตีแผ่เป็นแผ่นได้) เช่น ชิ้นส่วน อิเล็คโทรนิคส์, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, อุปกรณ์ที่ใช้ในอวกาศ(เคลือบกระจก)
• ใช้ในวงการแพทย์ (มีความคงทนและไม่แพ้ง่าย) ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน ฟันปลอม โดยจะใช้ ทองคำผสม กับธาตุอื่น
• การลงทุน (ราคาไม่เปลี่ยนตามหุ้นหรือพันธบัตรมากนัก) ซื้อขายเพื่อเก็งกำไร หรือ เพื่อกระจายความเสี่ยงการ ลงทุน
• ใช้เป็นของขวัญ และเครื่องประดับ (ทองคำมีค่าและสวยงาม) ของกำนัลในงานพิธี สำคัญต่างๆ เช่น อินเดีย จีน ไทย เป็นต้น
ปัจจัยต่อราคาทองคำไทย
• ราคาทองคำโลก หรือราคาทองคำสปอต (Spot Gold) เป็นราคาสากลที่ใช้ตกลงซื้อขายกันทั่วโลก
• อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาท) ราคาทองคำโลกมีการตกลงซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ เราจึงต้องนำมา ปรับให้อยู่ในรูปเงินบาทด้วย จึงเป็นสาเหตุให้ปัจจัยความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในประเทศ (ค่าเงินบาท) มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศค่อนข้างมาก
• อุปสงค์อุปทานในประเทศและการคาดการณ์
คำศัพท์ที่มักพบในข่าวสารเกี่ยวกับทองคำ ทำไมจึงควรทราบ ?
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก และมักได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่นสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป รวมถึงแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ก็มีผลกระทบต่อราคาทองคำเช่นกัน ดังนั้น ข่าวสารเกี่ยวกับทองคำจึงมักพบว่ามีชื่อบุคคลสำคัญ ชื่อหน่วยงาน นโยบายและตัวเลขต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ กองทุน หรือตลาดหลักทรัพย์ประเทศต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ซึ่งหากเราทราบความหมายของคำย่อหรือคำศัพท์เหล่านี้ ก็จะทำให้เข้าใจเนื้อหาของข่าวสารได้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้เราเข้าใจโลกของทองคำที่นับวันจะมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและระบบการเงินของโลกมากขึ้นได้เป็นอย่างดี
COMEX (Commodity Exchange) ตลาดซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่เกี่ยวกับโลหะต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นส่วนหนึ่งของ New York Mercantile exchange (NYMEX)
SPDR หรือ SPDR Gold Trust เป็นกองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Exchange Traded Fund : ETF) เป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการ ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำในตลาดลอนดอน คือ London Gold PM Fix Price มีนโยบายลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงโดยไม่มีการใช้ตราสารอนุพันธ์หรือมีการให้ยืมทองคำแท่งกับผู้ลงทุน SPDR Gold Trust มีผู้เก็บรักษาทองคำแท่งให้ ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ สหรัฐอเมริกา (HSBC Bank USA, N.A.) กองทุน SPDR Gold Trust จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง ได้แก่ นิวยอร์ก สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น กองทุน Feeder Fund หลายกองทุนในประเทศต่างๆ ก็มีนโยบายลงทุนใน SPDR Gold Trust อีกทีหนึ่ง ซึ่งรวบรวมคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุนจากนักลงทุนรายย่อย หรือสถาบันในประเทศนั้นๆ มาอีกทอดหนึ่ง ระดับการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของ SPDR Gold Trust จึงเป็นตัวสะท้อนมุมมองต่อทองคำของนักลงทุนจากทั่วโลก
FED (Federal Reserve Bank) ธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนายเบน เบอร์นันเก้ เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ นโยบายทางการเงินและภาษีของสหรัฐฯ จึงมีผลอย่างมากต่อตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมักพบชื่อของนายเบน เบอร์นันเก้และนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อยู่บ่อยครั้งในข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน รวมถึงทองคำด้วย
