Infinite Growth FX

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผู้หยั่งรู้

ผู้หยั่งรู้


มีคำถามที่ผมโดนถามเสมอว่าจะขึ้นต่อไหมหรือไม่ก็จะลงต่อไหม และผมก็มักจะตอบเดิมว่าไม่รู้ ฟังดูเหมือนผมกวน... แต่ผมก็อยากจะบอกว่าก็ผมไม่รู้จิงๆ แบบนี้ผมก็เทรดมั่วนะซิไม่หรอกครับผมไม่ได้เทรดมั่ว แต่ไม่มีใครจะรู้อนาคตได้หรอกครับแต่มันอยู่ที่ว่าคุณจะรับมือกับมันอย่างไรต่างหากผมไม่ใช่หมอดูที่จำทำนายอนาคตได้แต่ผมรู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นนี่ซิจึงจะตอบได้ดีกว่า

แต่หลายคนก็สวนกลับมาหาผมว่ามีซิคนที่บอกได้ว่ามันจะขึ้นหรือจะลงผมจึงถามกลับไปว่าในเมื่อรู้จิงทำไมมันทุ่มเงินทั้งหมดในการซื้อแต่ละครั้งและไม่มีใครทุ่มเงินทั้งหมดในการซื้อขายแต่ละนั่นก็เพราะคนที่คุณกำลังบอกผมก็ไม่ได้รู้ว่ามันจะขึ้นหรือลงยังไงละ แล้วทำไมมีหลายคนมาซิกแล้วก็เป็นไปตามนั้นนั่นเพราะกราฟมันมีแค่ขึ้นกับลงเท่ากับสิ่งที่เค้าซิกมามันก็มีโอกาศถูกได้ 50% เลยนะครับอย่าลืมว่ากราฟมันมีแค่ขึ้นกับลงมันก็ไม่แปลกที่จะเหนว่ามีคนซิกถูกทาง

เป็นเพียงหลักคิดง่ายๆโง่ๆว่าหากมีใครที่รู้อนาคตจิงเค้าคงเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกไปแล้วและหากเจอเค้าคนนั้นช่วยบอกผมด้วยผมจะฝากเท่าเป็นศิษเท่าไหรก็ว่ามาได้เลยแต่มีข้อแม้ว่าเค้าคนนั้นจะต้องเป็นผู้หยั่งรู้

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยาการลงทุน

จิตวิทยาการลงทุน The Psychology of Investing 

ผมไปสัมมนาเรื่องจิตวิทยาการลงทุนมา ก็ขอสรุปเอาไว้เลยล่ะกัน

1. Disposition Effect
- ผู้คนจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียใจ และหาการกระทำที่ทำให้เกิดความภูมิใจ (Regret and Pride)
เมื่อคุณมีหุ้น 2 ตัว ตัวหนึ่งขาดทุนอยู่ และอีกตัวกำไรอยู่ คุณจะขายตัวไหนและถือตัวไหนต่อไป
คำตอบ นักลงทุนส่วนใหญ่จะขายตัวที่ได้กำไรทิ้งเพื่อความภูมิใจ และ ถือตัวขาดทุนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจ

note: ความผิดพลาดของผมคือ จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดโดยการไม่ Stop loss เพราะหวังว่าสถานการณ์ในอนาคตจะดีขึ้น แต่มันกลับแย่ลงเกือบทุกครั้ง ดังนั้นเราควรมีแนวคิดและ ฝึกการ stoploss ยังไง ประมาณเราจะเจ็บจิ๊ดๆ ไม่ปล่อยให้เนื้อร้ายมันงอกเงยยังไง แล้วผมจะเอาบทความเกี่ยวกับ stoploss มาลงอีกที

2. Overconfidence
- ความมั่นใจเกินไป ทำให้นักลงทุน Trade เกินขนาดของ port และประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินไป ทำให้มองข้ามว่าเราเองไม่ได้เป็นคนกำหนดทิศทางตลาด

note: สิ่งที่ผมเคยเป็นคือเมื่อ Trade ได้ติดต่อกันพักใหญ่ๆแล้ว จะมีความมั่นใจมากและระมัดระวังน้อยลง + กับเงินกำไร(จากเจ้า จิตวิยาในข้อต่อไป)ที่ได้มาทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

