Infinite Growth FX

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

 มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ 
(QE : Quantitative Easing)

นับตั้งแต่ที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Fed) ได้ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ มาตรการ QE (Quantitative Easing) ครั้งแรกเมื่อปลายปี 2551 ถึง มีนาคม 2553 และได้ประกาศใช้ QE II ในเดือน พฤศจิกายน 2553 ถึง มิถุนายน 2554 จนในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากการแถลงการณ์ของ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่กล่าวถึงตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ลดลงนั้น อาจไม่ยั่งยืน เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่แข็งแรง
       
       ดังนั้น Fed ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่ต่ำต่อไป และจะมีนโยบายช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ได้ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะมีการใช้มาตรการ QE รอบใหม่ หรือ QE III ออกมาแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด ในที่นี้จึงขอเล่าถึงมาตรการ QE ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ นำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ทราบว่ามีวิธีการอย่างไร และได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร
       
       มาตรการ QE นั้น เป็นมาตรการทางการเงินที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเวลาปกติ (Unconventional Monetary Policy) กล่าวคือ เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจะใช้นโยบายทางการเงินต่าง ๆ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการทางการเงินที่ถูกใช้มากที่สุดคือคือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่ต่ำ เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจให้อยู่ในระดับที่ต่ำลง
       
       แต่สำหรับวิกฤตการทางการเงินของสหรัฐฯนั้น แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก นั่นคือระดับ 0 - 0.25% แล้วก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ดังนั้น Fed จึงต้องหันมาใช้มาตรากรที่เป็น Unconventional Monetary Policy ควบคู่ไปกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากคาดว่าจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือภาคการเงินได้อย่างรวดเร็ว และเป็นการเข้าไปช่วยเหลือในตลาดที่ปัญหาโดยตรง
       
       โดยมาตรการQE เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภาคเอกชน นอกจากนั้นยังใช้เพื่อลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) ให้อยู่ในระดับต่ำลงมา โดยที่ธนาคารกลางจะเข้าไปซื้อตราสารหนี้ทั้งของภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดการลดต้นทุนในการกู้ยืมของภาคธุรกิจลง ซึ่งเป็นการช่วยให้การผลิต และการจ้างงานสามารถดำเนินต่อไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ก็ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆด้วยเช่นกัน อาทิ เกิดแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากมีการอัดฉีดปริมาณเงินเข้าสู่ระบบ และยังส่งผลกระทบต่อค่าเงินที่อ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน
       
       สำหรับผลกระทบของมาตรการ QE ต่อประเทศไทยนั้น การที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (U.S Treasury) ปรับตัวลดลง ได้ส่งผลให้มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทย ทั้งในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ดังนั้นนักลงทุนต่างประเทศจึงได้กำไรทั้งจากอัตราผลตอบแทน และอัตราแลกเปลี่ยนไปพร้อมๆกัน ซึ่งการที่เงินทุนไหลเข้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยอย่างเดียว แต่เป็นการไหลเข้าภูมิภาค รวมไปถึง Emerging Country ด้วย ก็จะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าไปในทิศทางเดียวกัน
       
       แม้ว่านโยบาย QE จะมีประโยชน์ในการช่วยฟื้นเศรษฐกิจของสหรัฐได้มาก แต่ก็สร้างความเสี่ยงทั้งในด้านเงินเฟ้อ ความเสี่ยงด้านการลงทุน ตลอดจนสร้างความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ให้กับประเทศสหรัฐเอง และประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งในอนาคต FED จะเลือกใช้มาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ หรือไม่นั้น ยังคงประเด็นที่นักลงทุนต้องให้ความสนใจและติดตามกันต่อไป

ภาวะเงินเฟ้อคืออะไร?
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่าเงินเฟ้อ อาจจะสงสัยว่าเงินเฟ้อคืออะไร แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ คำว่าภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันเคยอยู่ที่ 14 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 140 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 28 บาทต่อลิตร หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 140 บาท เราจะเติมน้ำมันได้เพียง 5 ลิตร ไม่ใช่ 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 280 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง


 ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร






เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation
(1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 35 บาท เป็น 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย



