Infinite Growth FX

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด
บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น

1. เรียนรู้พื้นฐาน
ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !
เป็นเรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว

3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง
การฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้...
1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด

4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง
ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้...
1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?

5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ คือ
ใช้เด โมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้ ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า...

6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้
นี่เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้ แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

ความลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู...
1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม

8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง

9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10

10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้

11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น

ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้...
1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ?
Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

เรื่องเปิดเสรีในไทยเกี่ยวกับ Forex

เรื่องเปิดเสรีในไทยเกี่ยวกับ Forex

1. สิ่งที่เราเทรดอยู่ในเวลานี้ เป็นเพียง future ชนิดนึง เราไม่ได้ทำการซื้อขาย เปลี่ยนมือค่าเงินจริงๆ ฉะนั้นข้อห้ามที่ว่า ห้ามบุคคลธรรมดาซื้อขายแลกเปลี่ยน เงินตราจึงเป็นคนละประเด็นบุคคล ธรรมดาทั่วไปย่อมมีเสรีภาพในการเลือกลงทุนอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือต่างประเทศ แต่ที่เราเลือกเทรด Forex ที่ต่างประเทศ มากกว่าเลือกเปิดบัญชี เทรด future ที่บ้านเรานั้น ก็เนื่องด้วยเงินลงทุนที่น้อยนิด เทียบกันไม่ได้เลย กับการเปิดบัญชี future ที่บ้านเราฉะนั้นการเปิดบัญชี Forex จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมายใดๆ สามารถทำได้ และไม่มีข้อห้าม เพราะถือเป็นการลงทุน และการหารายได้ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการไปซื้อหุ้นที่ต่างประเทศ เช่น ซื้อหุ้นที่อเมริกา หรือ ญี่ปุ่น

2. การเทรด Forex ส่วนใหญ่ก็ล้วนอาศัยปัจจัยทางด้านเทคนิคมากกว่า ผมจึงเห็นแย้งกับบางท่าน ที่ว่าเปิด Forex ในไทย แล้วทำให้เกิดการพัฒนาด้านองค์ความรู้ในการเทรด ปัจจุบันไม่ว่าการเทรดหุ้น ทอง หรือสัญญา future ก็ล้วนใช้เทคนิคมาอธิบายความเป็นไปทั้งสิ้น มีพื้นฐานการเรียนรู้เหมือนกัน และอีกอย่างบทวิเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านพื้นฐาน หรืิอ เทคนิคดีๆ เกี่ยวกับ Forex ก็ล้วนหาอ่านได้ตามเวบต่างประเทศมากมาย และสถาบันที่เปิดสอนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ด้านเทคนิคก็มีมากมายอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อไปเรียนก็สามารถนำมาใช้ได้ทุกตลาด ไม่ต่างกัน

3. ผู้เทรด Forex ในไทย ล้วนเป็นนักลงทุนรายย่อย กว่า 80% มีทุนในการเปิดบัญชีไม่เกิน 50,000 บาท ฉะนั้นหากมีการเปิดเสรีในไทย นักลงทุนรายย่อยกลุ่มนี้ก็คงไม่ได้รับความสนใจเท่าไรนัก เพราะว่าในอนาคตเมื่อเปิดเสรีค่าคอม โบรกเกอร์จะหันไปดึกนักลงทุนรายใหญ่ๆ ส่วนรายย่อยนั้นไร้ความสำคัญ และไม่คุ้มต่อต้นทุนของโบรกเกอร์ผู้ให้บริการเท่าใดนั้น อีกประการ คือ การที่เราเปิดบัญชี Forex ที่ต่างประเทศ ค่าคอมถูกมาก หรือ บางโบรกแทบไม่มีเลย แน่นอนหาก ไทย มีการอนุญาตให้เปิดอนุญาตให้โบรกเกอร์มีบริการซื้อขาย Forex ค่าคอมย่อมสูงกว่าหลายเท่าตัว

4. สิ่งที่นักเทรด Forex ควรทำความเข้าใจคือ ประเด็นการเสียภาษีเมื่อมีรายได้จากการลงทุนมากกว่า นั้นคือสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่า กำไรจากการเทรด ถือเป็นรายได้ ฉะนั้นเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก็ย่อมต้องเสียภาษีด้วย แต่ประเด็นก็คือว่า ส่วนใหญ่มักจะขาดทุน หรือว่า เมื่อได้กำไรมา ก็ไม่ถึงเกณฑ์ภาษีที่กำหนด ฉะนั้นเรื่องภาษีจึงตกไป