FOMC (The Federal Open Market Committee) การประชุมของ FED เกี่ยวกับทิศทางนโยบายทางการเงินระยะสั้น เช่น นโยบายดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึง ภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ว่ามีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงใด หรือแม้กระทั่งสะท้อนภาวะเงินเฟ้อในช่วงนั้นๆ FOMC จะมีขึ้นทุกๆ 6 สัปดาห์หรือปีละ 8 ครั้ง
ECB (European Central Bank) ธนาคารกลางแห่งยุโรป มีประธานฯ คนปัจจุบันคือนายมาริโอ ดรากิ
BOE (Bank of England) ธนาคารกลางอังกฤษ ปัจจุบันมีนายเมอร์วิน คิง เป็นผู้ว่าการฯ
BOJ (Bank of Japan) ธนาคารกลางญี่ปุ่น ปัจจุบันมีนายมาซาอากิ ชิราคาวา เป็นผู้ว่าการฯ
IMF (International Monetary Fund) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ให้ประเทศต่างๆ กู้ยืมเงิน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวและดุลยภาพของการค้าและการเงินระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีนางคริสติน ลาการ์ด เป็นผู้อำนวยการผู้อำนวยการกองทุน
GDP (Gross Domestic Product) คือ มูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ส่วนใหญ่จะวัดเป็นรอบปี GDP จะประกอบไปด้วยการบริโภคของภาคเอกชนและครัวเรือน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออก GDP มักใช้เป็นดัชนีชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตประชากรของประเทศนั้นๆ
QE (Quantitative Easing) นโยบายทางการเงินของรัฐบาลที่ถูกใช้เป็นครั้งคราวเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจอาจกระทำได้โดยซื้อคืนหลักทรัพย์ของรัฐบาลหรือหลักทรัพย์อื่นๆ ในตลาด เพื่อให้มีเงินทุนอยุ่ในสถาบันการเงินมากขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินและการให้สินเชื่อ ธนาคารกลางต่างๆ มักใช้ Quantitative Easing เมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับลดลงมาจนอยู่ระดับใกล้ 0% แล้ว แต่ก็ยังไม่เกิดผลตามที่ต้องการ ความเสี่ยงของการใช้ Quantitative Easing คือท่ามกลางภาวะที่มีเงินและสภาพคล่องในตลาดมากมาย แต่มีสินค้าและบริการเท่าเดิม สถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่สินค้าและบริการที่มีราคาแพงขึ้น และเงินเฟ้อ รวมถึงค่าเงินของประเทศที่ใช้นโยบายนี้อ่อนลง
Jobless Claims คือ จำนวนคนที่ขอรับสวัสดิการการว่างงานในสหรัฐฯ รายงานนี้จะมีขึ้นทุกสัปดาห์โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) Initial Jobless Claims หมายถึง จำนวนผู้ที่ขอรับสวัสดิการครั้งแรก 2) Continuing Jobless Claims หมายถึง จำนวนผู้ที่ขอรับสวัสดิการต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว Jobless claims เป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากสะท้อนภาวะการจ้างงานในสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Initial Jobless Claims จะถูกจับตามองเป็นพิเศษจากนักลงทุนตลาดเงิน หากมีผู้ขอรับสวัสดิการนี้เพิ่มขึ้นในอัตราคงที่ จะชี้ว่าการว่างงานจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ
CPI (Consumer Price Index) เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการกลุ่มหนึ่งๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น การขนส่ง การเดินทาง อาหาร และบริการทางการแพทย์ เพื่อสะท้อนค่าครองชีพ และอนุมานได้ถึงภาวะเงินเฟ้อ(สินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้น) หรือเงินฝืด(สินค้าและบริการมีราคาต่ำลง) ในช่วงเวลานั้นๆ โดย CPI ของสหรัฐฯ จะประกาศทุกๆ วันที่ 13 ของเดือน ส่วน Core CPI จะไม่รวมราคาคาอาหารและพลังงาน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาอาหารและพลังงานอาจได้รับอิทธิพลจากการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากในช่วงเวลานั้นๆ ทำให้บิดเบือนภาพเงินเฟ้อหรือเงินฝืดไปได้ โดยมากแล้วเมื่อใดที่มีภาพเงินเฟ้อสูงจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนลง และเป็นผลบวกต่อทองคำ