(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

เงินเฟ้อวัดอย่างไร?
อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยวัดโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ประกาศอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยวิธีวัดอัตราเงินเฟ้อทำได้โดยการวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาของสินค้าและบริการกลุ่มหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งระดับราคาของสินค้าและบริการ ใช้ชื่อว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI) ตัวอย่างการคำนวณอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งคือเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เพื่อที่จะบอกว่าราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปแพงขึ้นหรือถูกลงเมื่อเปรียบเทียบกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ที่ประกาศโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า อยู่ที่ 114.5 ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ปี 2549 อยู่ที่ 111.9


ดังนั้น
อัตราเงินเฟ้อของเดือนกุมภาพันธ์ 2550       frac{{(114.5 - 111.9)}}{{111.9}} times 100 = 2.3%    
ซึ่งอันนี้จะมีความหมายว่า ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน 2.3% หรือหากเรามีเงินจำนวนเท่าเดิมกับปีที่แล้ว ค่าของเงินที่เราถืออยู่จะด้อยค่าไป 2.3% ซึ่งทำให้ซื้อของได้น้อยลง 


 
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
 โดยปกติแล้ว หากเงินเฟ้อสูงขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ (ปกติตามหลักวิชาการคือเงินเฟ้อที่สูงไม่เกิน 5% จะเรียกเงินเฟ้ออย่างอ่อน (Mild inflation)) จะเป็นสิ่งที่ดีที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี ไม่มีผลเสียต่อเศรษฐกิจ แต่หากเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ และสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะคาดเดาได้ว่าเงินเฟ้อจะเป็นเท่าไร (Hyper inflation) จะมีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถวางแผนการผลิตและลงทุนได้ เพราะไม่รู้ว่าวัตถุดิบที่จะซื้อเข้ามาราคาจะเป็นเท่าไร จะตั้งราคาสินค้าเท่าไร เพื่อให้ยังมีกำไร ขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคเองก็ไม่แน่ใจว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีกหรือไม่ เงินจำนวนเท่าเดิมที่มีอยู่ในกระเป๋าก็ด้อยค่าลงไป เพราะข้าวของแพงขึ้น ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจก็ขายของได้น้อยลง ซึ่งที่สุดแล้วจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงได้
 โดยสรุปคือ ภาวะเงินเฟ้อใช้เพื่อวัดค่าครองชีพของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปสูงขึ้นต่อเนื่อง หากสูงขึ้นแล้วปรับลดลง จะไม่นับว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ จะไม่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ แต่หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงๆ จะทำให้ค่าของเงินที่เรามีอยู่ด้อยค่าลงไป ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจไม่สามารถผลิตหรือลงทุนได้เพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องราคาอยู่สูง ซึ่งจะมีผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจในที่สุด

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'มนสิช จันทนปุ่ม' 'เทรดเดอร์' ผู้เอาชนะตลาดด้วยระบบ

เปิดมุมมองการลงทุนโดยใช้ระบบเทรด'มนสิช จันทนปุ่ม' นักเก็งกำไรสไตล์ Trend Following ผู้ละทิ้งอีโก้ อารมณ์ พิชิตกำไรในตลาดหุ้น