3. House - Money Effect
- เงินของเจ้ามือ นักลงทุนจะเล่นหุ้นเสี่ยงมากขึ้นหลังจากได้กำไรมาก่อนหน้านี้ เพราะเหมือนกับเอาเงินของคนอื่นมาเล่น จิตวิทยาข้อนี้ คนเอาเงินเจ้ามือมาต่อยอดเรื่อยๆ และเล่นด้วยความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภาวะฟองสบู่แตกได้ในที่สุด

4. Snake - Bite Effect
- โดนงูกัด เมื่อนักลงทุนขายขาดทุน ส่วนนึงจะเข็ดขยาดและเลิกเล่น และอีกส่วนนึงจะต้องเอาการเอาคืนจนทำให้เกิดจิตวิทยาข้อต่อไป

5. Trying to break Even Effect
- การจะเอาคืน หลังจากนักลงทุนขาดทุนมาก จะต้องการเอาคืนโดยลงหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม

6. endowment effect
- การตั้งราคาที่คิดว่าจะขายสูงกว่าราคาตลาด ในขณะที่คุณเป็นเจ้าของอยู่ ประมาณว่าคุณจะประเมินทรัพย์สินที่คุณมีสูงกว่าราคาตลาด นี้ก็เป็นอีกข้อที่คนจะตั้งราคาสูงขึ้นเรื่อยจนเกิดภาวะฟองสบู่

ตัวอย่าง คุณมีบ้านอยู่ 1 หลัง คุณต้องการขายให้ได้มากกว่าราคาตลาด 12 % และเมื่อราคาบ้านลดลงไปเรื่อยๆ คุณก็ยังคิดจะขายบ้านที่ราคาเดิม แต่ตอนนี้ราคาที่คุณจะขายบ้านมากกว่าราคาตลาดถึง 30 %

7. Status quo bias
คำจำกัดความสั้นๆคือ avoiding action and avoiding change
- เมื่อนักลงทุนถือหุ้นกลุ่มใดไว้ จะไม่ต้องการขายหุ้นทิ้ง ไปซื้อกลุ่มอื่น

ตรงกับบทความที่ผมเคยสรุปไปแล้ว เรื่อง เล็งให้แม่นเก็งให้รวย The Zurich Axioms by Max Gunther ข้อ6
"สรุป หลักการนี้สอนให้คุณมีความคล่องตัวในการโยกย้ายสถานะและอย่าให้มีรากงอก ซึ่งจะเป็นตัวบ่อนทำลายการเก็งกำไรของคุณ อย่างเช่น ความจงรักภักดี หรือการรอคอยเพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมาย หลักการข้อนี้สอนให้คุณพร้อมที่จะกระโดดจากหลักทรัพย์ที่อยู่กับที่ หรือคว้าโอกาสดีไว้โดยเร็ว แต่มิได้หมายความว่าให้คุณกระโดดไปมาจากหลักทรัพย์นึง ไปอีกหลักทรัพย์นึง ก่อนการกระโดดคุณควรจะชั่งใจให้ดีรอบคอบก่อน และถ้ามีเหตุผลที่ไม่สำคัญก็ไม่ควรเปลี่ยนมือ แต่ถ้าสถานะการลงทุนเดิมไม่ดี คุณก็ควรจะขจัดรากทั้งหมดทิ้งไป และกระโดดหนีโดยเร็ว จงอย่าให้มีรากงอกเกินไป"

8. Cognitive Dissonance
- นักลงทุนเผชิญ ความคิดที่เป็นบวกและลบในเวลาเดียวกัน นักลงทุนจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด และเลือกที่จะพิจารณาข้อมูลที่เป็นบวก และละเลยข้อมูลที่เป็นลบ ความเชื่อของตนเองจะถูกปรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้ว

เมื่อนักลงทุนตัดสินใจซื้อหุ้นแล้ว ความมั่นใจว่าหุ้นจะขึ้นจะมากขึ้นทันที เหมือนกับเมื่อเราซื้อหวย ก่อนซื้อเราคงไม่คิดว่ามันจะถูกมาก จนเมื่อเราซื้อเลขไปแล้วสักเลข ความมั่นใจว่าหวยจะออกตัวที่เราซื้อจะมีมากขึ้นในทันที :)

note: เรื่องของการรับข้อมูลเชิงบวก และลบ ผมได้เผชิญมาแล้วเมื่อผมตัดสินใจเปิด position แล้วผมจะรับข้อมูล + ที่สนับสนุนให้ผมได้กำไรในอนาคต และลดความเชื่อข้อมูลเชิงลบ - มันทำให้ผมเกิดอติเชิงจิตวิทยาครอบงำ ทำให้ผมไม่สามารถ stoploss ได้ทันท่วงที เพราะกลัวว่าข้อมูลเชิงบวกที่ผมรับมาจะเป็นความจริง

