การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน
ผมได้สรุปเนื้อหาที่ผมได้บรรยายในงานสังสรรค์ VI ไตรมาส 2 ลงในบทความนี้นะครับ ต้องขอบคุณทางสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่าที่ให้เกียรติเชิญผมไปเป็นวิทยากรในงานนี้ ขอบคุณผู้ฟังทุกท่านที่ตั้งใจฟัง ไม่มีใครคุยกันเลย…หลายตั้งใจจดมากแม้ว่าผมบอกแล้วว่าจะแจกใน Blog หลายคนถึงขึ้นอัด VDO กันเลยทีเดียว
ขอบคุณภรรยาที่ช่วยตัด Slide ให้เพราะว่าผมงานประจำเยอะมากจนแทบไม่มีเวลาทำ แถมยังมาเป็นกำลังใจให้ถึงขอบเวทีด้วยครับ ขอบคุณครับ
ผมได้พยายามเต็มที่แล้วที่จะให้เนื้อหาเกี่ยวกับหุ้นเติบโตครบถ้วน เข้าใจง่ายที่สุดภายในเวลา 2 ชม. เริ่มตั้งแต่ง่ายไปยาก พยายามจะใส่จุดที่นักลงทุนหลายคนยังเข้าใจผิดและทำให้ภาพเหล่านี้ชัดเจนขึ้น และนำหลักการที่ผมให้ไปใช้จริงได้ครับ
ต่อไปนี้จะเป็นเนื้อหาใน Slide ที่จะไปบรรยายนะครับ และผมจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนหุ้นเติบโต (Growth investing) แบบในรายละเอียดอีกครั้ง เพื่อนนักลงทุนที่สนใจสามารถติดตามได้ครับ
การลงทุนใน Growth stock และจิตวิทยาการลงทุน
Outline
- ทำไมต้องลงทุนในหุ้นเติบโต?
- ความเข้าใจเรื่องหุ้นเติบโต
- ความสำคัญของเวลา / ความเข้าใจเรื่องอนาคต / มองอนาคตโดยใช้จินตนาการและเหตุผล
- ภาพลวงตาของ PE / คุณภาพและอนาคตของกำไร
- พฤติกรรมผู้บริโภค
- การมอง Business model ที่สอดคล้องกับเศรษฐกิจโดยรวม / Natural selection ในระบบทุนนิยม / Megatrend
- ความสามารถในการแข่งขัน (DCA) – สิ่งที่สำคัญต่อการอยู่รอดและเติบโต
- การเลือกหุ้นจากชีวิตประจำวัน / Systemic approaching
- ช่องทางการเติบโตของกำไร
- ที่มาของการขยายธุรกิจ / เอาเงินมาจากไหนมาขยายการเติบโต?
- การพัฒนาความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ
- การพัฒนาจิตใจของนักลงทุนหุ้นเติบโต / จิตวิทยาการลงทุน
ทบทวนหลักการของ VI กันก่อน
- ซื้อหุ้นด้วยมุมมองของการซื้อธุรกิจ เพราะหุ้นคือส่วนหนึ่งของเจ้าของบริษัทสัดส่วนการถือหุ้น
- ซื้อหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง (Intrinsic value)
การลงทุนหุ้นเติบโต
- มองที่การเติบโตของบริษัทเป็นหลัก…แล้วจึงมาดูว่าราคาที่ตลาดให้น่าซื้อ – มีส่วนลดราคาหรือไม่?
- ไม่ใช่การมองที่ราคาถูกกว่ามูลค่าแล้วตัดสินใจซื้อเลย
- บ้านต้องมีเสา – การลงทุนต้องมีหลักการหรือโครงสร้างทางความคิด
- แต่ละคนมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน ให้ฟังในสิ่งที่นำไปใช้ประโยชน์กับตนเองได้
การแบ่งหุ้นเป็น 6 ประเภทตามแบบฉบับของ Peter Lynch
- ประเภท 1 – 3 ( หุ้นโตช้า, หุ้นแข็งแกร่ง, หุ้นโตเร็ว ) ใช้การเติบโตเป็นตัวแบ่ง ดังนั้นความสามารถในการเติบโตของธุรกิจหรือการเติบโตของกำไรเป็นที่สิ่งสำคัญมาก
- ชนิดของการจำแนกหุ้นเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลา
- หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้นปันผล (ธุรกิจอิ่มตัว ไม่เติบโตแล้ว) ..หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้นวัฎจักร (กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ) ..หุ้นเติบโตอาจจะกลายเป็นหุ้น Asset play ได้ (สินทรัพย์ที่ซื้อมาในช่วงธุรกิจเติบโตมีมูลค่าสูงขึ้นมาก)
- ในขณะเดียวกันหุ้นชนิดอื่นอาจจะกลายเป็นหุ้นเติบโตได้เช่นกันถ้าปัจจัยพื้นฐานเอิ้ออำนวย หุ้น turn around บางตัวพอ turn จบกลายเป็นหุ้นเติบโตต่อเนื่อง หุ้นวัฎจักรบางตัวมีแผนการเติบโตที่ชัดเจนและ Demand สินค้าสูงอย่างต่อเนื่องระยะยาว…เราจะมองหุ้นเหล่านี้ด้วย Model ของหุ้นเติบโต หุ้น Asset play บางตัวมีการเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำธุรกิจใหม่…แล้วปรากฎว่าเข้าได้กับ Model ของหุ้นเติบโต
- ดังนั้น…อย่ายึดติด “ชื่อหุ้น” กับชนิดของหุ้น เพราะชนิดของหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเหตุของมันเปลี่ยน (พื้นฐานเปลี่ยน)
ความเข้าใจเรื่องหุ้นเติบโต
ลักษณะของหุ้นเติบโต
- หุ้นเติบโตเป็นหุ้นที่มองไปยังอนาคต (หุ้นบางชนิดจะมองปัจจุบันเป็นหลัก เช่น หุ้น Asset play, หุ้นปันผล)
- เวลาเป็นตัวแปรสำคัญของมูลค่าหุ้นเติบโต ทั้งด้านปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ
- ขอให้ “ลืม” ราคาหุ้น ลืม PE ratio ลืมตลาดหุ้นไปก่อน …แล้วมองดู Core business ว่าบริษัทมีการเจริญเติบโตหรือไม่? ถ้ามีบริษัทมีการเติบโตของธุรกิจ กระแสเงินสดและกำไร บริษัทนั้นคือบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโต หุ้นของบริษัทเติบโตที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์คือ “หุ้นเติบโต” ครับ
- หุ้นเติบโตต้องดูจากโครงสร้างธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโต (Growth potential) ไม่ใช่ดูจากค่า PE สูง…แม้ว่าหุ้นเติบโตส่วนใหญ่ค่า PE จะสูงก็ตาม หุ้น PE ต่ำบางตัวเป็นหุ้นเติบโตได้เช่นกัน ค่า PE คือการให้มูลค่าของตลาดหุ้น ไม่ได้บอกว่าหุ้นตัวนี้คือหุ้นเติบโต
ทำไมต้องลงทุนในหุ้นเติบโต?
