Infinite Growth FX

วันจันทร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ทองคำ (Gold) คืออะไร

ทองคำ (Gold) คืออะไร ?

•      โลหะสีเหลืองมีความมันวาว

•      ธาตุ (Atom) ลำดับที่ 79 สัญลักษณ์ Au (Aurum)

คุณสมบัติพื้นฐาน 4 ประการ

•      งดงามมันวาวและคงทน (Luster & Durable)

•      ขึ้นรูปได้ง่าย (Reformable, Malleable, Ductable) ทองคำ 1 ออนซ์ หากตีเป็นแผ่นจะได้พื้นที่ 9 ตร.ม. หากทำ   เป็นเส้นจะได้ความยาว 80 กม.

•      หายาก (Rare)  การถลุงแร่ทองคำในเหมือง 1 ตัน จะได้ทองคำ 20 กรัมเท่านั้น

•      สามารถนำกลับไปใช้ได้ (Reusable)   การหมุนเวียนใช้ประมาณ 950 ตันต่อปี

หน่วยน้ำหนักของทองคำ

•      กรัม              :   ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล

•      ทรอยออนซ์ :    ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย

•      บาท             :    ใช้ในประเทศไทย

มาตรฐานทองคำ

      •     ทองคำความบริสุทธิ์ 96.50%  ทองคำไทย

                      - ทองรูปพรรณ 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม

                      - ทองแท่ง 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

•     ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99% (หรือ 9,999/10,000) ทองโฟร์ไนน์, ทองเก้าสี่ตัว

                - 1 (ทรอย)ออนซ์ เท่ากับ 31.1040 กรัม        

                - 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.148 (ทรอย)ออนซ์

•     ทองคำความบริสุทธิ์ 99.50% ทองคำโลก, ทองคำ LBMA



ความบริสุทธิ์ของทองคำ

K จะหมายถึง กะรัต เป็นหน่วยที่ใช้บอกความบริสุทธิ์ของทองคำโดยบอกว่ามีทองคำกี่ส่วนใน 24 ส่วน

ยิ่งตัวเลขสูงก็แสดงว่ามีทองคำอยู่มาก ยกตัวอย่างเช่น

Description: http://ausirisgroup.com/fckupload/upload/image/%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3.bmp


ประโยชน์จากทองคำ

•      ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม (เป็นตัวนำไฟฟ้า ไม่มีสนิม ไม่ผุ ตีแผ่เป็นแผ่นได้) เช่น ชิ้นส่วน                        อิเล็คโทรนิคส์, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, อุปกรณ์ที่ใช้ในอวกาศ(เคลือบกระจก)

•      ใช้ในวงการแพทย์ (มีความคงทนและไม่แพ้ง่าย) ทองคำเพื่อการครอบฟัน เชื่อมฟัน ฟันปลอม โดยจะใช้    ทองคำผสม  กับธาตุอื่น

•      การลงทุน (ราคาไม่เปลี่ยนตามหุ้นหรือพันธบัตรมากนัก) ซื้อขายเพื่อเก็งกำไร หรือ เพื่อกระจายความเสี่ยงการ  ลงทุน

•      ใช้เป็นของขวัญ และเครื่องประดับ (ทองคำมีค่าและสวยงาม) ของกำนัลในงานพิธี สำคัญต่างๆ เช่น อินเดีย จีน  ไทย เป็นต้น





ปัจจัยต่อราคาทองคำไทย

•      ราคาทองคำโลก หรือราคาทองคำสปอต (Spot Gold) เป็นราคาสากลที่ใช้ตกลงซื้อขายกันทั่วโลก

•      อัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงินบาท) ราคาทองคำโลกมีการตกลงซื้อขายกันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ เราจึงต้องนำมา  ปรับให้อยู่ในรูปเงินบาทด้วย จึงเป็นสาเหตุให้ปัจจัยความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในประเทศ (ค่าเงินบาท)  มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำในประเทศค่อนข้างมาก

•      อุปสงค์อุปทานในประเทศและการคาดการณ์





 คำศัพท์ที่มักพบในข่าวสารเกี่ยวกับทองคำ ทำไมจึงควรทราบ ?


ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก และมักได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่ เช่นสหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป รวมถึงแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ก็มีผลกระทบต่อราคาทองคำเช่นกัน ดังนั้น ข่าวสารเกี่ยวกับทองคำจึงมักพบว่ามีชื่อบุคคลสำคัญ ชื่อหน่วยงาน นโยบายและตัวเลขต่างๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจ กองทุน หรือตลาดหลักทรัพย์ประเทศต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ซึ่งหากเราทราบความหมายของคำย่อหรือคำศัพท์เหล่านี้ ก็จะทำให้เข้าใจเนื้อหาของข่าวสารได้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้เราเข้าใจโลกของทองคำที่นับวันจะมีความสัมพันธ์กับเศรษฐกิจและระบบการเงินของโลกมากขึ้นได้เป็นอย่างดี



COMEX (Commodity Exchange) ตลาดซื้อขายตราสารอนุพันธ์ที่เกี่ยวกับโลหะต่างๆ ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นส่วนหนึ่งของ New York Mercantile exchange (NYMEX)



SPDR หรือ SPDR Gold Trust เป็นกองทุนเปิดดัชนีที่จดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ (Exchange Traded Fund : ETF) เป็นกองทุนที่ลงทุนในทองคำแท่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพื่อสร้างผลตอบแทนของกองทุนหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการ ให้ใกล้เคียงกับผลตอบแทนของราคาทองคำในตลาดลอนดอน คือ London Gold PM Fix Price มีนโยบายลงทุนในทองคำแท่งโดยตรงโดยไม่มีการใช้ตราสารอนุพันธ์หรือมีการให้ยืมทองคำแท่งกับผู้ลงทุน SPDR Gold Trust มีผู้เก็บรักษาทองคำแท่งให้ ได้แก่ ธนาคารฮ่องกงเซี่ยงไฮ้ สหรัฐอเมริกา (HSBC Bank USA, N.A.) กองทุน SPDR Gold Trust จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 4 แห่ง ได้แก่ นิวยอร์ก สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น กองทุน Feeder Fund หลายกองทุนในประเทศต่างๆ ก็มีนโยบายลงทุนใน SPDR Gold Trust อีกทีหนึ่ง ซึ่งรวบรวมคำสั่งซื้อขายหน่วยลงทุนจากนักลงทุนรายย่อย หรือสถาบันในประเทศนั้นๆ มาอีกทอดหนึ่ง ระดับการถือครองทองคำที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของ SPDR Gold Trust จึงเป็นตัวสะท้อนมุมมองต่อทองคำของนักลงทุนจากทั่วโลก



FED (Federal Reserve Bank) ธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งนาย​เบน ​เบอร์นัน​เก้ เป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบัน เนื่องจากระบบเศรษฐกิจและการเงินของสหรัฐฯ มีขนาดใหญ่ นโยบายทางการเงินและภาษีของสหรัฐฯ จึงมีผลอย่างมากต่อตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงทรัพย์สินอื่นๆ ทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมักพบชื่อของนายเบน เบอร์นันเก้และนายทิโมธี ไกธ์เนอร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ อยู่บ่อยครั้งในข่าวสารเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน รวมถึงทองคำด้วย



FOMC (The Federal Open Market Committee) การประชุมของ FED เกี่ยวกับทิศทางนโยบายทางการเงินระยะสั้น เช่น นโยบายดอกเบี้ยระยะสั้น ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึง ภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงนั้นๆ ว่ามีความแข็งแกร่งหรืออ่อนแอมากน้อยเพียงใด หรือแม้กระทั่งสะท้อนภาวะเงินเฟ้อในช่วงนั้นๆ FOMC จะมีขึ้นทุกๆ 6 สัปดาห์หรือปีละ 8 ครั้ง



ECB (European Central Bank) ธนาคารกลางแห่งยุโรป มีประธานฯ คนปัจจุบันคือนายมาริโอ ดรากิ



     BOE (Bank of England) ธนาคารกลางอังกฤษ ปัจจุบันมีนายเมอร์วิน คิง เป็นผู้ว่าการฯ



    BOJ (Bank of Japan) ธนาคารกลางญี่ปุ่น ปัจจุบันมีนายมาซาอากิ ชิราคาวา เป็นผู้ว่าการฯ




      IMF (International Monetary Fund) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ  เป็นองค์กรระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสร้างเสถียรภาพให้กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ให้ประเทศต่างๆ กู้ยืมเงิน รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางด้านเทคนิค เพื่อสนับสนุนให้เกิดการขยายตัวและดุลยภาพของการค้าและการเงินระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีนางคริสติน ลาการ์ด เป็นผู้อำนวยการผู้อำนวยการกองทุน




GDP (Gross Domestic Product) คือ มูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ของประเทศใดประเทศหนึ่ง ส่วนใหญ่จะวัดเป็นรอบปี GDP จะประกอบไปด้วยการบริโภคของภาคเอกชนและครัวเรือน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออก GDP มักใช้เป็นดัชนีชี้วัดความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตประชากรของประเทศนั้นๆ



  QE (Quantitative Easing) นโยบายทางการเงินของรัฐบาลที่ถูกใช้เป็นครั้งคราวเพื่อเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจอาจกระทำได้โดยซื้อคืนหลักทรัพย์ของรัฐบาลหรือหลักทรัพย์อื่นๆ ในตลาด เพื่อให้มีเงินทุนอยุ่ในสถาบันการเงินมากขึ้น วัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินและการให้สินเชื่อ ธนาคารกลางต่างๆ มักใช้ Quantitative Easing เมื่ออัตราดอกเบี้ยถูกปรับลดลงมาจนอยู่ระดับใกล้ 0% แล้ว แต่ก็ยังไม่เกิดผลตามที่ต้องการ ความเสี่ยงของการใช้ Quantitative Easing คือท่ามกลางภาวะที่มีเงินและสภาพคล่องในตลาดมากมาย แต่มีสินค้าและบริการเท่าเดิม สถานการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่สินค้าและบริการที่มีราคาแพงขึ้น และเงินเฟ้อ รวมถึงค่าเงินของประเทศที่ใช้นโยบายนี้อ่อนลง



    Jobless Claims คือ จำนวนคนที่ขอรับสวัสดิการการว่างงานในสหรัฐฯ รายงานนี้จะมีขึ้นทุกสัปดาห์โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 1) Initial Jobless Claims หมายถึง จำนวนผู้ที่ขอรับสวัสดิการครั้งแรก 2) Continuing Jobless Claims หมายถึง จำนวนผู้ที่ขอรับสวัสดิการต่อเนื่องจากเดือนที่แล้ว Jobless claims เป็นดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากสะท้อนภาวะการจ้างงานในสหรัฐฯ  โดยเฉพาะ Initial Jobless Claims จะถูกจับตามองเป็นพิเศษจากนักลงทุนตลาดเงิน หากมีผู้ขอรับสวัสดิการนี้เพิ่มขึ้นในอัตราคงที่ จะชี้ว่าการว่างงานจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ



     CPI (Consumer Price Index) เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการกลุ่มหนึ่งๆ ในช่วงเวลาหนึ่งๆ เช่น การขนส่ง การเดินทาง อาหาร และบริการทางการแพทย์  เพื่อสะท้อนค่าครองชีพ และอนุมานได้ถึงภาวะเงินเฟ้อ(สินค้าและบริการมีราคาสูงขึ้น) หรือเงินฝืด(สินค้าและบริการมีราคาต่ำลง) ในช่วงเวลานั้นๆ โดย CPI ของสหรัฐฯ จะประกาศทุกๆ วันที่ 13 ของเดือน ส่วน Core CPI จะไม่รวมราคาคาอาหารและพลังงาน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงราคาอาหารและพลังงานอาจได้รับอิทธิพลจากการเก็งกำไรในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์มากในช่วงเวลานั้นๆ ทำให้บิดเบือนภาพเงินเฟ้อหรือเงินฝืดไปได้ โดยมากแล้วเมื่อใดที่มีภาพเงินเฟ้อสูงจะทำให้ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ อ่อนลง และเป็นผลบวกต่อทองคำ