ฉะนั้นให้ทุกคน สบายใจได้เลยว่า การที่ท่านนั่งหลังขดหลังแข็ง เฝ้าหน้าจอทำการเทรด ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด เพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม ไม่ต่างอะไรจากการไปซื้อหุ้นที่ต่างประเทศ และหากมีการเปิดเสรี forex ในไทยจริงๆ มีโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตเกี่ยวกับการซื้อขาย forex ในไทยจริงๆ ก็คาดว่าหลายท่านก็คงไม่เลือกใช้บริการอยู่ดี เหตุเพราะ มีค่าคอมมิชั่นสูง จำนวนทุนในการเปิดบัญชีสูง และที่สำคัญ วอลุ่มน้อยมาก นั้นเอง (ขนาด future เปิดมานานแล้ว วอลุ่ม Bid offer ยังโชว์ไม่ถึง 100 สัญญา) และประเด็นสุดท้าย ไม่ว่าจะในประเทศที่เจริญแล้ว หรือว่ายังไม่เจริญ ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าจะทำให้มีการเทรดเป็นอาชีพมากขึ้น แต่อย่างใด ตลาดหุ้นเปิดมากว่า 30 ปี ก็ยังมี แมงเม่าเหมือนเดิม มีคนที่สำเร็จ 10% และ คนที่ล้มเหลว 90% เหมือนเดิม

ฉะนั้นเราสามารถ เลือกเองได้ว่าจะเลือกเทรดเป็นอาชีพ หรือ เลือกล้มเหลวได้ด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ประเทศเราจะอนุญาตให้มีหรือไม่มี เพราะสุดท้าย จะอนุญาต หรือ ไม่อนุญาต คนที่ประสบความสำเร็จ ก็ยังอยุ่ในกลุ่ม 10% เหมือนเดิม

สิ่งที่สำคัญ เทรดเดอร์ตีความ อาชีพเทรดเดอร์ว่าอย่างไร เพื่อปากท้องวันต่อวัน? หรือ เพื่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เรามีตัวอย่างเทรดเดอร์มืออาชีพในตลาดหุ้นมากมายให้ศึกษา แน่นอนเขาไม่ได้หวังกำไร เพื่อปากท้องวันต่อวัน

หรือหวังให้ประทั่งชีวิตเดือนๆไป เมื่อเขามีเป้าหมาย มีจุดหมาย เขาย่อมรู้ดีกว่า จะเทรดอย่างไรให้ไปถึง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฟอเร็กซ์ (Forex) คืออะไร

ฟอเร็กซ์ (Forex) คืออะไร
Forex (Foreign Exchange Market) หรือเรียกสั้นๆว่า FX เป็นตลาดในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ ซึ่ง Forex เป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกกว่า 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อวันซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นทั้งโลกมารวมกัน ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ตลอด 24 ชั่วโมงและหยุดการซื้อขายในวันเสาร์อาทิตย์ ตลาดใหญ่ๆของโลกจะมีอยู่ 3 แห่งก็คือ ตลาดโตเกียว ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ค ซึ่งเวลาทำการเมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยก็จะเป็นดังนี้ (ถ้าอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็ให้เพิ่มอีก 1 ชั่วโมง)

ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00
ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00
ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00
ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 - 3:00

สกุลเงิน
สกุลเงินหลักๆที่ทำการซื้อขายนั้นก็จะมีอยู่ 7 สกุลเงินด้วยกันก็คือ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ยูโร (EUR) ปอนด์ (GBP) เยน (JPY) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) สวิสฟรังค์ (CHF) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)
การซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex นั้นจะทำกันเป็นคู่ๆ (Currency Pair) ซึ่งคู่ของสกุลเงินหลักหรือที่เรียกว่า Major นั้น จะมีอยู่ 4 สกุลด้วยกันคือ GBP/USD, EUR/USD, USD/CHF, USD/JPY ซึ่งสกุลเงินที่อยู่ข้างหน้าจะเรียกว่า Base Currency และตัวหลังเรียกว่า Counter Currency เช่นคู่ GBP/USD ก็จะมี GBP เป็น Base Currency และ USD เป็น Counter Currency ส่วนความหมายนั้นก็ให้จำง่ายๆว่าตัว Base Currency จะมีค่าเป็น 1 เสมอ สมมติว่าราคาของคู่ GBP/USD เป็น 1.5000 ก็จะหมายความว่า 1 ปอนด์มีค่าเท่ากับ 1.5 ดอลลาร์