- เป็นหุ้นที่เหมาะต่อการถือระยะยาว เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าจอหุ้น ไม่มีเวลาตามข่าวระยะสั้นทุกวัน แต่ต้องการผลตอบแทนที่ชนะตลาด (เช่น ผม เป็นต้น)
- เป็นหุ้นที่ไม่ต้องเชียร์เลย…ผมไม่เคยเชียร์หุ้น ชอบถือหุ้นเงียบๆ แต่หุ้นเติบโตราคาจะเพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องไปนั่งเชียร์เพราะมีตัว Driver ราคาหุ้นตลอด นั่นคือการพัฒนาของกิจการในเชิงคุณภาพ รายได้และกำไรที่เติบโตขึ้นในเชิงปริมาณ รวมถึงปันผลที่เพิ่มขึ้นจากกำไรที่เพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ
- ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุน VI สไตส์ไหนก็ตาม เช่น หุ้นปันผล หุ้น Turn around หุ้นคอมโม … ต้องเข้าใจเรื่องการเติบโตทั้งสิ้น
- นักลงทุนควรมีหุ้นเติบโตติดพอร์ตเอาไว้บ้างจะทำให้ผลตอบแทนดีขึ้น ไม่ว่าเราจะเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนก็ตามครับ
ตลาดหุ้นในปัจจุบันควรสนใจหุ้นเติบโตหรือไม่?
- ตลาดหุ้นขึ้นมาสูงขึ้นส่วนใหญ่ราคาแพงแล้วแสดงว่าเราไม่ควรลงทุนในหุ้นเติบโตจริงหรือ?
- ช่วงนี้หุ้นราคาแพง หาหุ้นดีราคาถูกยาก หลังวิกฤติต้มยำกุ้งและวิกฤติซับไพรม์มีหุ้นดีราคาถูกมากมาย แค่นั่งขุดหุ้นแล้วเชียร์สร้าง story ก็ได้กำไรหลายรอบแล้ว (ไม่แนะนำให้ทำครับ ผมไม่ทำแน่นอน) แต่ปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว ดังนั้นมี 2 วิธีคือ
1. รอให้เกิดวิกฤติซึ่งไม่รู้อีกนานแค่ไหนเพื่อที่จะได้ซื้อหุ้นถูกสุดๆ
2. หาธุรกิจที่เติบโตได้สูงกว่าตลาดแล้วซื้อในขณะที่ราคายังต่ำกว่ามูลค่าและถือหุ้นเติบโตไว้ตราบที่บริษัทยังเติบโตอยู่
- นักลงทุนแนว VI หลายคนเข้าใจว่า…ลงทุนแบบ VI คือซื้อหุ้นถูก PE ต่ำ, PBV ต่ำ ซึ่งอาจจะทำให้ไปซื้อหุ้นที่คุณภาพไม่ดีเพราะไม่ได้ประเมินลักษณะการทำธุรกิจ Business model และทำให้ผลตอบแทนไม่ดีในที่สุด
- อย่างน้อยถึงแม้ว่าเราจะหาหุ้นเติบโตที่มีมูลค่าต่ำกว่าราคาไม่ได้เลย ไม่มี MOS เราก็สามารถศึกษาข้อมูลของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ได้ว่า…”บริษัท” ใดมีการเติบโตระยะยาว เพื่อว่าความ “เตรียมพร้อม” ที่เราศึกษาไว้ก่อนจะทำให้เรา “กล้าซื้อ” หุ้นเมื่อตลาดตกหนักในขณะที่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน บริษัทยังมีการเติบโตระยะยาวต่อเนื่อง
- สรุปว่า…ไม่ควรหยุดที่ศึกษาเรื่องธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตไม่ว่าจะอยู่ในภาวะตลาดใดก็ตาม (แต่การซื้อขายเป็นคนละเรื่องครับ ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่สามารถทำได้ทุกวันครับ)
ความเข้าใจเรื่องอนาคต
- นักลงทุนต้องทำความเข้าใจกับเรื่องอนาคตเพราะการลงทุนในหุ้นเกี่ยวข้องกับอนาคตโดยตรง…เพราะหุ้นจะขึ้นเมื่อผู้คนส่วนใหญ่ “เชื่อ” ว่า หุ้นตัวนี้ผลกำไรจะดีขึ้นในอนาคต (เช่น ไตรมาสหน้า ปีหน้า สิบปีข้างหน้า แล้วแต่ความไกลของสายตาตลาดและความแรงของข่าว หรือการเติบโตของบริษัททั้งในระยะสั้นและระยะยาว) และนักลงทุนส่วนใหญ่หวังผลที่ได้จากการเพิ่มของราคาหุ้น (Capital gain) เมื่อเวลาผ่านไปในอนาคต
- การลงทุนหุ้นหรือการเก็งกำไรหุ้น เกี่ยวข้องกับมองอนาคตโดยตรง
- เราจึงต้องมาเรียนรู้เรื่องอนาคตครับ
” เรามีความเข้าใจเรื่องอนาคตอย่างไรบ้าง? “
1. อนาคตเป็นภาพเดียวที่เกิดแน่นอน อนาคตเป็นความน่าจะเป็น
2. อนาคตถูกกำหนดมาแล้ว อนาคตเป็นไปตามเหตุและผล
3. ทำนายอนาคตได้ ทำนายอนาคตไม่ได้
- Einstein VS Quantum physics (เช่น ไฮเซนเบริก) พระเจ้าไม่โยนลูกเต๋ากับจักรวาล VS เราไม่สามารถระบุตำแหน่งของอนุภาคและโมเมนตัมได้อย่างแม่นยำพร้อมกัน
ความเห็นของผมในเรื่องอนาคต- เรารู้อนาคตได้จริงเหรอ? ทั้งที่สิ่งที่เรา perceive คือปัจจุบันล้วนๆ (ข้อมูลอดีตในสมองและประสาทสัมผัสในปัจจุบัน) หรือว่า…จริงๆแล้วอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้เลย (Unknowable)
- ลองทายสิ่งที่เกิดขึ้นอีก 1 นาทีข้างหน้าเราแทบไม่รู้เลยด้วยซ้ำ (เช่น ทายผู้ชนะของนักวิ่ง 100 เมตร, การแข่งม้า, ราคาหุ้นระยะสั้น, ไพ่ที่เราจะได้รับในการแข่ง Poker … เป็นต้น)
- ผมเคยลองซื้อหวย – เจ๊งครับ (คนส่วนใหญ่จะเจ๊งตามความน่าจะเป็น…และไม่มีใครทำนายอนาคตได้)
- ดังนั้นเวลาทำนายอนาคตถูกอย่ามั่นใจในตัวเองเกินไปเราอาจจะแค่โชคดี เพราะไม่มีใครรู้แน่นอนว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นครับ
Future prediction
- เราทุกคนอยากรู้อนาคต…มีศาสตร์มากมายที่อ้างว่าทำนายอนาคตได้ (โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี) มีกูรูมากมายที่เชื่อว่าผู้คนเชื่อว่าทำนายอนาคตได้ แต่ความจริงแล้ว…อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้