   PPI (Producer Price Index) เป็นดัชนีชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการในช่วงเวลาหนึ่งๆ  โดยสำรวจจากผู้ผลิตหรือผู้ค้าส่ง PPI จะปรกาศในวันที่ 11 ของเดือน ก่อนที่จะประกาศ CPI โดยมากถ้า PPI สูงมักจะทำให้ CPI สูงตามไปด้วย ส่วนCore PPI มีความหมายในทำนองเดียวกับ Core CPI



   Nonfarm Payroll เป็นสถิติเกี่ยวกับจำนวนแรงงานและค่าแรง ของแรงงานนอกภาคเกษตร แรงงานดังกล่าวยังไม่รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐและองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร แรงงานตามบ้านเรือนด้วย nonfarm payroll เป็นผู้ผลิตสินค้าและบริการ 80% ของ GDP สหรัฐฯ ตัวเลข nonfarm payroll จะประกาศทุกวันศุกร์แรกของเดือน และมักมีผลต่อตลาด เนื่องจากเป็นตัวชี้วัดระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และสามารถคาดการณ์ระดับกิจกรรมเศรษฐกิจในอนาคตได้ การเพิ่มขึ้นของ nonfarm payroll สามารถตีความได้ว่าค่าแรงที่แรงงานได้รับมากขึ้นนั้นจะถูกจับจ่ายใช้สอยไปยังสินค้าและบริการต่างๆ ยิ่งมีการจ่ายค่าแรงมากขึ้นเท่าใด การเติบโตของเศรฐกิจโดยรวมก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น แต่มีเงื่นไขว่าค่าแรงที่เพิ่มขึ้นนั้นจะต้องสอดคล้องกับปริมาณผลผลิตและความต้องการสินค้าและบริการที่สูงขึ้นด้วย แต่หากในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะอิ่มตัวของการขยายตัว การที่ค่าแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่ระดับความต้องการสินค้าและบริการไม่ได้เพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน สภาวะเช่นนี้จะทำให้เกิดความกังวลเรื่องเงินเฟ้อได้



   Fiscal Cliff "หน้าผาทางการคลัง" คือ การที่เศรษฐกิจของประเทศสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังอย่างฉับพลันและรุนแรง เนื่องจากมาตรการด้านการคลังชั่วคราวที่ ใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในยามที่เกิดวิกฤตินั้นสิ้นสุดลง ยิ่งมาตรการนั้นๆ มีขนาดใหญ่มากเท่าไร เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของมาตรการก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจสูญเสียแรงส่งมากขึ้น เท่านั้น และนั่นหมายถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจถูกฉุดให้ลดต่ำลงหรืออาจรุนแรงถึงขั้น เศรษฐกิจถดถอยก็เป็นได้ ดังนั้นเหตุการณ์เช่นนี้จึงเปรียบเสมือนกับว่าเศรษฐกิจ "ตกหน้าผาทางการคลัง" ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ นั้น การสิ้นสุดระยะเวลาการตัดลดภาษีเงินได้ (Payroll-tax cut) ซึ่งเริ่มมีขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช เมื่อปี 2001 และปี 2003 การสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวทำให้รัฐบาลต้องเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากประชาชนในปี 2013 รวมทั้งสิ้นราว 180 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากนี้ยังมีมาตรการชั่วคราวอื่นๆ อย่างเช่น การให้เครดิตภาษีการลงทุน (Investment tax credit) และการเพิ่มเงินสวัสดิการสำหรับผู้ว่างงาน (Jobless benefits) ที่จะสิ้นสุดมาตรการในสิ้นปี 2012 เป็นต้น ปัจจัยเหล่านนี้ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ตลาดเงินและตลาดทุน รวมถึงสินทรัพย์อื่นๆ




     การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) เป็น การศึกษาพฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ หรือพฤติกรรมของตลาดในอดีตโดยใช้หลักสถิติ เพื่อนำมาใช้คาดการณ์พฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในอนาคต และช่วยให้ผู้ลงทุนหาจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม โดยข้อมูลหลักที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค ได้แก่ ระดับราคา และปริมาณการซื้อขาย  แนวคิดการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิคจะอยู่บนสมมติฐาน 3 ประการ คือ

               1. ราคาเป็นผลรวมที่สะท้อนให้ทราบถึงข่าวสารในด้านต่างๆ ทั้งหมดแล้ว

              2. ราคาจะเคลื่อนไหวอย่างมีแนวโน้ม และจะคงอยู่ในแนวโน้มนั้นๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหม่

              3. พฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุน จะยังคงมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับพฤติกรรมการลงทุนในอดีต


บทความอื่นๆ

วันพุธที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2556

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด

12 เรื่อง ที่ต้องรู้ในการเทรด
บทความนี้ ไม่ไใช่เคล็ดลับที่จะช่วย หรือทำให้คุณมีแรงบันดาลใจ แต่เป็น ความจริง เป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากพูดถึง เราต้องเรียนรู้ ทั้ง 12 เรื่อง ต่อไปนี้ แล้วจะทำให้คุณ เข้าใกล้ความสำเร็จ มากขึ้น

1. เรียนรู้พื้นฐาน
ถ้าคุณยังเป็นมือใหม่ คุณต้องเรียนรู้พื้นฐานการเทรด !
เป็นเรื่องที่ต้องพูดถึง พูดถึงนักเทรดหน้าใหม่ มือใหม่ส่วนมากจะมองข้ามการเข้าใจพื้นฐานไป แล้วกระโดดเข้าไปสู่ สงครามอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอน มันส่งผลร้ายแรงกับพวกเขา

2. คุณจะไม่รวยเร็ว แต่ประสบการณ์จะทำให้คุณรวย
หาก คุณเข้ามาเทรดเพราะอยากจะรวยเร็ว คุณคือนักเดินทางที่ไม่มีเข็มทิศ อย่ามัวแต่ไร้เดียงสา การเทรดเป็นเรื่อง ของประสบการณ์ ยิ่งคุณมีประสบการณ์มากเท่าไหร่ คุณก็จะเทรดได้ดียิ่งขึ้น มักมีการถามบ่อย ๆ เช่น คุณทำกำไร 90 จุด ได้ยังไง ผมทำได้แค่ 70 จุด ทั้ง ๆ ที่เทรดเหมือนกัน ? มันเป็นเพราะประสบการณ์ หากเราเทรดมา 5 ปี เป็น นักเทรดที่มีประสิทธิภาพ เราย่อมจะเห็นสิ่งที่มือใหม่ไม่เห็น เพราะใช้ประสบการณ์ เส้นทางของการเป็นเทรดเดอร์ เป็นเส้นทาง ที่ยาว ดังนั้นเราต้องเตรียมตัวไว้ 1 – 3 ปี กว่าที่เราจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง จำไว้เสมอว่า Forex ก็เป็นอาชีพหนึ่ง ไม่ใช่หนทางลัดไปสู่การรวยเร็ว

3. ผู้เชี่ยวชาญผู้หลอกลวง
การฟังความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ต่าง ๆ นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาคือ ตลาดเงิน เป็นที่ที่มือใหม่ทุกคน ชอบคิดว่า ตัวเองนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญ และ คนอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีอายุตั้งแต่ 30 – 60 ปีนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชาย หรือผู้หญิง ที่ชอบใส่สูท จะบอกว่า ตัวเองเป็นนักเทรดมืออาชีพ และขอให้คุณซื้อหนังสือของพวกเขา คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ ล้วนแต่เป็นเทรดเดอร์ที่ล้มเหลว ซึ่งจะทำเงินจาก การสอนผู้อื่นเทรดว่า ทำไมถึงขาดทุน

พวกที่อ้างตัวว่าเป็นมืออาชีพ มักจะเป็น ดังนี้...
1. ชอบให้ข้อมูลเก่า ๆ ซ้ำ ๆ แล้วก็ไม่เวิร์ค
2. พวกเขามักจะบอกว่าพวกเขาเป็นนักเทรดมืออาชีพที่รวยและพยายามขายหนังสือให้กับคุณ
3. พวกเขาจะบอกถึงสิ่งที่เขาทำได้ เช่น เขาทำเงิน 1 พันเหรียญ ให้กลายเป็น 1 ล้านเหรียญภายใน 1 สัปดาห์ หรืออะไรประมาณนี้
4. พยายามพิสูจน์ว่าพวกเขาเป็นนักเทรดที่ได้กำไร โดยการโพสต์ภาพที่แต่งขึ้นโดย photoshop
5. ชอบใช้คณิตศาสตร์เพื่อให้ตัวเองดูว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ มากกว่าที่เขาเป็นอยู่จริง ตัวอย่างเช่น พูดถึงแต่ออร์เดอร์ที่กำไรหลายครั้ง แต่ไม่ค่อยจะยอมพูดถึงออร์เดอร์ที่ขาดทุน

ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ หรือมืออาชีพนั้นเป็นเรื่องตลก ระวังอย่าไปหลงเชื่อสิ่งที่พวกเขาพูด

4. วิเคราะห์ด้วยตัวคุณเอง
ต่อ เนื่องจากข้อ 3 การที่เดินตาม คนอื่น จะทำให้คุณเป็น แกะตาบอด เป้าหมายของคุณ คือการเป็นนักเทรด ที่ ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ตามใคร ซักคน อย่างไม่ลืมหูลืมตา ปล่อยให้เขาจูงจมูก ไม่ว่าจะไปทางไหน ในฐานะ นักเทรด คุณจำเป็นต้องมีวิธีการ ขั้นตอนในการวิเคราะห์ตลาด และสามารถทำการวิเคราะห์ด้วยตัวเอง ซึ่งจะทำให้ คุณเข้าใกล้ ความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น

การวิเคราะห์ด้วยตัวเอง จะทำให้...
1. ทำให้คุณ เป็นคนมีความมั่นใจในตัวเอง
2. ได้เรียนรู้ในการเทรด

ถ้า คุณตามคนที่บอกว่าเขาเป็นมืออาชีพ อย่างไม่ลืมหูลืมตา คุณก็ไม่ต่างอะไรกับตัวเลมมิ่ง คุณจะทำกำไรได้อย่างไร ถ้าวันนึงมืออาชีพเหล่านั้น ไม่ให้เคล็ดลับ หรือเคล็ดลับของเขามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

คุณจะเข้าใจหรือไม่ว่า พวกเขา มาบอกคุณทำไม ?
ทำไมตอนนี้พวกเขาไม่มาบอกคุณอีกแล้ว ?

5. ตำนาน เดโม
หาก คุณอยากจะเป็นนักมวยอาชีพ คุณต้องออกไปซื้อ เกมส์ต่อยมวย เอามาเล่นบนเครื่อง Play 3 แล้วก็มาฝึกมวย อ่านแล้วรู้สึกยังไงบ้าง ? มันก็เหมือนกับการเทรดเดโม แล้วคุณหวังว่า จะกลายเป็นนักเทรดมืออาชีพได้

การเทรดเดโม 3 เดือน ไม่เหมาะด้วยเหตุผลสองประการ :
1. เดโม ทำให้มือใหม่มั่นใจแบบผิด ๆ และทำให้พวกเขาติดนิสัยการเทรดที่ไม่ดี
2. บัญชีเดโม เรามักจะเทรดได้ดีกว่าบัญชีเงินจริงเสมอ เพราะมีออพชั่นที่ดีกว่า เช่น ส่งออร์เดอร์ได้ไวกว่า เร็วกว่า และปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย

วิธีแก้ คือ
ใช้เด โมในการเรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิธีการเทรด เมื่อคุณพร้อมที่จะเทรด คุณควรเทรดด้วยเงินจริงเท่านั้น ซึ่ง ทุกวันนี้ คุณสามารถเปิดบัญชีด้วยเงินเพียง 10 เหรียญ แล้วทำไมจึงไม่เทรดเงินจริงกัน ถ้าหากยังไม่มีความสามารถหาเงิน 10 เหรียญมาเทรดได้ ก็ไม่ต้องมาเทรดเลยดีกว่า...