"มด" มนสิช จันทนปุ่ม เซียนหุ้นหนุ่มมีความเชื่อว่าศาสตร์ของการเก็งกำไรอยู่บนพื้นฐานของ "เหตุและผล" กราฟไม่ได้หลอก และเจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้ คำถามสำคัญของนักเก็งกำไร ก็คือ เราจะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร..?
มนสิชเป็นอดีตนักเรียนวิชาดนตรี ผู้หลงใหลการลงทุนโดยการใช้ระบบเทรดทางสถิติ (System Trader) เขารวบรวมแนวความรู้การใช้เครื่องมือทางเทคนิคไว้ในเว็บไซต์ "แมงเม่าคลับดอทคอม" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek นัดพูดคุยกับเขาเรื่อง "เทคนิคการเทรดขั้นสูง"แต่อธิบายให้เข้าใจง่ายในแบบนักดนตรี
“ส่วนตัวผมลงทุนโดยใช้ระบบเทรดเพื่อตัดอารมณ์ความรู้สึก และใช้เทคนิคคัลแนว Trend Following” เซียนหุ้นหนุ่มเปิดประเด็น..สมัยเด็กๆ เขาก็เริ่มสนใจการลงทุนแล้ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มเล่นหุ้นทันที แต่สนใจทางด้านดนตรีด้วยจึงไปศึกษาต่อทางด้านดุริยางคศิลป์ มนสิชก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากรวยง่ายๆ แต่พอลงสนามจริงๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
เขากล่าวว่า ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ใช้เงินไม่เยอะขายของได้เงินมา "ไม่ถึงแสนบาท" ก็นำมาลงทุนแต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนวิธีคิด ค่อนข้างจะต่อต้านด้วย ในเมื่อหาผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เล่นแล้วก็ไม่ได้เรื่องลุ่มๆดอนๆ ลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีถึงจะเริ่มได้กำไรสม่ำเสมอ
เจ้าตัวบอกว่าไม่จริงเสมอไป คนเล่นดนตรีจะไม่ชอบตัวเลข นักดนตรีหลายคนก็สามารถคิดเลขได้ดี และมีบทวิจัยยืนยันด้วยว่าการเล่นดนตรีกับการคำนวนสามารถไปด้วยกันได้ หัวสมองก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์และความมีเหตุมีผล ถือเป็นการสร้างสมองสองด้านให้สมดุล
มนสิช บอกว่า ช่วงแรกที่ลงทุนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนของผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่อมาก็เริ่มศึกษาการลงทุนโดยใช้เทคนิคและพบว่าแนวทางนี้ "มันใช่" แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังถึงเริ่มจะเข้าใจว่าผิดที่ “แก่น” (หลักคิด) ของมันเลย สมัยก่อนพยายามที่จะพยากรณ์อนาคต นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูกราฟวันละ 7-8 ชั่วโมง พยายามหาคำตอบแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหาคำตอบได้ว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำทั้งหมด และไม่มีระบบไหนที่ดีที่สุด
“ช่วงแรกมีความเข้าใจว่าถ้าเราเทรดพลาดแปลว่าเราทำอะไรผิดสักอย่าง เราเลยยิ่งค้นหาไปเรื่อยๆว่าต้องใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบไหนถึงจะถูก คำตอบที่แท้จริงคือเทคนิคมันบอกเพียงแค่ "ความน่าจะเป็น" ไม่ถูก 100% ความน่าจะเป็นของการใช้เทคนิคมันถูกทดสอบจากากรเทรดมาแล้วเป็นพันครั้ง แล้วกำหนดเป็นสูตรออกมาแต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าการเทรดของเราครั้งไหนจะถูก"
เทรดด้วย 'โปรแกรมสถิติ' ยึดระบบ ละทิ้งอีโก้