- เรามักจะชอบฟังความของผู้เชี่ยวชาญ…กูรูทั้งหลายเรื่องอนาคต เพราะเรากลัวและไม่มั่นใจกับอนาคต
- ดังนั้นไม่มีประโยชน์ในการทำนายอนาคต…โดยเฉพาะการทำนายเรื่อง Macroeconomic ครับ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ครับ
- แต่สำหรับพื้นฐานของกิจการและการเติบโตในอนาคตเราพอคาดการณ์ได้…โดยคิดแบบจำลองสถานการณ์หลายเหตุการณ์และเข้าใจถึงเหตุปัจจัยทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อธุรกิจครับ
การพยายามคาดการณ์อนาคตนำมาซึ่ง…
- นักลงทุนหลายคนพยายามเก็งกำไรงบการเงินเพื่อหาว่าไตรมาสหน้าบริษัทใดจะมีกำไรเติบโตขึ้น…โดยไม่ได้ประเมินว่ากำไรที่เติบโตขึ้นจะเป็นอย่างไรในระยะยาว ต่อให้เดาถูก…ราคาตลาดอาจจะไม่ขึ้นหรือแม้กระทั่งลดลง (เนื่องจาก Sell on fact) นักลงทุนลักษณะนี้มีอยู่มากมายทำให้ซื้อรับความคาดหวังไปกันหมดแล้ว ยิ่งถ้าเดาผิด…ราคาตลาดจะลดลงอย่างมากเพราะตลาดผิดหวังรุนแรง
- ตัวอย่างการคาดเดาอนาคต ซื้อดักงบการเงิน ซื้อดัก Opportunity day ซื้อดัก Company visit เป็นต้น
- แล้วอย่างนั้นเราจะมีมุมมองอนาคตอย่างไรดี?
ผมคิดว่า…
- อนาคตไม่ได้มีแค่ภาพเดียว…เพราะมนุษย์เรามีสิทธิเลือกที่จะตัดสินใจกระทำในปัจจุบันได้ ขอให้มองอนาคตเป็นหลายเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยความน่าจะเป็นขึ้นกับเหตุปัจจัยที่ส่งผลลัพธ์ในอนาคต มองทั้งด้านดี…ด้านร้าย โอกาสและความเสี่ยง ถ้ามองแต่ด้านดีอย่างเดียวแล้วเหตุการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเราจะเสียหลักรับมือไม่ถูกครับ
- ดังนั้นขอให้มองอนาคตตามภาพของความน่าจะเป็น…ด้วยการศึกษาข้อมูล…เหตุและปัจจัยในปัจจุบันที่มีผลต่ออนาคต
เราได้อะไรบ้างจากความเข้าใจเรื่องอนาคต
1. ไม่ปักใจเชื่อผู้เชี่ยญชาญหรือเซียนโดยไม่ไตร่ตรองด้วยตนเองเพราะเข้าใจว่าไม่มีใครรู้อนาคต
2. มองหาเหตุปัจจัยในปัจจุบันที่จะส่งผลต่อการเติบโตของบริษัทในอนาคต…ทั้งปัจจัยภายนอก Demand trend ปัจจัยภายในทั้งปัจจัยเชิงคุณภาพและปัจจัยเชิงปริมาณ
3. การรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น…ไม่ว่าจะเป็นการซื้อหุ้นที่ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่า มี MOS การรู้จักกระจายความเสี่ยงในระดับที่เหมาะสม
4. เข้าใจการประเมินบริษัทว่าเป็น Dynamic ไม่ใช่ Static ปัจจัยที่ส่งผลต่ออนาคตของบริษัทไท่ได้อยู่นิ่งกับที่ เราต้องประเมินคุณภาพของกิจการเป็นระยะ (เช่น ปีละครั้ง)
5. ไม่ปักใจว่ามูลค่าของบริษัทว่ามีเพียงตัวเลขเดียว (เพราะหุ้นเป็น Dynamic) …ขอให้มองเป็น Range (ช่วงราคา) จะทำให้ดีต่อการตัดสินใจซื้อขายมากกว่าครับ
ความสำคัญของ “เวลา” กับหุ้นเติบโต
- “เวลา” คือ สิ่งที่มีพลังที่สุดในจักรวาลเพราะ…เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่ง ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน แต่ในความไม่แน่นอนคือ…ทุกอย่างต้องเกิดจากเหตุไปสู่ผล ผลเกิดจากเหตุและปัจจัย
- ถ้าเราไม่รู้เหตุและปัจจัยเราจะไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ …แต่ถ้าเราทราบเหตุปัจจัยที่มีผลในทุกเหตุปัจจัย…เราจะทำนายผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำครับ เช่น การคาดการณ์การเคลื่อนที่ของดวงดาวบนท้องฟ้า เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างดาวต่างๆ (แรงโน้มถ่วง gravitation force)
- เมื่อเวลาผ่านไป…กิจการที่มีศักยภาพในการเติบโต (growth potential) จะแสดงพลังออกมา ทั้งที่ตอนแรกเราอาจจะมองไม่เห็น … เหมือนเด็กทารกที่เริ่มจากเซลเดียวแล้วเมื่อเวลาผ่านใน 9 เดือนในครรภ์…กลายเป็นมนุษย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เหมือนต้นไม้ที่เริ่มจากเมล็ดพันธ์เล็กๆที่เมื่อปลูกในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม…จะแสดงศักยภาพเป็นต้นไม้ใหญ่ในอนาคต ซึ่งการเติบโตต้องอาศัยเวลา…จะไปเร่ง”ไม่ได้” เราต้องอดทนรอคอย
หุ้นเติบโตกับค่า PE
- ตลาดหุ้นไม่ให้ค่า PE ของหุ้นทุกตัวเท่ากันเพราะหุ้นแต่ละชนิดคุณภาพไม่เหมือนกัน หุ้นที่มีอนาคต…สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งเป็นระยะเวลานาน อนาคตสดใสย่อมได้รับค่า PE สูง หรือ หุ้นดีราคาแพงนั่นเอง
- ของดีมักจะมีราคาสูง ของที่เกรดต่ำกว่าราคาจะถูก แต่ก็ไม่เสมอไป การใช้ค่า PE แบ่งคุณภาพหุ้นจึงไม่สามารถทำได้ 100 เปอร์เซ็นต์
- สำหรับหุ้นเติบโตที่มีคุณภาพ PE ปัจจุบันอาจจะดูสูง…แต่เมื่อใช้ Earning ของอนาคต เช่น 1 ปีข้างหน้า หรือ 5 – 10 ปีข้างหน้าจะพบว่า Forward PE เมื่อใช้ราคาปัจจุบันหารด้วยกำไรของอนาคตจะมีค่าน้อยลงมากทีเดียวครับ
*** หุ้นเติบโตที่ราคาแพงเกินไปไม่เหมาะกับการเข้าซื้อเช่นกัน เช่น iphone แม้ว่าจะเป็นโทรศัพท์ที่ดีแต่การซื้อเครื่องละ 1 ล้านย่อมนับว่าไม่คุ้มค่าครับ ***
ยกตัวอย่าง – ความสัมพันธ์ของเวลาและหุ้นเติบโต