9. Sunk cost Effect
ต้นทุนจม เมื่อนักลงทุนมีพอร์ตที่ขาดทุนมากๆ จะไม่ยอมขาย จะตรงกับจิตวิทยาเรื่องการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในเรื่องของการขายขาดทุน คือ ถ้านักลงทุนเริ่มขาดทุนความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อขาดทุนมากขึ้น และนานขึ้นความเจ็บปวดจะลดลง เปรียบกับกราฟพาราโบล่า ความชันของความเจ็บปวดจะเป็นอัตราเร่งเพิ่มขึ้นในช่วงแรก และลดลงในเวลาต่อมา นั่นเป็นสาเหตุให้ นักลงทุนจะถือส่วนที่ขาดทุนไปอย่างยาวนาน

10. Representativeness and familiarity
- ความเป็นตัวแทนและความคุ้นเคย นักลงทุนจะคิดว่าผลการดำเนินการ และผลตอบแทนที่ผ่านมาในอดีต จะต่อเนื่องไปในอนาคต

Note: บริษัทที่ทำกำไรต่อเนื่อง ไม่ได้มีความหมายว่าจะทำให้หุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทที่มีอัตราการทำกำไรที่มากขึ้น จะทำให้คนคาดหวังมากขึ้น และหุ้นจะขึ้นมากกว่า ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เมื่อผ่านไปนานเมื่อบริษัททำกำไรได้คงที่ในเวลาต่อมา หุ้นก็ลงในเวลาต่อมาเช่นกัน

11. Social interaction
- การรับรู้ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เมื่อคนที่อยู่รอบกายเรามีความคิดที่แตกต่างกัน และในปัจจุบันยิ่งมี internet ทำให้การบริโภคข้อมูลเป็นไปได้ง่ายขึ้น ทำให้เราได้รับข้อมูลที่เป็น + และ - และง่ายมากที่ทำให้เราได้รับอคติเชิงจิตวิทยาในต่างๆรูปแบบ ทั้งในเรื่องของความกลัวหมู่ กลัวขาดทุน panic sell กลัวไม่ได้กำไร panic buy หรือ การรับข้อมูล ข่าวสารทั้งจริงและเท็จโดยไม่รู้ที่มา

หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ผิดถูกก็อภัยด้วยล่ะกันเน้อ

ที่มา : Posted by Tavatchi (boyles)

บทความอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยา

จิตวิทยาการลงทุน

อคติ (Bias)
• ทำไมคนเราเกิดอคติ ? เพราะใช้อารมณ์ รัก เกลียด กลัว
• บางครั้งอคติ เพราะไม่รู้ ไม่ขวนขวาย
อคติเมื่อซื้อหุ้น
• ซื้อหุ้นเพราะผู้บริหารหน้าตาดี
• มีนักวิจัยบอกว่าครึ่งหนึ่งแรงขับดันของมนุษย์คือแรงขับดันทางเพศ เราอยากได้การยอมรับจากเพศตรงกันข้ามก็เป็นไปได้
• ซื้อหุ้นเพราะผู้บริหารปฏิบัติดี ไปประชุม เลี้ยงโต๊ะจีน คุยกับเราดี
• อย่าหลงประเด็น ผู้บริหารดี กับ บริษัทดี ต้องดูด้วยว่าผู้บริหารทำได้ตามที่พูดหรือเปล่า เช่น คุณ ส. ไอหลิ่ง ฟังพูดเคลิ้มเลย แต่ออกมาคนละเรื่อง
• คิดว่าคนส่วนใหญ่ใช้ผลิตภัณฑ์ ใช้ชีวิตเหมือนเรา
• เราเล่นหุ้น ไม่ได้เล่นการเมือง เสื้อแดง เสื้อเหลือง ธุรกิจก็คือธุรกิจ
• ชาตินิยม เช่น จะซื้อหุ้นของคนไทย ไปซื้อกิจการต่างประเทศ อย่าง ยูนิคอด จีเอฟ เป็นไฟแนนซ์บริษัทเดียวที่ไม่มีใครหนุนหลัง อัลฟ่าเทค เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ปรากฏว่าทั้ง 3 บริษัทนี้เจ๊งหมดเลย นี่คือใช้เหตุผลผิดในการซื้อหุ้น
• ซื้อเพราะอยากติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าไม่ได้เป็นบริษัทที่ดี อะไร
• ซื้อเพราะกลัวตกรถ หุ้นเสี่ย จ. อยากลองบ้าง เป็นเหตุผลผิดๆ
• ซื้อเพราะเป็นธุรกิจบุญ/บาป มันขึ้นตามกำไร ไม่ได้ขึ้นกับธุรกิจทำให้สังคมเสียประโยชน์ อย่างหุ้น ฟิลิปมอร์ริส ผลิตบุหรี่ มีคดีความเยอะแยะ กองทุนก็ไม่กล้าซื้อ ปรากฏว่าตัวนี้เป็นหุ้นหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในตลาดอเมริกา
• บางครั้งคนเราก็ต้องมีอคติเพื่อความภาคภูมิใจของตัวเอง ขึ้นอยู่กับดีกรีของแต่ละคน เช่น อาบอบนวดเข้าตลาด ผมก็ไม่ซื้อเหมือนกัน เป็นความเชื่อของแต่ละคน
อคติเมื่อถือหุ้น
• ซื้อหุ้นเหมือนเราแต่งงาน มองเห็นแต่ด้านดี มองข้ามข้อเสียไป
• เมื่อไรที่เราขายหุ้นไป ตาสว่างเห็นข้อเสียเพียบเลย
อคติเมื่อขายหุ้น
• หุ้นขึ้นมาเท่าตัวขายไปครึ่งหนึ่งเอาทุนคืน เท่ากับที่เหลือไม่มีต้นทุน ไม่มีกฏข้อไหน ที่ผมอ่านหนังสือเจอมา เป็นการตั้งตัวเลขเอง บางตัว upside 300-400% ก็มี
• ขายเพราะขึ้นมาเยอะ เจอบ่อย mos ลดลงก็จริง แต่ถ้ามันสูงอยู่ก็ไม่ต้องขาย
• ไม่ขายเพราะอยากเห็นพอร์ตเขียว
• ไม่ขายเพราะผูกพัน เช่น ผมมีหุ้นตีแตกที่ทำให้ผมมีเชื่อเสียงระบือ ได้ผลตอบแทนเยอะจะเกิดความผูกพัน แม้ upside จะไม่มีแล้ว นั่น คือเราโดนอคติเล่นงาน
• ไม่ขายเพราะมีต้นทุนต่ำ เช่น ถือหุ้น ptl, sta ซื้อตอน sub-prime ต้นทุนต่ำมาก ปรากฏถือ 2-3 ปี วัฏจักรมันบูมมาก ปรากฏว่าน้องคนนี้รวยเละ เจอครั้งล่าสุดขายไปหรือยัง เค้ายังไม่ขายซักหุ้น เพราะมีต้นทุนต่ำ
การแสวงหาความภาคภูมิใจ หลีกเลี่ยงความเสียใจ
• นักเล่นหุ้นทั่วไป เขียว 2-3% เป็นขาย แต่ตัวขาดทุนเมื่อไร ไม่ยอมขาย แพ้ไม่ได้ ดังนั้นพอร์ตคนคิดแบบนี้จะมีแต่ติดดอย เด็ดดอกไม้ รดน้ำวัชพืช
• ไม่ขายไม่ขาดทุน หลอกแม้กระทั่งตัวเอง