PPI (Producer Price Index) เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่งๆ โดยสำรวจจากผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่ง PPI จะปรกาศในวันที่ 11 ของเดือน ก่อนที่จะประกาศ CPI โดยมากถ้า PPI สูงมักจะทำให้ CPI สูงตามไปด้วย ส่วนCore PPI มีความหมายในทำนองเดียวกับ Core CPI
Nonfarm Payroll เป็นสถิติเกี่ยวกับจำนวนแรงงานและค่าแรง ของแรงงานนอกภาคเกษตร แรงงานดังกล่าวยังไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร แรงงานตามบ้านเรือนด้วย nonfarm payroll เป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการ 80% ของ GDP สหรัฐฯ ตัวเลข nonfarm payroll จะประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน และมักมีผลต่อตลาด เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสามารถคาดการณ์ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจในอนาคตได้ การเพิ่มขึ้นของ nonfarm payroll สามารถตีความได้ว่าค่าแรงที่แรงงานได้รับมากขึ้นนั้นจะถูกจับจ่ายใช้สอยไปยังสินค้าและบริการต่างๆ ยิ่งมีการจ่ายค่าแรงมากขึ้นเท่าใด การเติบโตของเศรฐกิจโดยรวมก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น แต่มีเงื่นไขว่าค่าแรงที่เพิ่มขึ้นนั้นจะต้องสอดคล้องกับปริมาณผลผลิตและความต้องการสินค้าและบริการที่สูงขึ้นด้วย แต่หากในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะอิ่มตัวของการขยายตัว การที่ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ระดับความต้องการสินค้าและบริการไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน สภาวะเช่นนี้จะทำให้เกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อได้
Fiscal Cliff "หน้าผาทางการคลัง" คือ การที่เศรษฐกิจของประเทศสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังอย่างฉับพลันและรุนแรง เนื่องจากมาตรการด้านการคลังชั่วคราวที่ ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤตินั้นสิ้นสุดลง ยิ่งมาตรการนั้นๆ มีขนาดใหญ่มากเท่าไร เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจสูญเสียแรงส่งมากขึ้น เท่านั้น และนั่นหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกฉุดให้ลดต่ำลงหรืออาจรุนแรงถึงขั้น เศรษฐกิจถดถอยก็เป็นได้ ดังนั้นเหตุการณ์เช่นนี้จึงเปรียบเสมือนกับว่าเศรษฐกิจ "ตกหน้าผาทางการคลัง" ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ นั้น การสิ้นสุดระยะเวลาการตัดลดภาษีเงินได้ (Payroll-tax cut) ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อปี 2001 และปี 2003 การสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากประชาชนในปี 2013 รวมทั้งสิ้นราว 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีมาตรการชั่วคราวอื่นๆ อย่างเช่น การให้เครดิตภาษีการลงทุน (Investment tax credit) และการเพิ่มเงินสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน (Jobless benefits) ที่จะสิ้นสุดมาตรการในสิ้นปี 2012 เป็นต้น ปัจจัยเหล่านนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็น การศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ หรือพฤติกรรมของตลาดในอดีตโดยใช้หลักสถิติ เพื่อนำมาใช้คาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้ผู้ลงทุนหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม โดยข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ ระดับราคา และปริมาณการซื้อขาย แนวคิดการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคจะอยู่บนสมมติฐาน 3 ประการ คือ
1. ราคาเป็นผลรวมที่สะท้อนให้ทราบถึงข่าวสารในด้านต่างๆ ทั้งหมดแล้ว
2. ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างมีแนวโน้ม และจะคงอยู่ในแนวโน้มนั้นๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหม่
3. พฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุน จะยังคงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับพฤติกรรมการลงทุนในอดีต
บทความอื่นๆ