ลองเปรียบเทียบหุ้น 2 ตัว ดูนะครับ
หุ้น A เป็นหุ้นโตช้าเติบโตเฉลี่ยประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ต่อปี
หุ้น B เป็นหุ้นเติบโตที่มีศักยภาพเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง เติบโตเฉลี่ย 20 เปอร์เซ็นต์เป็นระยะเวลา 10 ปี
สมมุติว่า…กำไรสุทธิ = 1 บาท ที่จุดเริ่มต้น
หุ้น A จะมีกำไรปีที่ 10 เท่ากับ 1 x (1+0.05)ยกกำลัง 10 = 1.63 บาท
หุ้น B จะมีกำไรปีที่ 10 เท่ากับ 1 x (1+0.20)ยกกำลัง 10 = 6.19 บาท
จะเห็นได้ว่าหุ้น B มีกำไรที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดมากเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีครับ มากกว่าหุ้น B ถึง 3.8 เท่า
ถ้าการเติบโตยิ่งต่อเนื่องยาวนานขึ้นเท่าใด…หุ้นเติบโตยิ่งทิ้งห่างหุ้นปันผลมากขึ้นเท่านั้น
สมมุติถ้าหุ้น A ตลาดให้ PE แค่ 7 ราคาหุ้น A ปัจจุบันเท่ากับ 7 บาท ราคาหุ้น A ที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 11.40 บาท (7 -> 11.40 กำไร 63 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี)
สมมุติหุ้น B เป็นกรณี
กรณีที่ 1 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้น B เติบโตยังมีศักยภาพในการเติบโตต่อเนื่อง…สมมุติตลาดให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 20 (เท่ากับการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 20 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 123 บาท (20 -> 123 กำไร 515 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี)
กรณีที่ 2 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีหุ้น B หมดศักยภาพในการเติบโตแล้วกลายเป็นหุ้นโตช้า…สมมุติตลาดให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 20 (เท่ากับการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 20 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลัง ตลาดลดค่า PE ลงเนื่องจากลายเป็นหุ้นโตช้าเท่ากับ PE 7 (เท่าหุ้น A) ราคาหุ้น B ในอีก 10 ปีให้หลังเท่ากับ 7 x 6.19 = 43.33 บาท (20 -> 43.33 กำไร 116 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี) แม้ว่าตลาดได้ลดค่า PE ลงแล้วยังได้กำไรมากกว่าการซื้อหุ้นโตช้าอยู่ดีครับ
กรณีที่ 3 เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี หุ้น B หมดศักยภาพในการเติบโตแล้วกลายเป็นหุ้นโตช้า…แต่ตลาดคาดหวังสูงให้ค่า PE หุ้น B เท่ากับ 30 (มากกว่าการเจริญเติบโตเฉลี่ย) ราคาหุ้น B ปัจจุบันเท่ากับ 30 บาท ราคาหุ้นที่ 10 ปีให้หลังเท่ากับ 43.33 บาท (30 -> 43.30 กำไร 44 เปอร์เซ็นต์ใน 10 ปี) แสดงว่าการซื้อหุ้นเติบโตที่ราคาแพงเกินไปจะทำให้ได้กำไรน้อยลงได้
(ตัวอย่างใช้การสมมุติตัวเลขเพียง 3 ชุดเพื่อแสดงให้เห็น “พลังของเวลา”…แต่การจำลองสถาณการณ์ของจริงทำได้มากกว่านี้ได้หลายรูปแบบครับ เช่น การเติบโตของกำไรที่มากกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ต่อปี, การที่ตลาดให้ค่า PE หุ้นเติบโตต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในการเติบโต, การให้ค่า PE ของหุ้นโตช้าสูงกว่านี้ เช่น ให้ PE = 10 เป็นต้น)
ดังนั้นจากตัวอย่างนี้…เราจะเห็นได้ว่า
1. การซื้อหุ้นเติบโตระยะยาวยิ่งถือนานกำไรยิ่งเพิ่มพูน เพราะ “เวลา” เป็นเพื่อนของกิจการที่ยอดเยี่ยม…ยิ่งถือหุ้นนานยิ่งเสี่ยงน้อยลงเพราะหุ้นเติบโตมีขนาดของ Upside ที่สูงพอที่จะกลบความผันผวนระยะสั้นได้อย่างสบายๆ
หุ้นประเภทอื่นยิ่งถือนานยิ่งเสี่ยง…เช่น
- หุ้น Turnaround ถ้า turn จบแล้วปัจจัยพื้นฐานไม่เติบโตต่อเนื่อง…อาจจะกลับไปฟุบซ้ำด้วยเหตุว่าพื้นฐานบริษัทไม่ดีมาตั้งแต่ต้น
- หุ้น Cycle กำไรขึ้นลงตามรอบเศรษฐกิจ…ถ้าถือยาวตอนขาลงจะขาดทุนมาก ถ้าถือขาขึ้นแล้วถือยาวไม่ยอมขาย อาจจบขาขึ้นโดยไม่ได้ขายทำให้ไม่ได้กำไรหรือถือจนขาดทุนได้ในที่สุด
2. การซื้อหุ้นเติบโตต้องประเมินราคาเทียบกับการเติบโตด้วย…ถ้าซื้อหุ้นเติบโตที่ราคาแพงมากๆ โดยที่หุ้นไม่ได้มีศักยภาพในการเติบโตขนาดนั้น อาจจะขาดทุนในระยะสั้น…แม้ในระยะยาวอาจจะได้กำไรน้อยหรือกระทั่งขาดทุนได้ครับ ควรซื้อหุ้นเติบโตเมื่อราคาถูกกว่าการเติบโต ถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง ต้องมี Margin of safety ครับ
(ผมจะพูดถึงเรื่อง PE อีกครั้งว่าทำไมหุ้นแต่ละตัว PE สูงต่ำไม่เท่ากันเอาอะไรมาวัดครับ)
การเติบโตระยะยาว VS การเติบโตระยะสั้น
- นักลงทุนบางคนบอกว่า…ยิ่งถือหุ้นยาวยิ่งเสี่ยงเพราะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมากมายที่คาดเดาไม่ได้ การถือหุ้นยาวยิ่งทำให้เสี่ยงมากขึ้น สิ่งคำกล่าวนี้จริงหรือไม่?