หลังจากมนสิช เริ่มศึกษาการใช้ระบบในการเทรดหุ้น (System Trading) สิ่งที่ตอบโจทย์ก็คือระบบมันตัด “อารมณ์” และ "ความรู้สึก" ของผู้ลงทุนออกไป ระบบการเทรดจะตัดอะไรที่เป็น “นามธรรม” ออกไปและคิดเฉพาะที่เป็น "ตัวเลข" เท่านั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่าขั้นตอนไหนดีหรือไม่ดี ปัจจัยไหนที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป ส่วนไหนที่เวิร์คก็นำมาจัดเป็นกฎระเบียบในการเทรด การลงทุนจะมีความเที่ยงตรงมากขึ้น การตัดสินใจจะไม่ขึ้นกับอารมณ์ เราจะไม่สนใจสภาวะตลาดเพราะได้ทดสอบความเป็นไปได้ทางสถิติที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาแล้วเป็นสิบปีๆแล้วนำมาพยากรณ์ความน่าจะเป็น เมื่อเราตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ผลตอบแทนก็จะสม่ำเสมอ ถ้าเป็นในต่างประเทศจะมีระบบเทรดอัตโนมัติแต่ในไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ระบบเทรดคือกฎที่วางไว้ เช่น พอหุ้นทะลุแนวต้านขึ้นมาก็ซื้อ เราจะคำนวณความเป็นไปได้ของมันแล้วมาจับใส่สัญญาณว่าจะซื้อหรือขาย ให้น้ำหนักการลงทุนอย่างไร”
ด้วยระบบเทรดที่สร้างขึ้นควรที่จะออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่คงไม่ถึงขั้นเปลี่ยนรายวัน อาจจะเป็นรายเดือนถึงรายปี เพราะการที่รวบรวมข้อมูลมาเป็นสิบปีคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เยอะนัก
ส่วนสไตล์การลงทุนจะเป็นการเล่นตามแนวโน้มหรือ Trend Following ที่จับคู่กับระบบเทรด ที่จริงแล้วสไตล์การลงทุนแบบตามแนวโน้มเป็น "ปรัชญา" อย่างหนึ่งคือเราต้องอยู่กับปัจจุบันแทนที่จะมองอนาคต เราเพียงตอบสนองไปตามสภาพตลาดที่เกิดขึ้น แนวโน้มไปทางไหนเราก็ไปทางนั้น
หลักการสำคัญของการเล่นตามแนวโน้มคือ ต้องรู้จัก Cut Loss และ Let Profit Run บริหารความเสี่ยงดีๆ ควบคุมโอกาสขาดทุนให้ต่ำ ถ้ามีกำไรต้องกินยาวๆ เวลาขาดทุนอาจจะเสียแค่บาทเดียวแต่อาจได้กำไรสามบาท แต่ถ้าโอกาสกำไรหรือขาดทุนเท่าๆกันแบบนี้พอร์ตจะไม่ไปไหน
หลายคนเชื่อว่าการเก็งกำไรไม่มีทางประสบความสำเร็จ มนสิช ไม่เชื่อแนวคิดนี้การเก็งกำไรมีมานานแล้วในตลาดหุ้นและตลาดคอมมอดิตี้ แม้แต่เฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากอย่าง เรเนสซอง เทคโนโลยี ของ จิม ไซมอน ยังสามารถทำกำไรเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 34% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีปีไหนที่ขาดทุนและทำกำไรได้ทุกสภาวะด้วย
“บางทีเราต้องเปิดใจมองอะไรกว้างๆ ผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าใช้เทคนิคอย่างเป็นระบบสามารถอยู่รอดได้ หลายๆ คนก็ทำได้ รายย่อยทุกคนก็ต้องทำได้ นักเก็งกำไรไม่ใช่นักพนัน..นักพนันจะเล่นเกมที่เขาอาจแพ้ได้โดยไม่รู้ตัว แต่นักเก็งกำไรจะเล่นเฉพาะเกมที่มีโอกาสชนะ"
กับคำถามที่ว่าเราไม่ต้องสนใจปัจจัยพื้นฐานเลยได้มั๊ย!! เซียนหุ้นหนุ่ม บอกว่า จากการสังเกตุพื้นฐานของหุ้นกับกราฟเทคนิคพอจะมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง ส่วนตัวก็เริ่มลงทุนโดยมีบัฟเฟตต์เป็นไอดอล แต่มีความสุขที่ได้มองกราฟทั้งวันมากกว่า สรุปก็คือ กราฟเทคนิคจะมีความสัมพันธ์กับงบการเงินที่ประกาศออกมาเช่นกัน แต่ส่วนตัวจะเชื่อกราฟและระบบมากกว่า
