Infinite Growth FX

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แนวทางปฏิบัติสำหรับนักเล่นหุ้น


  • 1.เมื่อวิเคราะห์ว่าหุ้นจะขึ้น ให้หยุดขาย กลับมาเป็นซื้อให้มาก
  • 2.เมื่อวิเคราะห์ฺว่าหุ้นจะลง ให้หยุดซื้อ กลับมาเป็นขายให้มาก
  • 3.เมื่อขายหุ้นหนึ่งไปแล้ว ไป่จำเป็นต้องซื้อหุ้นใหม่ทันที แต่จะซื้อก็ต่อเมื่อวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นตัวนั้นๆ น่าจะมีแนวโน้มขึ้นเท่านั้น
  • 4.อย่าซื้อหุ้นโดยที่ยังไม่ได้วิเคราะห์ก่อน
  • 5.อย่าซื้อหุ้นมากเกินไปเพราะจะดูแลไม่ไหว
  • 6.ต้องรู้จัก Stop Loss หรือ หยุดขาดทุน
  • 7.ต้องรู้จักสะสมกำไร เมื่อวิเคราะห์แล้วว่าหุ้นนั้นมีแนวโน้มจะขึ้นแน่ๆ ควรปล่อยให้ทำกำไรจนกว่าจะเห็นแนวโน้มเปลี่ยนไป
  • 8.อย่าซื้อขายหุ้นโดยไม่ดูแนวโน้มตลาด
  • 9.ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียว
  • 10.อย่าซื้อเฉลี่ยในตลาดขาลงหรือซื้อเฉลี่ยการขาดทุน

รูปแบบการกลับตัว

 รูปแบบการกลับตัว


เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบหัวไหล่ (Head and Shoulder Top)

เป็นหนึ่งในรูปแบบที่น่าเชื่อถือที่สุดแบบหนึ่ง ประกอบด้วยยอดสามยอดคือ ยอดไหล่ซ้ายยอดหัว และยอดไหล่ขวา จากรูป เมื่อราคาตัดเส้น Support (BD) ที่เรียกว่าเส้น Neck Line ลงมา จะแสดงถึงการกลับทิศแนวโน้มของตลาดขาลง มักเกิดในช่วงตลาดสูงสุดของตลาด และยังสามารถกำหนดวิเคราะห์เป้าหมายราคาได้ คือราคาอาจจะลงไปได้เท่ากับระยะของเส้นที่ลากในแนวดิ่ง จากหัวไปพบเส้น Neck Line หรือกรณีที่สภาพการณ์ย่ำแย่มากๆเราสามารถวิเคราะห์ ราคามีโอกาสลงไปได้ถึงฐานก่อนขึ้นในช่วงแรกด้วยซ้ำ ดังรูป





เทคนิคการวิเคราะห์ : เส้น Neck Line คือเส้นที่ลากจากจุดต่ำสุดสองจุดที่อยู่ระหว่างหัวและไหล่ทั้งสอง (BD) เส้นนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ในแนวราบ (horizontal) อาจเป็นเส้นที่มีความชัน (slope) ก็ได้ ที่สำคัญคือ จุดต่ำสุดของไหล่ขวา (จุด D) ควรต่ำกว่าจุดสูงสุดของไหล่ซ้าย (จุด A) และปริมาณการซื้อขายตอนขาขึ้นของไหล่ขวา (DE) จะน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายตอนขาขึ้นของส่วนหัว (BC) อีกประการหนึ่ง ยอด C และ A ก็ควรผ่านสภาวะ OverBought และเกิด Divergence

เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบหัวและไหล่กลับด้าน (Head and Shoulder Bottom)

เทคนิคการวิคราะห์ รูปแบบหัวและไหล่กลับด้าน (Head and shoulder bottom) จะมีรูปแบบตรงกันข้ามกับรูปแบบหัวและไหล่ และจะเกิดที่จุดต่ำสุดของตลาด เมื่อราคาสามาถฝ่าเส้นแนวต้าน (Resistance) ในที่นี้คือเส้น Neck Line ซึ่งแสดงถึงการกลับทิศหรือการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาดจากขาลงเป็นขาขึ้น และยังสามารถกำหนดราคาเป้าหมายได้ คือราคาอาจจะขึ้นไปได้เท่ากับระยะของเส้นที่ลากในแนวดิ่้งจากหัวไปพบเส้น Neck Line (AB = CD) หรือในกรณีที่สภาพการณ์ดีมากๆราคามีโอกาสขึ้นไปได้เป็น 2-3 เท่ากับของ AB ดังรูป