- บางคนบอกว่าเราคาดการณ์สิ่งที่กำลังจะเกิดได้แม่นยำกว่า…สิ่งที่จะเกิดในอีกหลายปีข้างหน้า
- ผมคิดว่าการมองแบบนี้เป็นจริงบางส่วน ไม่จริงบางส่วน และเป็นการด่วนสรุปเกินไป การคาดการณ์อนาคตมีภาพกรอบของเวลาที่เหมาะสมกับสิ่งต่างๆที่ไม่เหมือนกัน
- การมองภาพ…ต้องมีระยะที่เหมาะสมกับการมอง การมองเชื้อโรคต้องใช้กล้องที่มีกำลังขยายสูง การมองไกลต้องใช้กล้องส่องทางไกล การมองภาพปกติในการขยายระดับละเอียดจะไม่เห็นภาพรวม เปรียบเหมือนมอง TV แบบขยายจะเห็นแต่จุดเล็กๆ ไม่เห็นไม่เข้าใจเนื้อหาใดๆที่แสดงใน TV เลย การคาดการณ์ลมฟ้าอากาศถ้ามองในระดับรายวันอาจจะคาดยาก…แต่ถ้ามองเป็นฤดูจะพอคาดเดาได้ว่าช่วงไหนน่าจะเป็นฤดูใด
- ดังนั้นการมองธุรกิจในรายวัน…หรือแม้แต่รายไตรมาส เราจะมองไม่เห็นการเติบโตของธุรกิจในภาพรวม การคาดการณ์การเติบโตจะมีกรอบเวลาที่มองเห็นภาพชัดของแต่ละธุรกิจ เห็นภาพชัดที่กรอบเวลาใดให้ลงทุนที่กรอบเวลานั้น
- ใครจะเก่งคาดการณ์ในกรอบระยะเวลาใด…ให้ลงทุนในกรอบระยะเวลาที่เราคาดการณ์ได้ ในกรอบเวลาที่เรามองเห็นความน่าจะเป็นของอนาคต
แต่ถ้าเป็นการคาดการณ์ในเรื่องการเติบโตของธุรกิจ…ผมคิดว่าต้องเป็นระดับหน่วย “ปี” ขึ้นไป
และที่สำคัญกว่านั้น…ถ้าบริษัทนั้นมีศักยภาพในการเติบโต เวลาจะเป็นเพื่อนของเราครับ
ดังนั้น…งานของนักลงทุนหุ้นเติบโตคือการค้นหาบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวครับ
การคาดการณ์การเติบโตในอนาคตของบริษัทจากการเติบโตในอดีต…???
- ไม่แน่เสมอไป…เพราะเราต้องเข้าใจเหตุปัจจัยที่มีผลต่อการเติบโตของบริษัท แล้วประเมินว่าเหตุปัจจัยเหล่านั้นยังคงอยู่หรือไม่?
- บางคนรองบการเงินออก มานั่ง check กำไร ROA ROE นั่งแกะงบ ผมคิดว่าช้าเกินไป… เพราะส่วนใหญ่กว่างบการเงินจะออกราคาจะตอบรับแนวโน้มการเติบโตไปเรียบร้อยแล้วจากการประเมินปัจจัยเชิงคุณภาพ
ในมุมมองของผมจะวิเคราะห์ Business model แล้วลองตั้งสมมุติฐานเรื่องความก้าวหน้าของกิจการที่มีผลต่อกำไร และตรวจสอบตัวเลขในงบการเงินที่สำคัญเป็นระยะ
มองอนาคตโดยใช้จินตนาการและเหตุผล
การพัฒนาการคาดการณ์อนาคต
- ภาพยนต์ต่างประเทศ การอ่านหนังสือ การไปเที่ยวต่างประเทศ การมองวิถีชีวิตของผู้คน
- ลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจ เราทุกคนมีความเข้าใจอุตสาหกรรมบางอย่างมากกว่าคนอื่น ตามความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมา … ถ้าสนใจธุรกิจที่ยังไม่เข้าใจ…ให้เข้าไปศึกษาคลุกคลีจนเข้าใจธุรกิจ เพื่อเพิ่ม Circle of competence ในการลงทุนครับ
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหมกมุ่นกับอนาคตจนละเลยปัจจุบัน…เพียงแค่ให้รู้ว่าบริษัทที่เราลงทุนกับกำลังจะเดินไปในแนวทางไหน คอยเฝ้าดูว่า…ตอนนี้ถึงจุดไหนของเส้นทางของการเติบโต
การมองอนาคตในการเติบโตของหุ้นเติบโต
1. การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ พฤติกรรมผู้บริโภค (เข้าใจการเติบโตของ Demand – Demand trend)
2. การเข้าใจการบริษัทที่เราลงทุน (เข้าใจการเติบโตของ Supply ที่มีต่อ Demand …รวมถึงเข้าใจการสร้าง Demand)
กรณีศึกษาเรื่องพฤติกรรมมนุษย์ การใช้กล้องถ่ายรูปแบบฟิลม์ เพจเจอร์ อินเตอร์เนต โทรศัพท์มือถือ ชาเขียว การเดินห้าง
เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภค (เราทุกคน)
- พฤติกรรมผู้บริโภคมีความสำคัญอย่างไร?
ยกตัวอย่าง…ความเชื่อมโยง
ความต้องการของมนุษย์บางคน -> Demand ของ End product -> Demand ของสายการผลิตที่เกี่ยวข้องกับ End product นั้น -> ความต้องการของมนุษย์ในสังคม (Critical mass) -> Demand trend -> Megatrend
- ความต้องการของมนุษย์คือตัวกำหนดราคาของสิ่งต่างๆ
- ความต้องการ = Demand
- ธุรกิจคือการพยายามตอบสนอง Demand ของมนุษย์โดยแลกกับเงินตรา
แล้วมนุษย์ต้องการอะไร?