6. พยายามแก้ปัญหาการขาดทุนติดกันให้ได้
นี่เป็นข้อที่สาคัญที่สุดที่ควรใส่ใจในการเทรด ถ้าไม่มีกฏข้อนี้บอกได้เลยว่า คงไม่ได้เป็นเทรดเดอร์ ที่ประสบความ สาเร็จ ถ้าคุณเสียติดกัน สามครั้งติด ๆ กัน ให้อยู่ห่าง ๆ จากกราฟ หยุดไปซักพัก แล้วกลับมา พร้อมสมอง ที่ว่างเปล่า การเทรดเสียติด ๆ กัน เป็นสิ่งอันตรายมาก และสามารถนำเราไปสู่การเสียครั้งใหญ่ได้ แค่นี้คงอธิบายได้ชัดพอ ไม่ต้องย้ำอะไรมาก

7. การตามคนอื่น
เคย ได้ยินไหมว่า ? นักเทรดส่วนใหญ่ของมือใหม่ 90 % ล้มเหลวกันทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม มันก็จริง ที่บอกว่า นักเทรด มือใหม่่ส่วนใหญ่ ที่เข้ามาในตลาด ต่างก็ล้มเหลว

ความลับ ก็คือ การคิดต่างออกจากปากคนส่วนใหญ่ และเทรดด้วยตัวเอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณอยู่ห่าง ๆ จากบอร์ดต่าง ๆ แต่หมายถึง คุณควรทำาทุกอย่างด้วยตัวเอง หาความรู้ประสบการณ์ ในการที่จะเป็นอิสระ จาก การตามความคิดของผู้อื่น

ลองคิดเรื่องพวกนี้ดู...
1. นักเทรดส่วนใหญ่ที่เป็นมือใหม่ ล้วนแต่ล้มเหลว
2. ถ้าเราตามคนส่วนใหญ่ เราก็จะเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่
3. ถ้าเราเป็นส่วนหนึ่งของคนส่วนใหญ่ เราก็จะล้มเหลว

การที่จะเป็นอิสระ ต้องไม่เป็นผู้ตาม

8. ยึดมั่นในวิธีการของตัวเอง
วิธี การเทรดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ย่อมมีขึ้นมีลง ไม่มีระบบเทรด วิธีการใด หรือการเทรดแบบไหน ที่จะได้กำไร 100 % ตลอดไป วิธีการ เช่น มีโอกาสกำไรเฉลี่ย เท่ากับ 80 % บางช่วงของปี ควรจะได้กาไร 60 % หรือบางทีในช่วงอื่น ๆ ของปีก็ได้กาไร 100 % ซักหนึ่งหรือสองเดือน ควรรู้ว่าแต่ละปี จะต้องเจอช่วงที่แย่ และต้องเสียมากกว่าที่เคยเสีย เราจะต้องไม่สูญสิ้นศรัทธา และยังเทรดมันต่อไป

แต่ปัญหาของมือใหม่ คือ จะยอมแพ้ หลังจากเพียงแค่ สัปดาห์แรกเท่านั้น
อย่าทิ้งระบบของคุณเมื่อเวลาแย่ ๆ มาถึง

9. พยายามทำให้มันธรรมดาที่สุด นี่เป็นเรื่องง่าย และ ธรรมดา !
การ เทรดไม่จำเป็นต้องยุ่งยาก หรือซับซ้อน ตัวอย่างวิธีการเทรด ค่อนข้างธรรมดาและมีประสิทธิภาพ ใช้เวลา 2 -5 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในการเทรด โดยส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตตามปกติ วิธีการเทรดไม่ต้องซับซ้อน และยากต่อการทำ ความเข้าใจ
ทำให้มันง่าย ซึ่งจะทำให้คุณ:
1. ใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. ไม่ต้องเฝ้ามาก
3. ทำให้เรียนรู้ได้เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าคุณจำอะไรเกี่ยวกับบทความนี้ไม่ได้เลย คุณต้องจำข้อ 10

10. เทรดเพียงคู่เดียวเท่านั้น
กุญแจ ไปสู่ประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากมือใหม่ไปสู่มืออาชีพ คือ การทำให้การเทรดของคุณ เป็นเรื่อง ธรรมดาที่สุด วิธีหนึ่งที่ง่ายที่สุด คือ การทำให้การเทรดของคุณนั้นธรรมดาที่สุด โดยการเทรดแค่ คู่เงินเดียว ข้อนี้ธรรมดามาก แต่ว่าไม่น่าเชื่อว่า ไม่ค่อยมีใครทำมัน การเทรดแค่คู่เดียวจะช่วยเราได้ เพราะ จะทำให้คุณมีสมาธิ และพยายามเรียนรู้ เกี่ยวกับค่าเงินคู่นั้น ๆ ดังนั้น มันจะทำาให้คุณเข้าใจว่า มันเคลื่อนไหวยังไง?

ถ้าคุณพยายามดื้อดึง เทรด 5 คู่ ในเวลาเดียวกัน การเรียนรู้ในการเทรดย่อมจะยากกว่า

คุณจะต้องเรียนรู้ลักษณะพิเศษ ของค่าเงินแต่ละคู่ คุณจะต้อง:
1. มีปฏิกิริยากับข่าว ที่แตกต่างตามค่าเงิน
2. อัตราการวิ่งของแต่ละคู่ที่ บางคู่ช้า บางคู่เคลื่อนไหวเร็ว
3. เวลาที่คู่เงินเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงวันหนึ่ง
4. ต้องจัดการออร์เดอร์ที่เปิดอยู่ แตกต่างกันไป

ในฐานะมือใหม่ การกระโดดเข้าเล่นหลายคู่แบบนี้ จะทำให้มีความกดดันสูง และทำให้เรียนรู้ได้ช้า

ดังนั้น ควรเริ่มด้วยการ เทรดคู่เดียว
เมื่อคุณได้กำไร คุณสามารถเทรดได้หลายคู่ เท่าที่คุณจะสามารถรับได้

11. เทรดเพียงแค่ Time Frame (TF) เดียว
การเทรด Time Frame เดียวก็เป็นการทำให้ระบบธรรมดา

การดู Time Frame เดียวมีประโยชน์ ดังนี้ :
1. ทำให้คุณมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนรู้ ในแต่ละ Time Frame ดังนั้น มันจะช่วยลดความสับสน ที่มาพร้อมกับ การเรียนรู้การใช้ หลาย ๆ Time Frame
2. ทำให้คุณต้องดูกราฟน้อย และมีสมาธิในการวิเคราะห์กราฟ Time Frame เดียวมากขึ้น ดังนั้น จะทำให้คุณ วิเคราะห์ มีประสิทธิภาพ และคุณภาพในการวิเคราะห์
3. ช่วยลดการวิเคราะห์มากเกินไป โดยการดูหลาย Time Frame ซึ่งทำให้เกิดข้อขัดแย้ง
4. มันทำให้ชีวิตง่ายขึ้น

จำ ไว้เสมอว่า ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้ระบบเทรดของเราธรรมดามาก ถ้าคุณเทรด Time Frame เดียว และคู่เงินเดียว ในฐานะมือใหม่ คุณไม่ควรจะไปยึดกับกราฟหลายกราฟ

ควรจะเทรดกราฟเดียว จนกว่า คุณจะได้กำไรอย่างต่อเนื่อง

12. กราฟสะอาด
มือ ใหม่ส่วนใหญ่ จะใส่ Indicator เต็มไปหมดในกราฟของพวกเขา ตอนที่เข้าเทรด Indicator ช่วยคุณในการเทรด ฉะนั้นถ้าเราใส่เยอะ หมายความว่าดีกว่า ? ผิด หรือ ถูกกันแน่!

เมื่อเทรดเดอร์มีประสบการณ์มากขึ้น พวกเขาจะพบว่า ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี Indicator ที่มากจะทำให้คุณสับสนมากขึ้น

ยิ่งคุณมี Indicator มากเท่าไหร่ก็จะทำให้...
1. ทำให้กราฟยุ่งเหยิง ยากต่อการวิเคราะห์กราฟ
2. ทำให้คุณ ต้องคิดมากกว่าปกติ และการตัดสินใจของคุณแย่ลง
3. เพิ่มความขัดแย้งของสัญญาณมากขึ้น ระหว่าง Indicator

ฟังดูไม่เวิร์คเลย ใช่ไหม ?
Indicator ไม่ใช่ทั้งหมดของการเทรด จะเทรดด้วยกราฟเปล่า ๆ และอัตรากำไรต่อขาดทุนถึง 80 % ไม่ได้บอกว่า คุณต้องเอา Indicator ออกให้หมด แต่ว่า หลายคนเทรดโดยไม่ใช้ Indicator พร้อมกับแนวรับแนวต้านและ รูปแบบกราฟแท่งเทียนต่าง ๆ

เรื่องเปิดเสรีในไทยเกี่ยวกับ Forex

เรื่องเปิดเสรีในไทยเกี่ยวกับ Forex

1. สิ่งที่เราเทรดอยู่ในเวลานี้ เป็นเพียง future ชนิดนึง เราไม่ได้ทำการซื้อขาย เปลี่ยนมือค่าเงินจริงๆ ฉะนั้นข้อห้ามที่ว่า ห้ามบุคคลธรรมดาซื้อขายแลกเปลี่ยน เงินตราจึงเป็นคนละประเด็นบุคคล ธรรมดาทั่วไปย่อมมีเสรีภาพในการเลือกลงทุนอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นในประเทศ หรือต่างประเทศ แต่ที่เราเลือกเทรด Forex ที่ต่างประเทศ มากกว่าเลือกเปิดบัญชี เทรด future ที่บ้านเรานั้น ก็เนื่องด้วยเงินลงทุนที่น้อยนิด เทียบกันไม่ได้เลย กับการเปิดบัญชี future ที่บ้านเราฉะนั้นการเปิดบัญชี Forex จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฎหมายใดๆ สามารถทำได้ และไม่มีข้อห้าม เพราะถือเป็นการลงทุน และการหารายได้ชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการไปซื้อหุ้นที่ต่างประเทศ เช่น ซื้อหุ้นที่อเมริกา หรือ ญี่ปุ่น

2. การเทรด Forex ส่วนใหญ่ก็ล้วนอาศัยปัจจัยทางด้านเทคนิคมากกว่า ผมจึงเห็นแย้งกับบางท่าน ที่ว่าเปิด Forex ในไทย แล้วทำให้เกิดการพัฒนาด้านองค์ความรู้ในการเทรด ปัจจุบันไม่ว่าการเทรดหุ้น ทอง หรือสัญญา future ก็ล้วนใช้เทคนิคมาอธิบายความเป็นไปทั้งสิ้น มีพื้นฐานการเรียนรู้เหมือนกัน และอีกอย่างบทวิเคราะห์ไม่ว่าจะเป็นทางด้านพื้นฐาน หรืิอ เทคนิคดีๆ เกี่ยวกับ Forex ก็ล้วนหาอ่านได้ตามเวบต่างประเทศมากมาย และสถาบันที่เปิดสอนเกี่ยวกับการวิเคราะห์ด้านเทคนิคก็มีมากมายอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อไปเรียนก็สามารถนำมาใช้ได้ทุกตลาด ไม่ต่างกัน

3. ผู้เทรด Forex ในไทย ล้วนเป็นนักลงทุนรายย่อย กว่า 80% มีทุนในการเปิดบัญชีไม่เกิน 50,000 บาท ฉะนั้นหากมีการเปิดเสรีในไทย นักลงทุนรายย่อยกลุ่มนี้ก็คงไม่ได้รับความสนใจเท่าไรนัก เพราะว่าในอนาคตเมื่อเปิดเสรีค่าคอม โบรกเกอร์จะหันไปดึกนักลงทุนรายใหญ่ๆ ส่วนรายย่อยนั้นไร้ความสำคัญ และไม่คุ้มต่อต้นทุนของโบรกเกอร์ผู้ให้บริการเท่าใดนั้น อีกประการ คือ การที่เราเปิดบัญชี Forex ที่ต่างประเทศ ค่าคอมถูกมาก หรือ บางโบรกแทบไม่มีเลย แน่นอนหาก ไทย มีการอนุญาตให้เปิดอนุญาตให้โบรกเกอร์มีบริการซื้อขาย Forex ค่าคอมย่อมสูงกว่าหลายเท่าตัว