บริหารหน้าตักเหมือนควบคุมเสียงดนตรี
มนสิช ไขคำตอบด้วยว่าทำไม! คนที่เก่งเทคนิคแต่พอร์ตกลับไม่โต คำตอบคือจะต้องบริหารหน้าตักหรือ Money Management ที่ดีประกอบด้วย ถ้าเก่งเทคนิคการเทรดเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้พอร์ตโตได้จะต้องบริหารหน้าตัก "เป็น" ด้วย มุมมองส่วนตัวเทรดเดอร์คนไหนบริหารเงินในพอร์ตไม่เป็นถือว่า "ไม่เก่งจริง"
การบริหารหน้าตักที่ดีจะต้องมาพร้อมกับการบริหารความเสี่ยง เราจะต้องควบคุมความเสี่ยงในทุกครั้งที่เทรดต้องขาดทุนไม่ 1% ของพอร์ต เพราถ้าเสียลึกไปกว่านี้โอกาสที่จะเอาคืนยากมาก สิ่งที่จะทำให้เราขาดทุนไม่ลึกกจะต้องควบคุม “ขนาดการลงทุน" นำจุดตัดขาดทุนมาคำนวนกับความผันผวนจะรู้ได้ว่าควรลงเงินเท่าไรในการเทรดต่อครั้ง
ในฐานะนักดนตรี เขาเปรียบเปรยหลักการบริหารเงินเหมือน "ตัวควบคุมระดับของเสียง" ถ้าระบบการเทรดคือเสียงที่เราอัด ระบบที่ดีคือเสียงที่เราบันทึกมาว่ามีคุณภาพเป็นอย่างไร ถ้าเราเปิดเสียงเบาเกินไป ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำเกินไปหรือฟังแล้วไม่ไพเราะ แต่ถ้าเปิดเสียงดังเกินไปจนลำโพงแตก แทนที่พอร์ตของเราจะกำไรก็ขาดทุนแทน ทุกระบบการเทรดจึงมีขนาดการลงทุนที่เหมาะสมอยู่ มากเกินไปน้อยเกินไปจะไม่ดี "ต้องพอดี"
“การรักษาความเสี่ยงไม่ให้เกิดบาดแผลใหญ่ในการเทรดแต่ละครั้งคือหัวใจสำคัญของการบริหารหน้าตัก ไม่ว่าคนพอร์ตเล็กหรือใหญ่จะต้องมีการจัดการ Money Management ทั้งนั้น ยิ่งคนพอร์ตเล็กยิ่งต้องสนใจเพราะเราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่ารับความเสี่ยงมากเกินพอร์ตอยู่หรือเปล่า”
เรียนรู้จิตวิทยาการเทรด
มนสิช กล่าวต่อว่า การบริหารหน้าตักยังเชื่อมโยงไปถึงจิตวิทยาการเทรดด้วย เพราะแม้ว่าจะมีระบบการเทรดที่ดี แต่ถ้าพอร์ตเกิดขาดทุนหนักอย่างรวดเร็วอาจจะเกิดอาการช็อกหรือพอทำกำไรได้เร็วมากๆ จะเกิดอาการตื่นเต้นจนทำผิดแผนลงทุนที่วางไว้
การเป็นเทคนิคคัลที่ดี “วินัยการลงทุน” มีความสำคัญมากๆ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจให้ถูกก่อนว่าการใช้เครื่องมือทางเทคนิคมันเป็นเพียงแค่ “ความน่าจะเป็น” จากการทดสอบมาแล้วหลายร้อยหลายพันครั้ง จึงไม่สามารถบอกได้ทุกครั้งว่าจะต้องได้กำไรเท่าไร เพียงแค่บอกได้ว่าถ้าลงทุนโดยใช้ระบบนี้จะทำให้ได้กำไรหรือไม่ เทรดเดอร์จึงต้องยอมรับในความน่าจะเป็นนี้ แต่หลายคนมี “อีโก้” เมื่อการลงทุนไม่เป็นไปตามที่ระบบวางไว้ก็จะเกิดความกลัวผิดพลาดตามไปหมดหรือทำใจไม่ได้ที่การตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่การไม่ทำตามระบบที่วางไว้ในที่สุด
เหมือนกับการไปเล่นคาสิโนและหยอดเหรียญลงสล็อต ต้องเข้าใจว่าถ้าเราไม่ได้เงินจากการเล่นครั้งนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรา มันเป็นเพราะดวงไม่ดี การที่เสียเงินจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดของเรา ถ้าเข้าใจได้แบบนี้ถึงจะลงทุนตามระบบได้ในระยะยาว การที่มีอีโก้จะทำให้เราไม่ยอมรับในระบบ ถ้ามีความเข้าใจเรื่องของระบบเทรดมันจะกลบอีโก้เราได้จะช่วยเตือนสติเรา