- ความต้องการทางร่างกาย ปัจจัย 4 (อาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม บ้าน คอนโด ยา โรงพยาบาล)
- ความต้องการเป็นที่ยอมรับ (ธุรกิจความงาม, เครื่องประดับ, สินค้า brand name, การสร้าง brand, Smart phone)
- ความต้องการค้นหาตนเอง (การสัมมนาพัฒนาตนเอง, หนังสือ)
- ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม (Social network, Communication)
- ความง่าย มนุษย์มีแนวโน้มเข้าหาความง่าย ไม่ชอบความยุ่งยาก
- ความเป็นหมู่คณะ มนุษย์ชอบทำตามกัน
- ราคาถูก (มูลค่าในใจเทียบราคาที่ขาย)
- ความสะดวกรวดเร็วทันใจ (การเสริมแรงทันทีเป็นกลไกของธรรมชาติ)
- หลีกหนีความทุกข์
- เข้าหาความสุข
เราสามารถเอาความรู้เหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ทั้งในการมอง Demand trend, การทำการตลาด, การประเมินความสามารถในการแข่งขันของสินค้าและบริการที่จะเอาชนะใจผู้บริโภคทั้งระดับ End product และกระบวนการผลิต
- เริ่มจากความเข้าใจตนเอง…สำรวจตนเอง สุดท้ายจะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์โดยทั่วไปที่สุด
- เริ่มจากการศึกษาพฤติกรรมของคนใกล้ตัว คนในสังคม รวมถึงคนในต่างประเทศที่พัฒนาแล้ว
การสร้าง Demand
- ธุรกิจจำเป็นต้องตอบสนอง Demand ของมนุษย์เสมอไปหรือไม่?
- มนุษย์หลายคนไม่รู้ว่าชีวิตต้องการอะไร…ส่วนใหญ่ต้องให้คนอื่นมาบอกให้…ว่าสิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี
- ประเมินว่าธุรกิจที่เราสนใจมีการสร้าง Demand หรือไม่? เช่น การโฆษณา การตลาดที่มีประสิทธิภาพ สินค้าที่โดนใจผู้บริโภค
Megatrend
(มาจาก Demand trend ที่เป็นภาพใหญ่และใช้ระยะเวลานาน)
ขอบคุณข้อมูลจากเว็ป : http://fundmanagertalk.com/growth-stock-psychology/
วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555
ในตลาด Forex นั้น เราสามารถเก็งกำไรได้ 2 ทาง คือ
1.การเล่นแบบ Long คือ ซื้อเมื่อราคาต่ำ แล้วขายกลับไปในราคาสูง ใช้ในขาขึ้น
2.การเล่นแบบ Short คือ ขายเมื่อราคาสูง แล้วซื้อกลับไปในราคาต่ำ ใช้ในขาลง
ส่วนการเปิดปิดออเดอร์ มี 2 แบบ คือ Instant Order กับ Pending Order
การเปิดออเดอร์แบบ Instant
สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ดับเบิ้ลคลิกที่ market watch
- คลิกที่เครื่องมือ New Order ทางด้านบน
- คลิกขวา Trading -> New Order
- กดคีย์ลัด F9
21
- ใส่จำนวน lot ตามต้องการ
- ใส่ราคาในช่อง Stop loss ( SL ) หากต้องการให้ Order ถูกปิดอัตโนมัติ เมื่อราคาถอยไปถึงที่ตั้งไว้(ใส่ 0 หากไม่ต้องการ )
- ใส่ราคาในช่อง Take profit ( TP ) หากต้องการให้ Order ถูกปิดทำกำไร เมื่อถึงราคาที่กำหนด
ตัวอย่าง Buy ที่ 1.6035 ต้องการปิดออเดอร์เมื่อกำไร 30 pip หรือ ขาดทุน 30 pip ก็ตั้ง SL 1.6005 TP 1.6065
- ใส่ Maximum Deviation หากต้องการใช้ราคาคลาดเคลื่อนได้ไม่เกินกี่ Pip หากราคาที่ได้ คาดเคลื่อนเกินที่กำหนด โปรแกรมจะไม่เปิดออเดอร์ให้
- พร้อมแล้วคลิกที่ Sell หากต้องการเล่นแบบ Short หรือ Buy หากต้องการเล่นแบบ Long
22
- หากบัญชีที่ใช้เป็นแบบ ECN จะไม่มีให้ตั้ง SL TP และ Max. Deviation เนื่องจากออเดอร์ถูกส่งเข้าตลาดโดยตรง ไม่สามารถควบคุมราคาได้ แต่เมื่อเปิดออเดอร์แล้วสามารถคลิกขวา Modify เพื่อตั้ง SL TP ได้ครับ
23
เมื่อเปิดออเดอร์ได้แล้ว จะปรากฎในหน้าต่าง Terminal มีรายละเอียดดังนี้
- Balance คือ ยอดเงินที่มี ก่อนเปิดออเดอร์ทั้งหมด
- Equity คือ ยอดเงินที่มี หากปิดออเดอร์ทั้งหมด
- Margin คือ จำนวนเงินที่ใช้ไป ในการเปิดออเดอร์
- Free Magin คือ มาจิ้นที่เหลืออยู่ หากหมดหรือติดลบ จะไม่สามารถเปิดออเดอร์เพิ่มได้
- Margin Level % คือ เปอเซนต์ของมาจิ้นที่เหลือเทียบกับที่ใช้ไป หากลดต่ำลงถึงระดับ Stop Out Level ที่โบรกเกอร์กำหนด ( โดยมากกำหนดไว้ราวๆ 30% - 150% ) จะโดนบังคับปิดออเดอร์ทั้งหมด
การเปิดออเดอร์แบบ Pending การตั้งราคาซื้อขายล่วงหน้า มี 4 แบบ
Buy Limit คือ รอให้ราคาต่ำลง แล้วเข้าซื้อในราคาต่ำๆ หวังว่ามันราคาจะขึ้นกลับไปได้
Buy Stop คือ รอให้ราคาพุ่งขึ้น แล้วเข้าซื้อ หวังว่ามันจะขึ้นไปสูงๆ
ฝั่ง sell ก็กลับกันครับ
แต่เวลาใช้จริงเราไม่ต้องจำว่าจะใช้ limit หรือ stop เพราะมีวิธีง่ายกว่านั้น โดยการคลิกขวาบนพื้นที่กราฟในระดับราคาที่ต้องการ แล้วเลือกคำสั่ง Trading ดังรูป