4. สิ่งที่นักเทรด Forex ควรทำความเข้าใจคือ ประเด็นการเสียภาษีเมื่อมีรายได้จากการลงทุนมากกว่า นั้นคือสิ่งที่น่ากลัว เพราะว่า กำไรจากการเทรด ถือเป็นรายได้ ฉะนั้นเมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด ก็ย่อมต้องเสียภาษีด้วย แต่ประเด็นก็คือว่า ส่วนใหญ่มักจะขาดทุน หรือว่า เมื่อได้กำไรมา ก็ไม่ถึงเกณฑ์ภาษีที่กำหนด ฉะนั้นเรื่องภาษีจึงตกไป

ฉะนั้นให้ทุกคน สบายใจได้เลยว่า การที่ท่านนั่งหลังขดหลังแข็ง เฝ้าหน้าจอทำการเทรด ไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด เพราะกฎหมายไม่ได้ห้าม ไม่ต่างอะไรจากการไปซื้อหุ้นที่ต่างประเทศ และหากมีการเปิดเสรี forex ในไทยจริงๆ มีโบรกเกอร์ที่ได้รับอนุญาตเกี่ยวกับการซื้อขาย forex ในไทยจริงๆ ก็คาดว่าหลายท่านก็คงไม่เลือกใช้บริการอยู่ดี เหตุเพราะ มีค่าคอมมิชั่นสูง จำนวนทุนในการเปิดบัญชีสูง และที่สำคัญ วอลุ่มน้อยมาก นั้นเอง (ขนาด future เปิดมานานแล้ว วอลุ่ม Bid offer ยังโชว์ไม่ถึง 100 สัญญา) และประเด็นสุดท้าย ไม่ว่าจะในประเทศที่เจริญแล้ว หรือว่ายังไม่เจริญ ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าจะทำให้มีการเทรดเป็นอาชีพมากขึ้น แต่อย่างใด ตลาดหุ้นเปิดมากว่า 30 ปี ก็ยังมี แมงเม่าเหมือนเดิม มีคนที่สำเร็จ 10% และ คนที่ล้มเหลว 90% เหมือนเดิม

ฉะนั้นเราสามารถ เลือกเองได้ว่าจะเลือกเทรดเป็นอาชีพ หรือ เลือกล้มเหลวได้ด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวข้องกับการที่ประเทศเราจะอนุญาตให้มีหรือไม่มี เพราะสุดท้าย จะอนุญาต หรือ ไม่อนุญาต คนที่ประสบความสำเร็จ ก็ยังอยุ่ในกลุ่ม 10% เหมือนเดิม

สิ่งที่สำคัญ เทรดเดอร์ตีความ อาชีพเทรดเดอร์ว่าอย่างไร เพื่อปากท้องวันต่อวัน? หรือ เพื่อความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เรามีตัวอย่างเทรดเดอร์มืออาชีพในตลาดหุ้นมากมายให้ศึกษา แน่นอนเขาไม่ได้หวังกำไร เพื่อปากท้องวันต่อวัน

หรือหวังให้ประทั่งชีวิตเดือนๆไป เมื่อเขามีเป้าหมาย มีจุดหมาย เขาย่อมรู้ดีกว่า จะเทรดอย่างไรให้ไปถึง ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ฟอเร็กซ์ (Forex) คืออะไร

ฟอเร็กซ์ (Forex) คืออะไร
Forex (Foreign Exchange Market) หรือเรียกสั้นๆว่า FX เป็นตลาดในการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินต่างๆ ซึ่ง Forex เป็นตลาดที่มีการซื้อขายมากที่สุดในโลกกว่า 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐต่อวันซึ่งมากกว่าตลาดหุ้นทั้งโลกมารวมกัน ตลาด Forex เปิดทำการตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ตลอด 24 ชั่วโมงและหยุดการซื้อขายในวันเสาร์อาทิตย์ ตลาดใหญ่ๆของโลกจะมีอยู่ 3 แห่งก็คือ ตลาดโตเกียว ตลาดลอนดอน และตลาดนิวยอร์ค ซึ่งเวลาทำการเมื่อเทียบกับเวลาประเทศไทยก็จะเป็นดังนี้ (ถ้าอยู่ในช่วงฤดูหนาวก็ให้เพิ่มอีก 1 ชั่วโมง)

ตลาดออสเตรเลีย (AUD) เวลา 5:00 – 13:00
ตลาดญี่ปุ่น (JPY) เวลา 7:00 – 14:00
ตลาดยุโรป (EUR) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดสวิส (CHF) เวลา 13:00 – 21:00
ตลาดอังกฤษ (GBP) เวลา 14:00 – 22:00
ตลาดอเมริกา (USD) เวลา 19.00 - 3:00

สกุลเงิน
สกุลเงินหลักๆที่ทำการซื้อขายนั้นก็จะมีอยู่ 7 สกุลเงินด้วยกันก็คือ ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ยูโร (EUR) ปอนด์ (GBP) เยน (JPY) ดอลลาร์แคนาดา (CAD) สวิสฟรังค์ (CHF) และดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)
การซื้อขายสกุลเงินในตลาด Forex นั้นจะทำกันเป็นคู่ๆ (Currency Pair) ซึ่งคู่ของสกุลเงินหลักหรือที่เรียกว่า Major นั้น จะมีอยู่ 4 สกุลด้วยกันคือ GBP/USD, EUR/USD, USD/CHF, USD/JPY ซึ่งสกุลเงินที่อยู่ข้างหน้าจะเรียกว่า Base Currency และตัวหลังเรียกว่า Counter Currency เช่นคู่ GBP/USD ก็จะมี GBP เป็น Base Currency และ USD เป็น Counter Currency ส่วนความหมายนั้นก็ให้จำง่ายๆว่าตัว Base Currency จะมีค่าเป็น 1 เสมอ สมมติว่าราคาของคู่ GBP/USD เป็น 1.5000 ก็จะหมายความว่า 1 ปอนด์มีค่าเท่ากับ 1.5 ดอลลาร์

Pip
Pip คือจำนวนจุดที่น้อยที่สุดของคู่เงินนั้นๆ ตัวอย่างเช่นราคาของคู่ GBP/USD จะมีทศนิยม 4 จุด เช่น 1.5000 เพราะฉะนั้น 1 pip ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.0001 ส่วนราคาของคู่ที่มีสกุลเงินเยนอยู่จะมีทศนิยม 2 จุด เช่นราคาของคู่ USD/JPY เป็น 110.00 ดังนั้น 1 pip ของคู่นี้ก็จะมีค่าเท่ากับ 0.01

Lot
ขนาดของสัญญาที่จะทำการซื้อขายกันนั้นเรียกว่า lot ขนาดของสัญญาก็จะมี 3 ประเภทคือ Standard lot, Mini lot และ Micro lot ซึ่ง 1 standard lot จะเท่ากับ 10 mini lot และ 1 mini lot จะเท่ากับ 10 micro lot ถ้าจะเทียบเป็นดอลลาร์ก็จะได้คร่าวๆว่า

ที่ 1 standard lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $10
ที่ 1 mini lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $1
ที่ 1 micro lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $0.1

ถ้าเทียบกับบัญชีของ FXClearing ก็จะมีค่าดังนี้
บัญชีไมโคร ที่ 10 lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $1
บัญชีมินิ, ECN ที่ 0.1 lot ทุกๆ 1 pip (ทศนิยมจุดที่ 4) จะมีค่าเท่ากับ $1
บัญชีนาโน ที่ 100 lot ทุกๆ 1 pip จะมีค่าเท่ากับ $1

Spread
Spread คือผลต่างของราคา Bid และ ราคา Ask หน่วยเป็นจำนวนจุด ซึ่งราคา Ask ก็คือราคาที่เราจะทำการซื้อและราคา Bid ก็คือราคาที่เราจะทำการขาย ซึ่งราคา Bid จะน้อยกว่าราคา Ask เสมอ ตัวอย่างเช่นคู่ EUR/USD มีราคา Bid เป็น 1.5540 ราคา Ask เป็น 1.5541 ดังนั้น Spread จะมีค่าเท่ากับ 1 จุด ซึ่ง Spread ก็เปรียบเสมือนกับค่าธรรมเนียมของโบรกเกอร์ที่คิดกับเรานั่นเอง ยิ่งน้อยยิ่งดี

Margin
Margin เปรียบเสมือนกับค่ามัดจำที่เราต้องใช้ในการเปิด Order แต่ละครั้ง และก็จะเพิ่มกลับเข้าไปในบัญชีเหมือนเดิมเมื่อทำการปิดออเดอร์ ยิ่งใส่จำนวน Lot ในการเปิดออเดอร์มากเท่าไหร่ จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น

Leverage
Leverage จะเป็นตัวกำหนด Margin ที่เราใช้ในการเปิดออเดอร์แต่ละครั้ง Leverage โดยปกติจะมีให้เลือกตั้งแต่ 1:100 จนถึง 1:500 ยิ่ง Leverage มาก จำนวน Margin ที่ใช้ก็จะน้อยลง สำหรับจำนวน Margin ที่ต้องใช้ก็คิดง่ายๆก็คือที่ Leverage 1:500 ถ้าเราเทรดที่ 0.1 lot (1 pip เท่ากับ $1) จะใช้ Margin ประมาณ $20-$30 ถ้าเป็น Leverage 1:100 ก็จะใช้ Margin เท่ากับ $100 - $150 ($20*5 - $30*5) ซึ่งค่า Margin ที่ใช้ก็จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตามราคาของสกุลเงิน สามารถคำนวณ Margin ที่ใช้ของคู่สกุลเงินต่างๆได้ที่

Swap
Swap คือดอกเบี้ยที่เราจะได้หรือเสียไปเมื่อเราทำการเปิดออเดอร์ทิ้งไว้ข้ามคืน (ช่วงตี 4 เวลาประเทศไทย) ค่า Swap ของแต่ละสกุลเงินสามารถเข้าไปดูได้ที่ MT 4 -> หน้าต่าง Market Watch -> คลิกขวา เลือก Symbols -> เลือกสกุลเงินที่ต้องการ -> กดปุ่ม Properties จะแสดงค่า Swap Long (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ซื้อ) และ Swap Short (ค่า Swap สำหรับออเดอร์ขาย) มีหน่วยเป็น pip คืนวันเสาร์และอาทิตย์ไม่มีการคิดค่า Swap แต่จะไปทบในคืนวันพุธแทนซึ่งค่า Swap คืนวันพุธจะมีค่าเป็น 3 เท่าของค่า Swap ปกติ สำหรับ FXClearing ทุกบัญชีจะไม่คิดค่า Swap ยกเว้นบัญชี ECN ที่สามารถเลือกให้คิดหรือไม่คิดก็ได้

บทความอื่นๆ

วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างนักลงทุน นักเกร็งกำไร นักพนัน

ความเหมือนที่แตกต่างระหว่างนักลงทุน นักเกร็งกำไร นักพนัน

ทั้งสามล้วนยืนอยู่บนความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้นแต่ความแตกต่างของทั้งสามคือตัวเลขของความเสี่ยงที่ต่างกันไปอย่างนักพนันมีความเสี่ยงมากที่สุดแต่หากได้กำไรก็ได้มากที่สุดเช่นกันยกตัวอย่างการเล่นพนันฟุตบอลความเสี่ยงที่เห็นได้ชัดคือความเสี่ยง 50/50 กำไรที่ได้ก็มากตามด้วยเช่นกันแต่สิ่งที่ต้องแลกกับกำไรที่มากคือความเสี่ยง 50/50 ทำไมผมถึงพูดถึงนักพนันนะเหรอเพราะการลงทุนในหุ้นถ้ามองผิวเผินโดยขาดการวิเคราะห์ความเสี่ยงก็ยังคงเป็น 50/50 เช่นกันเพราะกราฟมีเพียงสองทางคือขึ้นกับลง