Pip
Pip คือจำนวนจุดที่น้อยที่สุดของคู่เงินนั้นๆ ตัวอย่างเช่นราคาของคู่ GBP/USD จะมีทศนิยม 4 จุด เช่น 1.5000 เพราะฉะนั้น 1 pip ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.0001 ส่วนราคาของคู่ที่มีสกุลเงินเยนอยู่จะมีทศนิยม 2 จุด เช่นราคาของคู่ USD/JPY เป็น 110.00 ดังนั้น 1 pip ของคู่นี้ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.01

Lot
ขนาดของสัญญาที่จะทำการซื้อขายกันนั้นเรียกว่า lot ขนาดของสัญญาก็จะมี 3 ประเภทคือ Standard lot, Mini lot และ Micro lot ซึ่ง 1 standard lot จะเท่ากับ 10 mini lot และ 1 mini lot จะเท่ากับ 10 micro lot ถ้าจะเทียบเป็นดอลลาร์ก็จะได้คร่าวๆว่า

ที่ 1 standard lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $10
ที่ 1 mini lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $1
ที่ 1 micro lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $0.1

ถ้าเทียบกับบัญชีของ FXClearing ก็จะมีค่าดังนี้
บัญชีไมโคร ที่ 10 lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $1
บัญชีมินิ, ECN ที่ 0.1 lot ทุกๆ 1 pip (ทศนิยมจุดที่ 4) จะมีค่าเท่ากับ $1
บัญชีนาโน ที่ 100 lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $1

Spread
Spread คือผลต่างของราคา Bid และ ราคา Ask หน่วยเป็นจำนวนจุด ซึ่งราคา Ask ก็คือราคาที่เราจะทำการซื้อและราคา Bid ก็คือราคาที่เราจะทำการขาย ซึ่งราคา Bid จะน้อยกว่าราคา Ask เสมอ ตัวอย่างเช่นคู่ EUR/USD มีราคา Bid เป็น 1.5540 ราคา Ask เป็น 1.5541 ดังนั้น Spread จะมีค่าเท่ากับ 1 จุด ซึ่ง Spread ก็เปรียบเสมือนกับค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ที่คิดกับเรานั่นเอง ยิ่งน้อยยิ่งดี

Margin
Margin เปรียบเสมือนกับค่ามัดจำที่เราต้องใช้ในการเปิด Order แต่ละครั้ง และก็จะเพิ่มกลับเข้าไปในบัญชีเหมือนเดิมเมื่อทำการปิดออเดอร์ ยิ่งใส่จำนวน Lot ในการเปิดออเดอร์มากเท่าไหร่ จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

Leverage
Leverage จะเป็นตัวกำหนด Margin ที่เราใช้ในการเปิดออเดอร์แต่ละครั้ง Leverage โดยปกติจะมีให้เลือกตั้งแต่ 1:100 จนถึง 1:500 ยิ่ง Leverage มาก จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะน้อยลง สำหรับจำนวน Margin ที่ต้องใช้ก็คิดง่ายๆก็คือที่ Leverage 1:500 ถ้าเราเทรดที่ 0.1 lot (1 pip เท่ากับ $1) จะใช้ Margin ประมาณ $20-$30 ถ้าเป็น Leverage 1:100 ก็จะใช้ Margin เท่ากับ $100 - $150 ($20*5 - $30*5) ซึ่งค่า Margin ที่ใช้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามราคาของสกุลเงิน สามารถคำนวณ Margin ที่ใช้ของคู่สกุลเงินต่างๆได้ที่

Swap
Swap คือดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปเมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน (ช่วงตี 4 เวลาประเทศไทย) ค่า Swap ของแต่ละสกุลเงินสามารถเข้าไปดูได้ที่ MT 4 -> หน้าต่าง Market Watch -> คลิกขวา เลือก Symbols -> เลือกสกุลเงินที่ต้องการ -> กดปุ่ม Properties จะแสดงค่า Swap Long (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ซื้อ) และ Swap Short (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ขาย) มีหน่วยเป็น pip คืนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีการคิดค่า Swap แต่จะไปทบในคืนวันพุธแทนซึ่งค่า Swap คืนวันพุธจะมีค่าเป็น 3 เท่าของค่า Swap ปกติ สำหรับ FXClearing ทุกบัญชีจะไม่คิดค่า Swap ยกเว้นบัญชี ECN ที่สามารถเลือกให้คิดหรือไม่คิดก็ได้

บทความอื่นๆ