24
การ นับ Pip
ใน forex เราจะไม่นับเป็น "จุด" เหมือนหุ้นนะครับ เพราะมันวิ่งวันนึงไม่ถึง 1 จุด
pip จะนับในทศนิยมหลักที่ 4 กรณีคู่เงินมีทศนิยม 4 หรือ 5 หลัก และนับในทศนิยมหลักที่ 2 กรณีคู่เงินมี 2 หรือ 3 หลัก
เช่น เปิดออเดอร์ buy GBP/USD ที่ราคา 1.6036 ราคาวิ่งไป 1.6048 เท่ากับว่าเราได้กำไร +12 pip
หากโบรกเกอร์ไหนคู่เงินมี 5 หลัก หลักที่ 5 จะเป็นทศนิยม
เช่น เปิดออเดอร์ buy GBP/USD ที่ราคา 1.60365 ราคาวิ่งไป 1.60484 เท่ากับว่าเราได้กำไร +11.9 pip
แต่ใน MT4 มันจะนับ 5 หลัก เท่ากับ +119
การปิดออเดอร์
ทำเหมือนกับตอนเปิดออเดอร์ โดยคลิกขวาออเดอร์ที่ต้องการปิด แล้วเลือก close จะขึ้นหน้าต่างเหมือนตอนเปิดออเดอร์ แล้วใส่จำนวนลอตที่ต้องปิด แล้วกด Close
การตั้ง Trialing Stop
เป็นการเลื่อน SL เพื่อรักษากำไรครับ สมมุติว่าเราเปิด Buy แล้วราคามันขึ้น เรา +30 แต่ไม่รู้ว่ามันจะขึ้นไปสุดที่ไหน เราก็ตั้ง TS ไว้ ให้มันเลื่อน SL ตามมา เช่นตั้งไว้ 20 มันก็จะเลื่อนตามมาโดยรักษาระยะหว่างล่าสุดไว้ 20 pip เรา+30 มันจะเลื่อนมาที่ +10 เรา+50 มันก็จะเลื่อนมา +30 อัตโนมัติไปเรื่อยๆ จนกว่าราคาจะถอยกลับไปชน TS มันก็จะปิดทำกำไรให้เราอัตโนมัติ
วิธีตั้ง คือ คลิกขวาออเดอร์ที่ต้องการ เลือก Trialing Stop แล้ว ใส่ Point(pip) ตามต้องการ
การคำนวณมาจิ้น
การซื้อขายใน Forex Online จะคิดเป็น Lot ซึ่ง 1 ลอต เท่ากับ 100 000 USD ต่ำสุดที่เทรดได้คือ 0.01ลอต หรือ 1000 usd
แน่นอนเราไม่มีเงินขนาดนั้นมาเทรด โบรกเกอร์จึงให้เงินเรายืม ซึ่งเรียกว่า Leverage ซึ่งเยอะสุดคือ exness ให้ 1:1000
Leverage ยิ่งมาก ยิ่งดี ทำให้เราเปิดลอตสูงๆได้ โดยไม่ต้องมีเงินมาก คำนวณดังนี้ครับ
magin = lot x 100000 x leverage x ราคาเงินตัวหน้าเทียบกับUSD เช่น buy GBP/USD หรือ GBP/JPY หรือ GBP/CHF จะใช้ ราคาตัวหน้าเทียบ usd คือใช้ราคาของ GBP/USD นั่นเอง สมมุติขณะนั้น GBP/USD อยู่ที่ 1.6035 เทรดที่ 0.1 lot Leverage 1:500
เข้าสูตรได้ magin = 0.1 x 100000 x1/500 1.6035 = 32.07 USD
จะต้องใช้มาจิ้นเปิดออเดอร์ $32.07 ถ้าเรามีทุน $100 ก็จะเหลือให้ติดลบได้ 60 กว่าจุด
คำนวณ Profit
profit คิดคร่าวๆก็ pip ละ $10 ที่ 1ลอต หรือ $1 ที่ 0.1ลอต หรือ $0.1 ที่ 0.01ลอต ง่ายๆก็เอา Lot x 10 ครับ แต่ถ้าจะคำนวณให้เป๊ะๆ ก็ต้องใช้สูตรตามนี้
Profit = ราคาตัวหลังเทียบกับ USD x lot x 10 เช่น เทรด GBP/USD ใช้ราคา USD/USD ก็เท่ากับ 1
Profit = 1 x 0.1 x 10 เท่ากับ $1 ต่อ pip
ถ้าเทรด GBP/JPY ใช้ราคา JPY/USD ตอนนี้อยู่ที่ 81.70/100 เท่ากับ 1.22
profit = 1.22 x 0.1 x 10 เท่ากับ $1.22 ต่อ pip
ถ้าเทรด EUR/GBP ใช้ราคา GBP/USD ตอนนี้อยู่ที่ 1.6030
profit = 1.6030 x 0.1 x 10 เท่ากับ $1.6 ต่อ pip
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเงินของเราเป็น usd พอจะซื้อต้องเอาเงินไปแลกกับค่าเงินตัวหน้ามาถือไว้ พอค่าเงินสูงขึ้นจะเอากำไร ก็เอาไปแลกกับเงินตัวหลัง แล้วแลกกลับมาเป็น usd เข้าพอร์ตเราครับ
1.การเล่นแบบ Long คือ ซื้อเมื่อราคาต่ำ แล้วขายกลับไปในราคาสูง ใช้ในขาขึ้น
2.การเล่นแบบ Short คือ ขายเมื่อราคาสูง แล้วซื้อกลับไปในราคาต่ำ ใช้ในขาลง
ส่วนการเปิดปิดออเดอร์ มี 2 แบบ คือ Instant Order กับ Pending Order
การเปิดออเดอร์แบบ Instant
สามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- ดับเบิ้ลคลิกที่ market watch
- คลิกที่เครื่องมือ New Order ทางด้านบน
- คลิกขวา Trading -> New Order
- กดคีย์ลัด F9
21
- ใส่จำนวน lot ตามต้องการ
- ใส่ราคาในช่อง Stop loss ( SL ) หากต้องการให้ Order ถูกปิดอัตโนมัติ เมื่อราคาถอยไปถึงที่ตั้งไว้(ใส่ 0 หากไม่ต้องการ )
- ใส่ราคาในช่อง Take profit ( TP ) หากต้องการให้ Order ถูกปิดทำกำไร เมื่อถึงราคาที่กำหนด
ตัวอย่าง Buy ที่ 1.6035 ต้องการปิดออเดอร์เมื่อกำไร 30 pip หรือ ขาดทุน 30 pip ก็ตั้ง SL 1.6005 TP 1.6065
- ใส่ Maximum Deviation หากต้องการใช้ราคาคลาดเคลื่อนได้ไม่เกินกี่ Pip หากราคาที่ได้ คาดเคลื่อนเกินที่กำหนด โปรแกรมจะไม่เปิดออเดอร์ให้
- พร้อมแล้วคลิกที่ Sell หากต้องการเล่นแบบ Short หรือ Buy หากต้องการเล่นแบบ Long
22