นักเกร็งกำไรหากพูดถึงนักเกร็งกำไรก็ยังคงยืนอยู่บนความเสี่ยงเช่นกันแต่ความเสี่ยงนั้นได้ถูกจัดการให้ลดลงมาบ้างแล้วจากการวิเคราะห์ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่ละบุคคลที่นำข้อมูลต่างเข้ามาคำนวนความน่าจะเป็นซึ่งแน่นอนว่าก็ไม่สามารถจัดการความเสี่ยงให้เหลือ 0 ได้แต่ก็ถือว่าบริหารได้ดีกว่านักพนันซึ่งความเสี่ยงอาจถูกจัดให้อยู่ที่ 60/40 70/30

นักลงทุนซึ่งหากใครกำลังมองหากอิสรภาพทางการเงินแล้วละก็แนะนำอย่างยิ่งให้ศึกษาการลงทุนการลงทุนหรือนักลงทุนพูดได้ว่าเค้าเป็นนักบริหารความเสี่ยงชั้นดีเลยก็ว่าได้ แต่หากบริหารความเสี่ยงเพียงอย่างเดียวคงไม่พอที่จะเป็นนักลงทุนได้ดีหากยังขาดการบริหารเงิน Money Management ที่ดีซึ่งนักเกร็งกำไรยังขาดในส่วนนี้ซึ่งการบริหารเงินที่ดีก็ช่วยให้คุณลดความเสี่ยงได้เช่นกันซึ่งการบริการความเสี่ยงของนักลงทุนโดยขาดการบริหารเงินก็อยู่ที่ 60/40 70/30 ประมาณนี้เช่นกันแต่หากนำการบริหารเงินเข้าด้วยแล้วความเสี่ยงดังกล่าวอาจทำได้ดีถึง 80/20 เลยก็ว่าได้แต่เค้าก็ไม่ได้บริหารความเสี่ยงได้เก่งกว่าแต่เค้ารู้จักจังหวะและเวลาการลงทุนไม่ใช่มีเพียงแต่ในหุ้นเท่านั้นเพื่อนลองศึกษาดูนะครับการเปิดร้ายขายอาหารสักร้านก็เป็นการลงทุนได้หากคุณรู้จักการบริหารที่ดีการจัดการที่ดี


หลายคนถามว่าการเป็นนักลงทุนยากไหมแล้วทำอย่างไรแล้วอะไรบ้างคือการลงทุนเอาง่ายๆเลยหากพูดถึงการลงทุนแล้วมันคือการใช้ให้เงินทำงานให้คุณไม่ใช่การที่คุณทำงานเพื่อเงินมันต่างกันนะครับสำหรับสองอย่างนี้ลองมองตัวเองว่าตอนนี้คุณกำลังใช้เงินทำงานหรือคุณกำลังทำงานเพื่อมันแล้วอะไรบ้างที่เป็นการลงทุนหลายคนถาม เอาที่ใกล้ตัวเลยละกันครับเช่นการฝากเงินกับธนาคารมันคือการลงทุนอย่างหนึ่งแต่การฝากเงินกับธนาคารคุณจะได้ผลตอบแทนที่น้อยมากแต่ความเสี่ยงก็น้อยด้วยเช่นกันซึ่งหากคุณอยากได้อิสรภาพจากการลงทุนด้วยวิธีนี้ก็คงเหนือยเอาการเลยเพราะคุณต้องมีเงินหมาศาลเลยจึงจะได้ผลตอบแทนที่จะเลี้ยงคุณได้ทุนวันนี้ดอกเบี้ยสูงสุดก็ราวๆ 3.5-4% ซึ่งหากคุณมีเงินสักล้านคุณจะได้ผลตอบแทน 4หมื่นโดยประมาณซึ่งยังไม่หักภาษีอีกซึ่งหากคุณต้องการมีรายรับต่อเดือน 4หมื่นคุณก็ต้องมีเงินมากกว่านี้อีกสัก 12เท่าหรือ 15เท่าหากคิดกับภาษีด้วย เช่นใช้เงินสัก 15ล้านฝากกินดอก สัก 4% ต่อปีคุณจะได้ผลตอบแทนประมาณ 6 แสนต่อปีคิดเป็นเดือน ก็เดือนนึง 5 หมื่นนี่เป็นเพียงการยกตัวอย่างเท่านั้นเพราะหากคิดตามสภาวะตลาดจิงจะมีตัวแปลค่อนข้างมากและหากมีเงิน 15 ล้านในโลกการลงทุนยังมีอีกหลายอย่างให้คุณเลือกลงทุนมองหาผลตอบแทนดีๆได้อีกมากและหากคุณเข้าใจดีแล้วคุณอาจไม่จำเป็นต้องมีเงินถึง 15ล้านก็เป็นนักลงทุนได้ซึ่งนักลงทุนหลายคนที่ประสบความสำเร็จทำได้มากกว่า 20-30% ต่อปีนั่นหมายความว่าหากคุณให้เงินล้านเป็นลูกน้องคุณและใช้ให้มันไปทำงานให้คุณมันจะหาตังให้คุณ 2-3แสนบาทเลยก็ได้ยื่งคุณมีลูกน้องที่เป็นเงินมากเท่าไหรมันจะทำงานหนักให้คุณมากเท่านั้นส่วนตัวผมผมใช้ให้มันทำงานจากอัตราแลกเปลี่ยนให้ผม หากสนใจก็ลองคุยๆกันดูได้ครับ

คำกล่าวหนึ่งของ โรเบิร์ต คิโยซากิ ว่าบ้านไม่ใช่ทรัพย์สินแต่บ้านเป็นหนี้สิน หากคุณพังโดยขาดการวิเคราะห์คงไม่กล้าซื้อบ้านกันแล้วชีวิตนี้แล้วจริงๆแล้ว โรเบิร์ต คิโยซากิ ต้องการจะสื่อ โรเบิร์ต คิโยซากิ ไม่ใช่จะพูดถึงบ้านเพียงอย่างเดียวแต่เป็นคำเปรียบเปยซึ่งหมายถึงอะไรก็ตามหากคุณซื้อมาแล้วและไม่ได้สร้างรายได้ให้คุณแต่กลับต้องเพิ่มภาระให้กับคุณมันคือหนี้สินซึ่งหากคุณซื้อบ้านแล้วนำมาปล่อยเช่าหรือขายเพื่อทำกำไรหากแบบนี้บ้านก็ไม่ใช่หนี้สิน

ขอบคุณคำแนะนำดีๆจาก โรเบิร์ต คิโยซากิ

จงสร้างลูกน้องไว้เยอะๆเพราะมันจะไม่อู้ไม่เกเรเลยแต่มันจะทำงานให้คุณอย่างจงรักภักดีตราบที่คุณยังรู้จักใช้มัน

บทความอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยาไกลตัวจริงเหรอ

จิตวิทยาไกลตัวจริงเหรอ

หลายคนมองจิตวิทยาเป็นไกลตัวจริงหรือแล้วมันมีผลอะไรในชิวิตเราบ้าง
ทำไมคนจนถึงไม่รวยเสียทีหรือไม่ทำไมคนรวยก็รวยเอารวย เอาหลายคนบอกว่า
ก็ไม่ได้เกินมากองเงินกองทองเป็นได้เพียงลูกจ้างก็ดีถมเถแล้วไม่มีเงินลงทุนอย่างเขา
จะไปรวยได้ยังไง นั่นเพราะความคิดของคุณถูกสอนมาเสมอจากผู้ใหญ่ที่ต่างก็ปลูกฝักความคิด
การเป็นลูกจ้างให้คุณมาแต่เล็กยังไงนะเหรออย่างเช่น "ตั้งใจเรียน เรียนสูงๆนะลูก โตไปจะได้ทำงานดีๆ"
คุณเคยเจอบ้างไหมที่สอนว่าตั้งใจเรียนให้สูงๆโตมาจะได้เป็นนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือส่วนหนึ่งแล้วที่เราถูกปลูกฝังมา
และสำหรับคนรวยๆที่คุณคิดว่าเค้าโตมากับกองเงินกองทอง นั่นก็จริงแต่ก็มีคนรวยไม่น้อยที่ไม่ได้โตมาบนกองเงินกองทองบางคนเป็นเด็กกำพร้า บางคนไม่มีจะกินเรียนไม่จบ ชีวิตแร้นแค้นตกระกำลำบากแต่ก็สร้างความยิ่งใหญ่ได้ด้วยตัวเขาเองมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญเค้าไม่ยอมแพ้ชีวิตไม่ได้นั่งรอวันถูกหวยแต่เค้ามีความคิดหนึ่งที่เค้าบอกตัวเองเสมอ "กูต้องยิ่งใหญ่ กูต้องสำเร็จ"

เขาหลายนี้บอกกับตัวเองเสมอทุกวันทุกเวลาและทำตามที่ใจต้องการภายใต้จิตที่ถูกกระทำซ้ำๆจนเกิดเป็นนิสัย พฤติกรรม การกระทำที่นำไปสู่ความสำเร็จ แต่หลายคนไม่กล้าที่จะก้าวเดินเพราะกลัวความล้มเหลวแต่เขาเหล่ากล้าที่จะออกมายอมรับมัน

แล้วทำไมคนจนกลับยิ่งจนลงๆ นั่นเพราะโปรแกรมที่เค้าเคยถูกปลูกฝังมาแต่เล็กว่าเมื่อมีงานดีๆทำก็ซื้อบ้านดีๆ รถดีๆและอื่นๆซึ่งแต่ละอย่างคุณลองมองดูให้ดีว่ามันคือหนี้สินล้วนทั้งสิ้น แล้วคนรวยละเค้าทำอะไร  แน่นอนว่าเขาไม่ได้สร้างหนี้แต่เป็นการนำเงินที่หาได้ไปลงทุนต่อจนมั่นคงจึงทำการซื้อของที่ต้องการเป็นการสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเองเสียก่อนนั่นคือวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่ประสบความสำเร็จ

แล้วทำไมคนรวยจึงรวยเอารวยเอา เพราะเขารู้วิธีที่ประสบความสำเร็จแล้วยังไงละเมื่อเขาเหล่านั้นรู้วิธีที่จำทำเงินในล้านแรกได้เค้าก็รู้วิธีที่จะทำเงินในล้านที่ 2 3 4สำหรับคนที่ไม่เคยทำล้านแรกเลยจะรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่ดูยากเหลือเกินแต่คนที่เคยทำเงินล้านแล้วเค้ารู้วิธีที่จะทำมันเมื่อเค้าทำได้ภายใต้จิตใจที่คิดว่ามันยากมันก็กลับดูช่างง่ายดายหลายคนคงบอกและแอบเถียงในใจแต่ผมจะยกตัวอย่างให้ฟัง ตอนที่คุณยังเล็กตอนที่ยังไม่เคยได้จับเงิน 1 พันคุณรู้สึกยังไงกับมันรู้สึกมันช่างยิ่งใหญ่คิดฝันไปต่างๆนาๆว่าเมื่อไหรกูได้จับเงินพันกูจะทำนู่นทำหนี้แต่เมื่อคุณโตขึ้นคุณได้จับเงินพันมากขึ้นมากขึ้นความรู้มันช่างเล็กน้อยเสียจริงคุณก็มองไปถึงเงินหมื่น ความคิดเดิมก็กลับมาคุณกำลังมองกับมันด้วยความหอมหวานหน้าเอามาลิ้มลองแต่เมื่อคุณได้จับมันมันก็เหมือนเดิมเมื่อคุณได้มันมาด้วยวิธีใดก็ตามแต่สิ่งสำคัญคุณรู้แล้วว่าจะเอามาอย่างไร แต่คนส่วนใหญ่มักจะหยุดเพียงเงินหมื่นเงินแสนไม่กล้ามองเงินล้าน สิบล้าน ร้อยล้านนั่นไม่ใช่เพราะมันทำยากแต่คุณกลัวไม่กล้าที่จะคิดมากกว่า แต่คนที่ประสบความสำเร็จไม่กลัวแต่เค้ากล้าที่จะลิ้มลองมันเขาจึงไม่หยุดที่เงินแสน