• VI ทมิฬ คืออะไร ลอกหุ้นตามเซียน ไปซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้วขาดทุน ก็ไปโทษคนอื่น คนที่คอยแต่จะโทษคนอื่นตลอดเวลา ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด เป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ในการลงทุนคนที่ไม่เคยเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง ไม่มีทางเจริญ
• Sunk cost มีน้องโพสต์ในร้อยคนร้อยหุ้นถือ เอ็มลิ๊งมา 5 ปี จะถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ ผมจะรอดูจนถึงวันสุดท้ายที่มันจบ น้องคนนี้เสียเวลามา 5 ปี ถ้าคุณถือหุ้น 10 ปี ได้ผลตอบแทนเท่าตัว ผมคิดว่าน้อยมาก ถ้าหุ้นบางตัวกำไร 5% ใน 3-4 วัน คิดเป็นต่อปีเสียหายมหาศาล
การคำนึงถึงอดีต
• เงินของเจ้ามือ (House – money effect) เมื่อได้กำไรมา เราคิดว่าเป็นลาภลอย ไม่ใช่เงินเรา แต่ที่จริงกำไรตรงนี้คือเงินเรา เงินมีค่าเสมอ เราไปแยกว่าเป็นเงินต้นทุน กับ กำไร ที่จริงมันก็คือเงินเราเหมือนกันหมด พอเอาเงินจากกำไรมากๆ ไปซื้อหุ้น สุดท้ายของแพงๆเราก็จะซื้อ เป็นจุดเริ่มต้นฟองสบู่
• ตอนวิกฤติ pe 2,3 หรือ 1.5 ยังมีเลยครับ ทำไมไม่มีคนซื้อ? มันเกิดเรื่องความกลัวความเสี่ยง ไม่มีใครอยากขาดทุนอีก ถูกยังไงก็ไม่กล้าซื้อ
• มีบางคนเสียไปแล้ว แทนที่จะเข็ด กลับพยายามทำอีกแบบคือเอาทุนคืน พอเราแพ้มากๆ จนไม่รู้จะเอาเงินคืนอย่างไร จะ double ไปจนพนันหมดหน้าตักเพื่อเอาทุนคืนแล้วเลิก
• การคำนึงถึงอดีต ยึดราคาสูงสุด/ต่ำสุด anchoring bias เป็น technical ใช้การฟอร์มตัวราคาอดีตคาดการณ์อนาคต สมมติฐานนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ เหตุการณ์มันเป็นอิสระต่อกัน
• เช่น บ้านปู เคยไปถึง 800 ถ้าถือยาวไม่มีวันขาดทุนหรอก อาจจะจริงครับ แต่เกิดต้นทุนเสียโอกาส อีกอย่างวันนี้มี shale gas นะ หรือ ทีทีเอ เคยไปถึง 70 กว่าบาท ตอน BDI สูงๆ ต้องดูว่าพื้นฐานเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ความมั่นใจเกินไป
• ถือหุ้นตัวเดียว ใช้ margin เค้าคิดว่าจะหนีทันนะ แต่วันหนึ่งจะเกิด black swarm
• แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ nobel prize จัดตั้งกองทุนที่มี Model ไม่มีข้อผิดพลาดเลย ใช้ leverage สูง arbitrage แต่ตอนที่เค้าขาดทุน เพราะเกิดเหตุการณ์ไม่อยู่ใน model ภายใน 1 เดือน กองทุนนี้เจ๊ง ชื่อเสียงที่สั่งสมมาจบทันที
พฤติกรรมแบบฝูง
• คนที่อยู่ในก๊วนจะมีความคิดคล้ายๆ กัน แตกต่างจะโดนเฉดหัวออก
• สมมติมีพวกเราคนหนึ่งโนเนม ไปโพสต์ในร้อยคนร้อยหุ้น คนที่เข้าไปอ่านดูเหตุผลก็ดี นะ แต่เค้าเป็นใครไม่รู้ แต่พอมีคนเข้ามาให้ความเห็นสนับสนุน จะเริ่มลังเล จะเชื่อแล้ว ต่อไปถ้ามีคนบิ๊กเนมหน่อยมาโพสต์อีก คนอ่านหลังๆจะเชื่อแล้ว
• เรื่องในสังคม… ดอกทิวลิป จตุคามรามเทพ หลินปิง เสื้อเหลือง เสื้อแดง น้ำหมักป้าเช็ง
• ในสังคมหุ้น… หุ้นดอทคอม(ต่างประเทศ) หุ้นไฟแนนซ์(สมัยก่อน) หุ้นค้าปลีก(อาจจะสมัยนี้)
• เรื่องจิตใจ เอาชนะด้วยเหตุและผล ด้วยตัวเลข
• คนที่ไม่โอนอ่อนไปกับความเห็นคนอื่น จะโดนเยาะเย้ย จำได้ตอนหุ้นตกๆ มีคนเยาะเย้ย vi ตายหมดแล้ว กอดหุ้นจนตาย
• เราถูกเพราะเหตุผลเราถูก ไม่ใช่ถูกเพราะคนส่วนใหญ่ทำกัน

บทความอื่นๆ