- หากบัญชีที่ใช้เป็นแบบ ECN จะไม่มีให้ตั้ง SL TP และ Max. Deviation เนื่องจากออเดอร์ถูกส่งเข้าตลาดโดยตรง ไม่สามารถควบคุมราคาได้ แต่เมื่อเปิดออเดอร์แล้วสามารถคลิกขวา Modify เพื่อตั้ง SL TP ได้ครับ
23
เมื่อเปิดออเดอร์ได้แล้ว จะปรากฎในหน้าต่าง Terminal มีรายละเอียดดังนี้
- Balance คือ ยอดเงินที่มี ก่อนเปิดออเดอร์ทั้งหมด
- Equity คือ ยอดเงินที่มี หากปิดออเดอร์ทั้งหมด
- Margin คือ จำนวนเงินที่ใช้ไป ในการเปิดออเดอร์
- Free Magin คือ มาจิ้นที่เหลืออยู่ หากหมดหรือติดลบ จะไม่สามารถเปิดออเดอร์เพิ่มได้
- Margin Level % คือ เปอเซนต์ของมาจิ้นที่เหลือเทียบกับที่ใช้ไป หากลดต่ำลงถึงระดับ Stop Out Level ที่โบรกเกอร์กำหนด ( โดยมากกำหนดไว้ราวๆ 30% - 150% ) จะโดนบังคับปิดออเดอร์ทั้งหมด
การเปิดออเดอร์แบบ Pending การตั้งราคาซื้อขายล่วงหน้า มี 4 แบบ
Buy Limit คือ รอให้ราคาต่ำลง แล้วเข้าซื้อในราคาต่ำๆ หวังว่ามันราคาจะขึ้นกลับไปได้
Buy Stop คือ รอให้ราคาพุ่งขึ้น แล้วเข้าซื้อ หวังว่ามันจะขึ้นไปสูงๆ
ฝั่ง sell ก็กลับกันครับ
แต่เวลาใช้จริงเราไม่ต้องจำว่าจะใช้ limit หรือ stop เพราะมีวิธีง่ายกว่านั้น โดยการคลิกขวาบนพื้นที่กราฟในระดับราคาที่ต้องการ แล้วเลือกคำสั่ง Trading ดังรูป
24
การ นับ Pip
ใน forex เราจะไม่นับเป็น "จุด" เหมือนหุ้นนะครับ เพราะมันวิ่งวันนึงไม่ถึง 1 จุด
pip จะนับในทศนิยมหลักที่ 4 กรณีคู่เงินมีทศนิยม 4 หรือ 5 หลัก และนับในทศนิยมหลักที่ 2 กรณีคู่เงินมี 2 หรือ 3 หลัก
เช่น เปิดออเดอร์ buy GBP/USD ที่ราคา 1.6036 ราคาวิ่งไป 1.6048 เท่ากับว่าเราได้กำไร +12 pip
หากโบรกเกอร์ไหนคู่เงินมี 5 หลัก หลักที่ 5 จะเป็นทศนิยม
เช่น เปิดออเดอร์ buy GBP/USD ที่ราคา 1.60365 ราคาวิ่งไป 1.60484 เท่ากับว่าเราได้กำไร +11.9 pip
แต่ใน MT4 มันจะนับ 5 หลัก เท่ากับ +119
การปิดออเดอร์
ทำเหมือนกับตอนเปิดออเดอร์ โดยคลิกขวาออเดอร์ที่ต้องการปิด แล้วเลือก close จะขึ้นหน้าต่างเหมือนตอนเปิดออเดอร์ แล้วใส่จำนวนลอตที่ต้องปิด แล้วกด Close
การตั้ง Trialing Stop
เป็นการเลื่อน SL เพื่อรักษากำไรครับ สมมุติว่าเราเปิด Buy แล้วราคามันขึ้น เรา +30 แต่ไม่รู้ว่ามันจะขึ้นไปสุดที่ไหน เราก็ตั้ง TS ไว้ ให้มันเลื่อน SL ตามมา เช่นตั้งไว้ 20 มันก็จะเลื่อนตามมาโดยรักษาระยะหว่างล่าสุดไว้ 20 pip เรา+30 มันจะเลื่อนมาที่ +10 เรา+50 มันก็จะเลื่อนมา +30 อัตโนมัติไปเรื่อยๆ จนกว่าราคาจะถอยกลับไปชน TS มันก็จะปิดทำกำไรให้เราอัตโนมัติ
วิธีตั้ง คือ คลิกขวาออเดอร์ที่ต้องการ เลือก Trialing Stop แล้ว ใส่ Point(pip) ตามต้องการ
การคำนวณมาจิ้น
การซื้อขายใน Forex Online จะคิดเป็น Lot ซึ่ง 1 ลอต เท่ากับ 100 000 USD ต่ำสุดที่เทรดได้คือ 0.01ลอต หรือ 1000 usd
แน่นอนเราไม่มีเงินขนาดนั้นมาเทรด โบรกเกอร์จึงให้เงินเรายืม ซึ่งเรียกว่า Leverage ซึ่งเยอะสุดคือ exness ให้ 1:1000
Leverage ยิ่งมาก ยิ่งดี ทำให้เราเปิดลอตสูงๆได้ โดยไม่ต้องมีเงินมาก คำนวณดังนี้ครับ
magin = lot x 100000 x leverage x ราคาเงินตัวหน้าเทียบกับUSD เช่น buy GBP/USD หรือ GBP/JPY หรือ GBP/CHF จะใช้ ราคาตัวหน้าเทียบ usd คือใช้ราคาของ GBP/USD นั่นเอง สมมุติขณะนั้น GBP/USD อยู่ที่ 1.6035 เทรดที่ 0.1 lot Leverage 1:500
เข้าสูตรได้ magin = 0.1 x 100000 x1/500 1.6035 = 32.07 USD
จะต้องใช้มาจิ้นเปิดออเดอร์ $32.07 ถ้าเรามีทุน $100 ก็จะเหลือให้ติดลบได้ 60 กว่าจุด
คำนวณ Profit
profit คิดคร่าวๆก็ pip ละ $10 ที่ 1ลอต หรือ $1 ที่ 0.1ลอต หรือ $0.1 ที่ 0.01ลอต ง่ายๆก็เอา Lot x 10 ครับ แต่ถ้าจะคำนวณให้เป๊ะๆ ก็ต้องใช้สูตรตามนี้
Profit = ราคาตัวหลังเทียบกับ USD x lot x 10 เช่น เทรด GBP/USD ใช้ราคา USD/USD ก็เท่ากับ 1
Profit = 1 x 0.1 x 10 เท่ากับ $1 ต่อ pip
ถ้าเทรด GBP/JPY ใช้ราคา JPY/USD ตอนนี้อยู่ที่ 81.70/100 เท่ากับ 1.22
profit = 1.22 x 0.1 x 10 เท่ากับ $1.22 ต่อ pip
ถ้าเทรด EUR/GBP ใช้ราคา GBP/USD ตอนนี้อยู่ที่ 1.6030
profit = 1.6030 x 0.1 x 10 เท่ากับ $1.6 ต่อ pip
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเงินของเราเป็น usd พอจะซื้อต้องเอาเงินไปแลกกับค่าเงินตัวหน้ามาถือไว้ พอค่าเงินสูงขึ้นจะเอากำไร ก็เอาไปแลกกับเงินตัวหลัง แล้วแลกกลับมาเป็น usd เข้าพอร์ตเราครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)