แต่มีเรื่องที่แปลกกว่านั้นคือคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะหาเงินมาได้เท่าไหรไม่ว่าจะพัน หมื่น แสนแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เคยพอใช้อยู่ตลอดเวลาหลายคนบอกว่าอยากรวยแล้วคุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าเงินเท่าไหรกันที่คุณใส่ในคำจำกัดความของคำว่ารวยคุณลองมองย้อนตัวเองเมื่อตอนที่ไม่มีเงินกับเมื่อตอนที่คุณมีเงิน สิ่งที่คุณต้องการคือหามันเพิ่มเพียงอย่างเดียวนี่หละหนามนุษย์ไม่เคยรู้จักคำว่าพอ

บทความอื่นๆ

วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

Money management

ทำไม Money management ถึงสำคัญ เพราะเราต้องการที่จะทำกำไร เราต้องเรียนรู้การบริหารจัดการเงิน แต่คนส่วนมากได้มองข้ามมันไป

Trader หลายคน เทรดโดยที่ไม่มีหลักการ และดูแค่ว่าสามารถเสียได้เท่าไรในการเทรด 1 ครั้ง แล้วก็เทรดเลย อย่างนี้ค้าเรียกว่าการพนันไม่ใช่ การลงทุน

ถ้า คุณเทรดโดย ไม่ใช้ Money management นั้น มันก็เหมือนกับว่าคุณกำลังเล่นพนันอยู่ คุณไม่ได้มองการลงทุนระยะยาว คุณกำลัง รอ jackpot การบริหารเงินไม่เพียงช่วยเราป้องกันเงินทุน ยังสามารถทำมีกำไรในระยะยาวอีก แต่ถ้าคุณยังคิดว่าการเล่นแบบรอ jackpot เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เรามาดูตัวอย่างกัน

Casino หรือ เจ้ามือ คนเหล่านี้ เก่งเรื่อง สถิติ เค้ารู้ว่าระยะยาวแล้ว เจ้ามือจะเป็นคนได้เงิน ไม่ใช่นักพนัน ถึงจะมีคนถูกรางวัล Jackpot เป็นเงินก้อนโต แต่ก็จะมีนักพนันอีกมากกว่าร้อยที่ไม่ถูก Jackpot แล้วเงินเหล่านี้ ก็จะเป็นของเจ้ามือ

อันนี้เป้นตัวอย่างที่ทำให้เห็นวา สถิติ สามารถ สร้างกำไรได้เหนือกว่า การพนัน
ในทางสถิติ หรือ เจ้ามือ ในกรณีนี้รู้ว่าจะควบคุมความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น ได้อย่างไร ถ้าทำได้ คุณก็จะมีกำไร

ทีนี้คุณจะทำยังไงถึงจะเป็น นักสถิติที่ดีได้ ไม่ล้มเหลว

Money management นั้นสามารถทำกำไร ได้ในระยะยาว
ถ้า ไม่ใช้กฎของ Money management จะเกิดอะไรขึ้นเรามาดูตัวอย่าง

สม มุตรว่าคุณ มีเงินอยู่ $10000 และคุณเสียไป $5000 คุณเสียไปทั้งหมดกี่เปอร์เซนต์ คำตอบคือ 50 เปอร์เซนต์ แล้วคุณต้องทำกี่เปอร์เซนต์
เงิน $5000 ของคุณ ถึงจะกลับไปเท่าเดิมคือ $10000 คุณต้องทำถึง 100 เปอร์เซนต์ ไม่ใช่ 50 เปอร์เซนต์ เค้าเรียกว่า Drawdown จะเห็นว่ามันน่าหงุดหงิดมาก เพราะมันง่ายมากในการเสียไป แต่ได้กลับคืนมาเท่าเดิมนั้น ยากกว่า ซึ่งผู้อ่านคงไม่คิดที่จะเสีย เทรดเดียว 50 เปอร์เซนต์ ผมหวังว่าเป็นเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเทรดเสีย 3, 4 หรือ 10 เทรดติดกันล่ะ มันดูเหมือนจะเกิดได้ยากถ้าคุณคิดว่าคุณมี trade system ที่มีเปอร์เซนต์ชนะ 70 เปอร์เซนต์ ดังนั้นคุณไม่มีทางเสีย ติดต่อกันได้ถึง 10 ครั้ง ถ้าคุณคิดว่าคุณมี Trade system ที่ดี ในการเทรด Trade system ที่ทำ profitable ได้ 70 เปอร์เซนต์ ดูเหมือนเป็น system ที่ดีมาก แต่มันไม่ได้หมายความว่า ใน100 เทรดคุณจะชนะ 70เทรด
คุณจะรู้ได้อย่างไร ว่า 70 ใน 100 เทรดจะชนะ คุณไม่มีทางรู้ได้ คุณ อาจจะเสีย 30 เทรดแรก แล้วไปชนะ 70 เทรดที่เหลือ ซึงยังให้ผลที่ 70 เปอร์เซนต์ แต่คุณก็คงเสียหายหนัก

จากตัวอย่างจะทำให้รู้ว่า Money management นั้นสำคัญ ไม่ว่าคุณจะมี Trading System ดีสักเท่าไร แต่ก็ต้องมีที่คุณเสีย เหมือนผู้เล่น Poker มืออาชีพ ถึงเค้าจะเล่นเสียครั้งใหญ่ แต่สุดท้ายเค้าก็จะจบด้วยกำไร

ผู้เล่น Poker เก่งๆจะฝึกฝน Money management เพราะเค้ารุ้ว่าไม่สามารถชนะได้ทุกเกมส์ เค้าจะเล่นด้วยจำนวนเงินที่น้อย จากเงินทั้งหมดที่เค้ามี มันสามารถทำให้เค้ารอดพ้นจากการเสียครั้งใหญ่ได้ นี่คือสิ่งที่คุณต้องทำในฐานะ trader เทรดใน เปอร์เซนต์ที่น้อยจากจำนวนเงินที่มีทั้งหมด เพื่อลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น
เมื่อคุณฝึกฝน และ เคร่งครัดกับ Money management คุณ จะเปลี่ยนจากนักพนัน กลายเป็นเจ้ามือ ที่จะทำกำไรได้ระยะยาว

และจากที่ได้กล่าวมานี้ Paxforex จึงเห็นถึงความสำคัญในเรื่องของMoney management แต่การที่จะชนะตลาดให้ได้สมบูรณ์แบบคุณจะต้องมีเงินทุนที่มากพอในการเทรดแน่นอนว่าหากคุณมีเงินทุนเพียงหยิบมือคุณอาจจะเสียได้ 5-10 ครั้งก็อาจหมดตัวก่อนที่จะได้กำไร Paxforex จึงยื่นข้อเสนอที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุน

ด้วยความพิเศษของข้อเสนอที่เราหยิบยื่นให้นักลงทุนจะสามารถทำให้ประสิทธิภาพของ Money management ได้ถึงขีดสุด

บทความอื่นๆ

วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คุณเคยถามตัวเองบ้างไหม

คุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่าเข้าสู่ถนนสายนี้เพราะอะไรสำหรับมือเก่ามือเก๋าคงไม่ต้องพูดถึงเพราะคงชัดเจนในการอยู่บนถนนสายนี้แล้วแต่สำหรับมือใหม่ยังต้องมองตัวเองให้มาก สิ่งที่มือใหม่ควรระวังนั่นคือความเข้าใจในการสร้างรายได้ของถนนเส้นนี้

หลายคนเข้ามาเพราะรักในความเสี่ยง หลายคนเพราะอยากลงทุนนี่เป็นสิ่งที่มือใหม่ต้องค้นหาตัวเองให้เจอ สำหรับคนที่ชอบในความเสี่ยงแต่ไม่เข้าใจเรื่องการบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับเม่าน้อยๆที่เพิ่งจะหัดบิน การใช้ความเสี่ยงไม่เป็นนั้นไม่ต่างจากการเล่นพนันกราฟมีอยู่เพียงสองทางที่มันจะไปคือขึ้นกับลงความน่าจะหากมองในเชิงความเสี่ยงและโอกาศมันควรจะแบ่งได้เป็นโอกาศขึ้น 50% และลง 50% ซึ่งบทสรุปของนักเล่นความเสี่ยงก็ควรจะเท่าทุนในกรณีว่าเล่นขึ้น 50 ไม้และลงอีก 50 ไม้ แต่หลายคนผลรวมคือล้างพอร์ตแล้วอะไรคือตัวแปร แล้วเราจะบริหารมันอย่างไร

-ตัวแปรที่ทำให้คุณล้างพอร์ตคืออะไรนะเหรอสิ่งแรกเลยคือส่วนต่างของราคาหรือ spread หรือ bid offer นั่นหละ

-ตัวแปรต่อมาคือความแตกต่างของไม้ที่ได้กำไรและขาดทุนหลายคนเก็บสั้นๆทำกำไรออเดอร์ละ 10-20จุด จุดซึ่งหากเวลาเสียคุณสั่งตัดขาดทุนที่ 10-20 จุดหรือระยะตัดขาดทุนเท่ากับระยะกำไรนั่นหมายความว่าควรจะเท่าทุนแต่สิ่งที่ทำให้คุณขาดทุนก็ยังเป็นค่าส่วนต่าง แต่ส่วนใหญ่ยังอาการหนักกว่านั้นคือทำกำไรไม้ละ 10-20จุด แต่เวลาเสียคุณเสียไม้ละ 100จุด
ยกตัวอย่างว่าระบบที่คุณเทรด win70 loss 30 ซึงในจำนวน 10 ไม้คุณเทรดได้ 7 ไม้และเสีย 3 ไม้แต่ในจำนวน 7 ไม้ที่ได้คุณทำกำไรไม้ละ 10 จุด แต่ไม้ที่คุณเสียคุณ cut loss ไม้ละ 50จุด เท่ากับว่า คุณได้ 70จุดแต่เสีย 150จุด

หลายคนบอกว่าจะไปยากอะไรก็ตั้ง cut loss ให้ต่ำกว่าระทำกำไรใช่ครับพูดถูกต้องเลย แต่คุณลองดูในความเป็นจิงที่คุณเทรดคุณเคย cut loss ตามระบบไหมคุณเคยทำตามระบบหรืออยู่ในวินัยไหมโดยเฉพาะมือใหม่เวลากำไรเพียงเล็กน้อยคุณก็รีบปิดทำกำไรเพียง 3-4 จุดแต่เวลาผิดทางคุณกลับรับการผิดทางได้เป็นสิบเป็นร้อยจุด

หลายคนมองว่าการเทรดหุ้นดูแล้วไม่น่าจะยากอะไรมีแค่ขึ้นกับลงแต่สิ่งสำคัญที่นักเทรดไม่เข้าใจคือเรื่องอารมณ์ความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในตัวคุณนี่หละคือสิ่งที่ยากที่จะควบคุณและหลายคนไม่เคยควบคุมมันและฝึกใช้มัน

วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ผู้หยั่งรู้

ผู้หยั่งรู้


มีคำถามที่ผมโดนถามเสมอว่าจะขึ้นต่อไหมหรือไม่ก็จะลงต่อไหม และผมก็มักจะตอบเดิมว่าไม่รู้ ฟังดูเหมือนผมกวน... แต่ผมก็อยากจะบอกว่าก็ผมไม่รู้จิงๆ แบบนี้ผมก็เทรดมั่วนะซิไม่หรอกครับผมไม่ได้เทรดมั่ว แต่ไม่มีใครจะรู้อนาคตได้หรอกครับแต่มันอยู่ที่ว่าคุณจะรับมือกับมันอย่างไรต่างหากผมไม่ใช่หมอดูที่จำทำนายอนาคตได้แต่ผมรู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับเหตุการณ์ต่างๆที่กำลังเกิดขึ้นนี่ซิจึงจะตอบได้ดีกว่า

แต่หลายคนก็สวนกลับมาหาผมว่ามีซิคนที่บอกได้ว่ามันจะขึ้นหรือจะลงผมจึงถามกลับไปว่าในเมื่อรู้จิงทำไมมันทุ่มเงินทั้งหมดในการซื้อแต่ละครั้งและไม่มีใครทุ่มเงินทั้งหมดในการซื้อขายแต่ละนั่นก็เพราะคนที่คุณกำลังบอกผมก็ไม่ได้รู้ว่ามันจะขึ้นหรือลงยังไงละ แล้วทำไมมีหลายคนมาซิกแล้วก็เป็นไปตามนั้นนั่นเพราะกราฟมันมีแค่ขึ้นกับลงเท่ากับสิ่งที่เค้าซิกมามันก็มีโอกาศถูกได้ 50% เลยนะครับอย่าลืมว่ากราฟมันมีแค่ขึ้นกับลงมันก็ไม่แปลกที่จะเหนว่ามีคนซิกถูกทาง