“สรุปคือในการเทรดทุกอย่างมันเชื่อมกันหมดทั้งระบบเทรด Money Management และจิตวิทยา นักลงทุนจะต้องเข้าใจทั้งสามสิ่งนี้ถึงจะเทรดแล้วอยู่รอดได้ในระยะยาว ต่อให้ระบบดีแค่ไหนแต่ถ้าบริหารเงินไม่ดีและไม่เข้าใจจิตวิทยาการเทรด ต่อให้ได้กำไรก็ไม่สูงเท่าที่ควรจะได้”
ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์แมงเม่าคลับ ทิ้งท้ายว่าตลาดหุ้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้ยากเกินความสามารถของนักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือการเทรดที่ซับซ้อน ส่วนตัวอยากให้ใช้ชีวิตการลงทุนให้ง่าย ช่วงแรกที่เราสร้างระบบอาจจะยากแต่ถ้าเราสามารถหาระบบที่เหมาะสมกับตัวเราได้ทุกอย่างต่อไปจะง่าย
“ทำไมนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ผมคิดว่าพวกเขาไม่มี Passion (ความมุ่งมั่น) ที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่ต้องการรวยแบบฉาบฉวย แต่จริงแล้วการลงทุนเหมือนทำธุรกิจคือต้องมีความรู้ ประสบการณ์และทักษะ ช่วงแรกๆเราอาจเจ็บตัวบ้างแต่อย่ายอมแพ้ ทำในสิ่งที่เราชอบและพัฒนามันให้ดีที่สุด”
--------------------
บทเรียนนักเก็งกำไร..'เจสซี่ ลิเวอร์มอร์'
มนสิช จันทนปุ่ม ยกตัวอย่างหนังสือที่เขียนขึ้นพิเศษสำหรับสมาชิกเว็บไซต์ โดยยกกรณีศึกษาของ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นตำนานแห่งวอลสตรีท โดยเฉพาะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ Great Depression ปี 1929 เป็นคนที่เก่งมากแต่มีจุดอ่อนที่ใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้นักลงทุนทุกคน
“เขาเป็นเซียนหุ้น เซียนคอมมอดิตี้ เมื่อ 90 กว่าปีที่แล้ว เขาเป็นต้นแบบการเก็งกำไร วิชาการเทรดที่เราได้เรียนมาอย่างเล่นตามแนวโน้ม การควบคุมความเสี่ยง ทยอยซื้อช่วงขาขึ้น ฯลฯ เจสซี่เป็นต้นแบบทั้งนั้นทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีและก็เจ๊งหมดตัวและก็กลับมารวยใหม่ แต่สุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย น่าสนใจว่าทำไมคนเก่งเรื่องการลงทุนถึงมีผลการลงทุนผันผวนขนาดนี้”
ข้อคิดจากบทเรียนดังกล่าวก็คือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ มักจะ “ลืมตัว” และลืมในสิ่งที่ตั้งใจไว้เพราะประสบความสำเร็จมามากจนมีอีโก้ที่สูง ถ้าศึกษาแนวทางลงทุนของเขาจะค่อยๆ กำไรจากการเพิ่มโพสิชั่นการเทรดในเวลาที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นถ้าถูกทางก็จะเติมเงินลงไปเรื่อยๆ แต่พอบางช่วงที่เขาคิดว่าหุ้นจะต้องลงก็ไปชอร์ตไว้แต่กลับไม่ลง เขาก็ทำใจไม่ได้เพราะมั่นใจในตัวเองสูงเลยเฉลี่ยขาดทุน เงินที่มีอยู่เท่าไรก็เติมไปจนหมด สุดท้ายก็ขาดทุนหนักเพราะฝืนแนวโน้มตลาด นี่คือเครื่องเตือนใจว่าแม้จะมีระบบการเทรดและแนวคิดดีแค่ไหน สำคัญคือจะต้องมีการควบคุมอารมณ์เสมอ
“เขามักจะลืมตัวและลืมในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ถึงอย่างไรเขาก็กล้าที่จะเขียนความผิดพลาดของตัวเองลงไปในหนังสือว่าไม่ควรทำแบบนั้นเลย เขาถึงเจ็บซ้ำแบบเดิมๆ เดี๋ยวรวยเดี๋ยวจน จะเห็นได้ว่าเขามีไอคิวการลงทุนสูงแต่มีอีคิวไม่สม่ำเสมอ อารมณ์แบบนี้ทำให้ชีวิตครอบครัวแตกแยก จนต้องยิงตัวตายในที่สุด”