เป็นเพียงหลักคิดง่ายๆโง่ๆว่าหากมีใครที่รู้อนาคตจิงเค้าคงเป็นคนที่รวยที่สุดในโลกไปแล้วและหากเจอเค้าคนนั้นช่วยบอกผมด้วยผมจะฝากเท่าเป็นศิษเท่าไหรก็ว่ามาได้เลยแต่มีข้อแม้ว่าเค้าคนนั้นจะต้องเป็นผู้หยั่งรู้

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยาการลงทุน

จิตวิทยาการลงทุน The Psychology of Investing 

ผมไปสัมมนาเรื่องจิตวิทยาการลงทุนมา ก็ขอสรุปเอาไว้เลยล่ะกัน

1. Disposition Effect
- ผู้คนจะหลีกเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียใจ และหาการกระทำที่ทำให้เกิดความภูมิใจ (Regret and Pride)
เมื่อคุณมีหุ้น 2 ตัว ตัวหนึ่งขาดทุนอยู่ และอีกตัวกำไรอยู่ คุณจะขายตัวไหนและถือตัวไหนต่อไป
คำตอบ นักลงทุนส่วนใหญ่จะขายตัวที่ได้กำไรทิ้งเพื่อความภูมิใจ และ ถือตัวขาดทุนไว้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียใจ

note: ความผิดพลาดของผมคือ จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดโดยการไม่ Stop loss เพราะหวังว่าสถานการณ์ในอนาคตจะดีขึ้น แต่มันกลับแย่ลงเกือบทุกครั้ง ดังนั้นเราควรมีแนวคิดและ ฝึกการ stoploss ยังไง ประมาณเราจะเจ็บจิ๊ดๆ ไม่ปล่อยให้เนื้อร้ายมันงอกเงยยังไง แล้วผมจะเอาบทความเกี่ยวกับ stoploss มาลงอีกที

2. Overconfidence
- ความมั่นใจเกินไป ทำให้นักลงทุน Trade เกินขนาดของ port และประเมินความเสี่ยงที่ต่ำเกินไป ทำให้มองข้ามว่าเราเองไม่ได้เป็นคนกำหนดทิศทางตลาด

note: สิ่งที่ผมเคยเป็นคือเมื่อ Trade ได้ติดต่อกันพักใหญ่ๆแล้ว จะมีความมั่นใจมากและระมัดระวังน้อยลง + กับเงินกำไร(จากเจ้า จิตวิยาในข้อต่อไป)ที่ได้มาทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควรจะเป็น

3. House - Money Effect
- เงินของเจ้ามือ นักลงทุนจะเล่นหุ้นเสี่ยงมากขึ้นหลังจากได้กำไรมาก่อนหน้านี้ เพราะเหมือนกับเอาเงินของคนอื่นมาเล่น จิตวิทยาข้อนี้ คนเอาเงินเจ้ามือมาต่อยอดเรื่อยๆ และเล่นด้วยความเสี่ยงสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดภาวะฟองสบู่แตกได้ในที่สุด

4. Snake - Bite Effect
- โดนงูกัด เมื่อนักลงทุนขายขาดทุน ส่วนนึงจะเข็ดขยาดและเลิกเล่น และอีกส่วนนึงจะต้องเอาการเอาคืนจนทำให้เกิดจิตวิทยาข้อต่อไป

5. Trying to break Even Effect
- การจะเอาคืน หลังจากนักลงทุนขาดทุนมาก จะต้องการเอาคืนโดยลงหุ้นที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น เพื่อผลตอบแทนที่มากขึ้น แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม

6. endowment effect
- การตั้งราคาที่คิดว่าจะขายสูงกว่าราคาตลาด ในขณะที่คุณเป็นเจ้าของอยู่ ประมาณว่าคุณจะประเมินทรัพย์สินที่คุณมีสูงกว่าราคาตลาด นี้ก็เป็นอีกข้อที่คนจะตั้งราคาสูงขึ้นเรื่อยจนเกิดภาวะฟองสบู่

ตัวอย่าง คุณมีบ้านอยู่ 1 หลัง คุณต้องการขายให้ได้มากกว่าราคาตลาด 12 % และเมื่อราคาบ้านลดลงไปเรื่อยๆ คุณก็ยังคิดจะขายบ้านที่ราคาเดิม แต่ตอนนี้ราคาที่คุณจะขายบ้านมากกว่าราคาตลาดถึง 30 %

7. Status quo bias
คำจำกัดความสั้นๆคือ avoiding action and avoiding change
- เมื่อนักลงทุนถือหุ้นกลุ่มใดไว้ จะไม่ต้องการขายหุ้นทิ้ง ไปซื้อกลุ่มอื่น

ตรงกับบทความที่ผมเคยสรุปไปแล้ว เรื่อง เล็งให้แม่นเก็งให้รวย The Zurich Axioms by Max Gunther ข้อ6
"สรุป หลักการนี้สอนให้คุณมีความคล่องตัวในการโยกย้ายสถานะและอย่าให้มีรากงอก ซึ่งจะเป็นตัวบ่อนทำลายการเก็งกำไรของคุณ อย่างเช่น ความจงรักภักดี หรือการรอคอยเพื่อให้ได้ผลตามเป้าหมาย หลักการข้อนี้สอนให้คุณพร้อมที่จะกระโดดจากหลักทรัพย์ที่อยู่กับที่ หรือคว้าโอกาสดีไว้โดยเร็ว แต่มิได้หมายความว่าให้คุณกระโดดไปมาจากหลักทรัพย์นึง ไปอีกหลักทรัพย์นึง ก่อนการกระโดดคุณควรจะชั่งใจให้ดีรอบคอบก่อน และถ้ามีเหตุผลที่ไม่สำคัญก็ไม่ควรเปลี่ยนมือ แต่ถ้าสถานะการลงทุนเดิมไม่ดี คุณก็ควรจะขจัดรากทั้งหมดทิ้งไป และกระโดดหนีโดยเร็ว จงอย่าให้มีรากงอกเกินไป"

8. Cognitive Dissonance
- นักลงทุนเผชิญ ความคิดที่เป็นบวกและลบในเวลาเดียวกัน นักลงทุนจะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด และเลือกที่จะพิจารณาข้อมูลที่เป็นบวก และละเลยข้อมูลที่เป็นลบ ความเชื่อของตนเองจะถูกปรับให้สอดคล้องกับสิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปแล้ว

เมื่อนักลงทุนตัดสินใจซื้อหุ้นแล้ว ความมั่นใจว่าหุ้นจะขึ้นจะมากขึ้นทันที เหมือนกับเมื่อเราซื้อหวย ก่อนซื้อเราคงไม่คิดว่ามันจะถูกมาก จนเมื่อเราซื้อเลขไปแล้วสักเลข ความมั่นใจว่าหวยจะออกตัวที่เราซื้อจะมีมากขึ้นในทันที :)

note: เรื่องของการรับข้อมูลเชิงบวก และลบ ผมได้เผชิญมาแล้วเมื่อผมตัดสินใจเปิด position แล้วผมจะรับข้อมูล + ที่สนับสนุนให้ผมได้กำไรในอนาคต และลดความเชื่อข้อมูลเชิงลบ - มันทำให้ผมเกิดอติเชิงจิตวิทยาครอบงำ ทำให้ผมไม่สามารถ stoploss ได้ทันท่วงที เพราะกลัวว่าข้อมูลเชิงบวกที่ผมรับมาจะเป็นความจริง

9. Sunk cost Effect
ต้นทุนจม เมื่อนักลงทุนมีพอร์ตที่ขาดทุนมากๆ จะไม่ยอมขาย จะตรงกับจิตวิทยาเรื่องการหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในเรื่องของการขายขาดทุน คือ ถ้านักลงทุนเริ่มขาดทุนความเจ็บปวดจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อขาดทุนมากขึ้น และนานขึ้นความเจ็บปวดจะลดลง เปรียบกับกราฟพาราโบล่า ความชันของความเจ็บปวดจะเป็นอัตราเร่งเพิ่มขึ้นในช่วงแรก และลดลงในเวลาต่อมา นั่นเป็นสาเหตุให้ นักลงทุนจะถือส่วนที่ขาดทุนไปอย่างยาวนาน

10. Representativeness and familiarity
- ความเป็นตัวแทนและความคุ้นเคย นักลงทุนจะคิดว่าผลการดำเนินการ และผลตอบแทนที่ผ่านมาในอดีต จะต่อเนื่องไปในอนาคต

Note: บริษัทที่ทำกำไรต่อเนื่อง ไม่ได้มีความหมายว่าจะทำให้หุ้นขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทที่มีอัตราการทำกำไรที่มากขึ้น จะทำให้คนคาดหวังมากขึ้น และหุ้นจะขึ้นมากกว่า ดังนั้นไม่แปลกเลยที่เมื่อผ่านไปนานเมื่อบริษัททำกำไรได้คงที่ในเวลาต่อมา หุ้นก็ลงในเวลาต่อมาเช่นกัน

11. Social interaction
- การรับรู้ข้อมูลจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา เมื่อคนที่อยู่รอบกายเรามีความคิดที่แตกต่างกัน และในปัจจุบันยิ่งมี internet ทำให้การบริโภคข้อมูลเป็นไปได้ง่ายขึ้น ทำให้เราได้รับข้อมูลที่เป็น + และ - และง่ายมากที่ทำให้เราได้รับอคติเชิงจิตวิทยาในต่างๆรูปแบบ ทั้งในเรื่องของความกลัวหมู่ กลัวขาดทุน panic sell กลัวไม่ได้กำไร panic buy หรือ การรับข้อมูล ข่าวสารทั้งจริงและเท็จโดยไม่รู้ที่มา

หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆบ้าง ผิดถูกก็อภัยด้วยล่ะกันเน้อ

ที่มา : Posted by Tavatchi (boyles)

บทความอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

จิตวิทยา

จิตวิทยาการลงทุน

อคติ (Bias)
• ทำไมคนเราเกิดอคติ ? เพราะใช้อารมณ์ รัก เกลียด กลัว
• บางครั้งอคติ เพราะไม่รู้ ไม่ขวนขวาย
อคติเมื่อซื้อหุ้น
• ซื้อหุ้นเพราะผู้บริหารหน้าตาดี
• มีนักวิจัยบอกว่าครึ่งหนึ่งแรงขับดันของมนุษย์คือแรงขับดันทางเพศ เราอยากได้การยอมรับจากเพศตรงกันข้ามก็เป็นไปได้
• ซื้อหุ้นเพราะผู้บริหารปฏิบัติดี ไปประชุม เลี้ยงโต๊ะจีน คุยกับเราดี
• อย่าหลงประเด็น ผู้บริหารดี กับ บริษัทดี ต้องดูด้วยว่าผู้บริหารทำได้ตามที่พูดหรือเปล่า เช่น คุณ ส. ไอหลิ่ง ฟังพูดเคลิ้มเลย แต่ออกมาคนละเรื่อง
• คิดว่าคนส่วนใหญ่ใช้ผลิตภัณฑ์ ใช้ชีวิตเหมือนเรา
• เราเล่นหุ้น ไม่ได้เล่นการเมือง เสื้อแดง เสื้อเหลือง ธุรกิจก็คือธุรกิจ
• ชาตินิยม เช่น จะซื้อหุ้นของคนไทย ไปซื้อกิจการต่างประเทศ อย่าง ยูนิคอด จีเอฟ เป็นไฟแนนซ์บริษัทเดียวที่ไม่มีใครหนุนหลัง อัลฟ่าเทค เป็นเทคโนโลยีขั้นสูง ปรากฏว่าทั้ง 3 บริษัทนี้เจ๊งหมดเลย นี่คือใช้เหตุผลผิดในการซื้อหุ้น
• ซื้อเพราะอยากติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ ถ้าไม่ได้เป็นบริษัทที่ดี อะไร
• ซื้อเพราะกลัวตกรถ หุ้นเสี่ย จ. อยากลองบ้าง เป็นเหตุผลผิดๆ
• ซื้อเพราะเป็นธุรกิจบุญ/บาป มันขึ้นตามกำไร ไม่ได้ขึ้นกับธุรกิจทำให้สังคมเสียประโยชน์ อย่างหุ้น ฟิลิปมอร์ริส ผลิตบุหรี่ มีคดีความเยอะแยะ กองทุนก็ไม่กล้าซื้อ ปรากฏว่าตัวนี้เป็นหุ้นหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในตลาดอเมริกา
• บางครั้งคนเราก็ต้องมีอคติเพื่อความภาคภูมิใจของตัวเอง ขึ้นอยู่กับดีกรีของแต่ละคน เช่น อาบอบนวดเข้าตลาด ผมก็ไม่ซื้อเหมือนกัน เป็นความเชื่อของแต่ละคน
อคติเมื่อถือหุ้น
• ซื้อหุ้นเหมือนเราแต่งงาน มองเห็นแต่ด้านดี มองข้ามข้อเสียไป
• เมื่อไรที่เราขายหุ้นไป ตาสว่างเห็นข้อเสียเพียบเลย
อคติเมื่อขายหุ้น
• หุ้นขึ้นมาเท่าตัวขายไปครึ่งหนึ่งเอาทุนคืน เท่ากับที่เหลือไม่มีต้นทุน ไม่มีกฏข้อไหน ที่ผมอ่านหนังสือเจอมา เป็นการตั้งตัวเลขเอง บางตัว upside 300-400% ก็มี
• ขายเพราะขึ้นมาเยอะ เจอบ่อย mos ลดลงก็จริง แต่ถ้ามันสูงอยู่ก็ไม่ต้องขาย
• ไม่ขายเพราะอยากเห็นพอร์ตเขียว
• ไม่ขายเพราะผูกพัน เช่น ผมมีหุ้นตีแตกที่ทำให้ผมมีเชื่อเสียงระบือ ได้ผลตอบแทนเยอะจะเกิดความผูกพัน แม้ upside จะไม่มีแล้ว นั่น คือเราโดนอคติเล่นงาน
• ไม่ขายเพราะมีต้นทุนต่ำ เช่น ถือหุ้น ptl, sta ซื้อตอน sub-prime ต้นทุนต่ำมาก ปรากฏถือ 2-3 ปี วัฏจักรมันบูมมาก ปรากฏว่าน้องคนนี้รวยเละ เจอครั้งล่าสุดขายไปหรือยัง เค้ายังไม่ขายซักหุ้น เพราะมีต้นทุนต่ำ
การแสวงหาความภาคภูมิใจ หลีกเลี่ยงความเสียใจ
• นักเล่นหุ้นทั่วไป เขียว 2-3% เป็นขาย แต่ตัวขาดทุนเมื่อไร ไม่ยอมขาย แพ้ไม่ได้ ดังนั้นพอร์ตคนคิดแบบนี้จะมีแต่ติดดอย เด็ดดอกไม้ รดน้ำวัชพืช
• ไม่ขายไม่ขาดทุน หลอกแม้กระทั่งตัวเอง
• VI ทมิฬ คืออะไร ลอกหุ้นตามเซียน ไปซื้อหุ้นตอนราคาสูงๆ แล้วขาดทุน ก็ไปโทษคนอื่น คนที่คอยแต่จะโทษคนอื่นตลอดเวลา ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด เป็นคนที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ในการลงทุนคนที่ไม่เคยเรียนรู้ข้อผิดพลาดของตัวเอง ไม่มีทางเจริญ
• Sunk cost มีน้องโพสต์ในร้อยคนร้อยหุ้นถือ เอ็มลิ๊งมา 5 ปี จะถึงจุดสิ้นสุดแล้วล่ะ ผมจะรอดูจนถึงวันสุดท้ายที่มันจบ น้องคนนี้เสียเวลามา 5 ปี ถ้าคุณถือหุ้น 10 ปี ได้ผลตอบแทนเท่าตัว ผมคิดว่าน้อยมาก ถ้าหุ้นบางตัวกำไร 5% ใน 3-4 วัน คิดเป็นต่อปีเสียหายมหาศาล
การคำนึงถึงอดีต
• เงินของเจ้ามือ (House – money effect) เมื่อได้กำไรมา เราคิดว่าเป็นลาภลอย ไม่ใช่เงินเรา แต่ที่จริงกำไรตรงนี้คือเงินเรา เงินมีค่าเสมอ เราไปแยกว่าเป็นเงินต้นทุน กับ กำไร ที่จริงมันก็คือเงินเราเหมือนกันหมด พอเอาเงินจากกำไรมากๆ ไปซื้อหุ้น สุดท้ายของแพงๆเราก็จะซื้อ เป็นจุดเริ่มต้นฟองสบู่
• ตอนวิกฤติ pe 2,3 หรือ 1.5 ยังมีเลยครับ ทำไมไม่มีคนซื้อ? มันเกิดเรื่องความกลัวความเสี่ยง ไม่มีใครอยากขาดทุนอีก ถูกยังไงก็ไม่กล้าซื้อ
• มีบางคนเสียไปแล้ว แทนที่จะเข็ด กลับพยายามทำอีกแบบคือเอาทุนคืน พอเราแพ้มากๆ จนไม่รู้จะเอาเงินคืนอย่างไร จะ double ไปจนพนันหมดหน้าตักเพื่อเอาทุนคืนแล้วเลิก
• การคำนึงถึงอดีต ยึดราคาสูงสุด/ต่ำสุด anchoring bias เป็น technical ใช้การฟอร์มตัวราคาอดีตคาดการณ์อนาคต สมมติฐานนี้สมเหตุสมผลหรือไม่ เหตุการณ์มันเป็นอิสระต่อกัน
• เช่น บ้านปู เคยไปถึง 800 ถ้าถือยาวไม่มีวันขาดทุนหรอก อาจจะจริงครับ แต่เกิดต้นทุนเสียโอกาส อีกอย่างวันนี้มี shale gas นะ หรือ ทีทีเอ เคยไปถึง 70 กว่าบาท ตอน BDI สูงๆ ต้องดูว่าพื้นฐานเปลี่ยนไปหรือเปล่า
ความมั่นใจเกินไป
• ถือหุ้นตัวเดียว ใช้ margin เค้าคิดว่าจะหนีทันนะ แต่วันหนึ่งจะเกิด black swarm
• แม้แต่นักเศรษฐศาสตร์ nobel prize จัดตั้งกองทุนที่มี Model ไม่มีข้อผิดพลาดเลย ใช้ leverage สูง arbitrage แต่ตอนที่เค้าขาดทุน เพราะเกิดเหตุการณ์ไม่อยู่ใน model ภายใน 1 เดือน กองทุนนี้เจ๊ง ชื่อเสียงที่สั่งสมมาจบทันที
พฤติกรรมแบบฝูง
• คนที่อยู่ในก๊วนจะมีความคิดคล้ายๆ กัน แตกต่างจะโดนเฉดหัวออก
• สมมติมีพวกเราคนหนึ่งโนเนม ไปโพสต์ในร้อยคนร้อยหุ้น คนที่เข้าไปอ่านดูเหตุผลก็ดี นะ แต่เค้าเป็นใครไม่รู้ แต่พอมีคนเข้ามาให้ความเห็นสนับสนุน จะเริ่มลังเล จะเชื่อแล้ว ต่อไปถ้ามีคนบิ๊กเนมหน่อยมาโพสต์อีก คนอ่านหลังๆจะเชื่อแล้ว
• เรื่องในสังคม… ดอกทิวลิป จตุคามรามเทพ หลินปิง เสื้อเหลือง เสื้อแดง น้ำหมักป้าเช็ง
• ในสังคมหุ้น… หุ้นดอทคอม(ต่างประเทศ) หุ้นไฟแนนซ์(สมัยก่อน) หุ้นค้าปลีก(อาจจะสมัยนี้)
• เรื่องจิตใจ เอาชนะด้วยเหตุและผล ด้วยตัวเลข
• คนที่ไม่โอนอ่อนไปกับความเห็นคนอื่น จะโดนเยาะเย้ย จำได้ตอนหุ้นตกๆ มีคนเยาะเย้ย vi ตายหมดแล้ว กอดหุ้นจนตาย
• เราถูกเพราะเหตุผลเราถูก ไม่ใช่ถูกเพราะคนส่วนใหญ่ทำกัน

บทความอื่นๆ

วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2556

วลีแห่งเศรษฐี

วลีแห่งเศรษฐี



จงรักษาเงินต้นไว้ให้ได้เสมอ

ความเสี่ยงเกิดจากความไม่รู้
เป็นวิศวะไปผ่าตัดคนไข้มันก็เสี่ยง

คนมักจะขายหุ้นเมื่อมีคนกลัวมากๆและจะซื้อเมื่อมีคนกล้ามากๆ

สร้างจังหวะการซื้อขายของตัวคนเรานิสัยต่างกันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะทำอะไรเหมือนคนอื่น

อย่าหาเหตุผลเพื่อปิดบังความผิดพลาดของตัวเอง

วิเคราะห์ข้อผิดของตัวเองและนำมาปรับปรุงแก้ไข

เสาะหาแนวทางการลงทุนเพื่อต่อยอดผลกำไร

บทความอื่นๆ

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

HH&LH VS HL&LL

เพื่อนๆหลายคนถามผมเข้ามาว่าผมเทรดสั้นหรือเทรดยาว


ผมคงหาคำตอบที่พอใจสำหรับคุณคนไม่ได้หรอกครับว่าผมเทรดในระยะไหนเพราะผมเองก็ก็ไม่ทราบว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดในช่วงเวลาต่อๆไปและระยะความสั้นยาวของแต่ละคนก็ต่างกันบางคนบอกว่าถือข้ามวันก็บอกว่ายาวแล้วแต่หรับผมเองมันสั้นมากเลยครับเพราะฉะนั้นเราคงมากะเกณฑ์ระยะการเทรดของแต่ละคนไม่ได้หรอกครับแต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อหากจะประสบความสำเร็จอะไรก็ตามจงทำที่ตัวเองถนันเถอะครับไม่ว่าระยะไหนคุณจะสำเร็จแน่

แล้วอะไรที่ทำให้ผมต้องตัดสินใจเปิดออเอร์หรือปิดออเดอร์

หลักๆในการเทรดของผมคือ
  • แนวโน้มของราคาในช่วงเวลานั้นๆ
  • สัญญาณแท่งเทียน
  • เส้นแนวรับแนวต้าน
  • ความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลา  (Domino Effectที่เคยโพสไป)
การหาแนวโน้มของราคาที่จะเป็นไปของแต่ละคนนั้นต่างกันออกไปบางคนให้เส้นค่าเฉลี่ยบางคนให้ SAR บางคนอีเลตเวฟ หลายคนพยายามมองหาเครื่องมือต่างๆมากมายมาใช้ แต่คุณกำลังลิมเรื่องพื้นฐานสำคัญไปอย่างหนึ่งที่ทรงประสิทธิภาพและใช้งานได้ดีคือคลื่นของมันไงละครับจากรูป 1.1 คุณจะเห็นได้ว่าในรอบขาขึ้นนั้นราคามันจะ HHและLH สูงขึ้นมาเรื่องๆ แต่ในรอบขาลงก็กลับกันคือราคาจะทำ HLและ LL ต่ำลงมาเรื่องหลายคนคงกำลังเอาไปทำทดลองกับกราฟจิงกันอยู่ใช่ไหมหยุดก่อนครับขอแนะนำว่าใช้กับกราฟ 4H และ 1D ขึ้นไปเท่านั้นนะครับแต่ใน 4H ก็ยังมีสัญญาณหลอกมาเห็นอยู่บ้างนะครับ ยังไงก็ตามหากจะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมีการฝึกฝนมาระดับหนึ่งไม่ว่าจะระบบใดก็ตามหากขาดการฝึกก็เหมือน
"มีดทื่อๆนี่เอง"