เทคนิคการวิเคราะห์ : ที่สำคัญคือจุดสูงสุดของไหล่ขวา (จุด X) ควรสูงกว่าจุดต่ำสุดของไหล่ซ้าย (จุด Y) และปริมาณการซื้อขายตอนขาลงของไหล่ขวามักจะน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายตอนขาลงของส่วนหัว และการฝ่า(breakout) เส้น Neck Line ขึ้นไป ต้องฝ่าด้วยปริมาณการซื้อขายที่มากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ ถ้าปริมาณการซื้อขายไม่มากพออาจถือว่าเป็นสัญญษนหลอก (False signal) ได้ ซึ่งมักจะตามมาด้วยการทดสอบ New Low และจุด Bottom A และ Y ก็ควรผ่านสภาวะ OverSold และเกิด Divergence


เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบ Double Top

 
จะมีจุดยอด 2 จุดที่ราคาใกล้ๆกัน  ลักษณะกราฟคล้ายตัว M ถ้าราคาหุ้นหลุดเส้น  Neckline ลงมาหุ้นก็มีโอกาสที่จะร่วงลงอย่างรวดเร็วครับ



เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบ Double Bottom
จะมีจุดต่ำสุด 2 จุดที่ราคาใกล้ๆกัน ลักษณะกราฟคล้ายคัว W ถ้าราคาหุ้นทะลุเส้น Neckline ขึ้นไปโอกาสที่หุ้นจะวิ่งขึ้นก็มีมากครับ





เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบ Triple Top
กราฟแบบนี้จะคล้ายๆ Double Top เพียงแต่มียอด 3 ยอดครับ



เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบ Triple Bottom
เป็นกราฟที่มีจุดต่ำสุด 3 จุด ถ้าราคาหุ้นทะลุ Neckline ขึ้นไปได้ หุ้นก็มีโอกาสที่จะวิ่งขึ้นแรงครับ


เทคนิคการวิเคราะห์ รูปแบบCup with Handle

รูปทรงก็เหมือนกับถ้วยกาแฟ แล้วก็มีหูจับตามรูปเลยครับ  ถ้าราคาหุ้นทะลุเส้น Neckline ( ขอบถ้วย) ขึ้นไปได้ ราคามักจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วครับ

รูปแบบการทำสามเหลี่ยม













รูปแบบมังกร

รูปแบบมังกร นี้ บ่งบอกถึงการกลับตัวที่สามารถเข้าเทรดได้ดีอย่างยิ่ง กุญแจไขระหัส หลังมังกร จะเชิดสูงเสมอ เพื่อจะที่กลับไป ทดสอบ หางมังกร ทั้งแนวรับและแนวต้าน หลังจากหลุดแนวต้านขาสอง จึงเป็นตำแหน่งเข้าซื้อ



วิธีสังเกตุ

1. หา หัว กับ ขาหน้า ก่อน (A - B)
2. แล้วใช้ฟิโบทดสอบ ท้องมังกร (C) ระหว่าง 0.38 - 0.50 AB

3. หา ขาหลัง (D) ที่ระดับ 0.618 - 1.27 AB

4. กำหนดเป้าหมาย เมือทะลุผ่านแนวต้านเทรนไลย์ ไปยัง

เป้าหมาย1 (E 1.27CD )เป้าหมาย 2 (F 0.886-1.0 AB) เป้าหมาย 3  (G 1.38 AB)

ตัวอย่าง
มังกรกลับหัว ตีลังกา อิอิ


บทความอื่นๆ




วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

MACD (Moving Average Convergence / Divergence)

MACD (Moving Average Convergence / Divergence)












การใช้MACD ในตลาดจริง อ้างอิงโดย wave rider

เมื่อพูดถึง MACD (Moving Average Convergence / Divergence) คงจะไม่มี Technical Trader คนไหนที่ไม่รู้จัก แต่จะมีสักกี่คนกัน ที่จะรู้ว่า MACD นั้นใช้ ทำอะไรได้บ้างคงต้องทำ มาทำความเข้าใจ กัน MACD (แม็ค-ดี) กันให้เข้าใจกันก่อน ว่า มันเป็นเครื่อง มือ ที่ ใช้ทำอะไรจะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียด มานัก เพราะ คงจะหาอ่านได้ ตาม เว็บไซท์ ทั่วไป MACD เป็น Indicator หรือ เครื่องมือ ที่เก่าแก่ และมีความ classic มาก ถูกสร้างขึ้น โดย Gerald Appel ตั้งแต่ ปี 1970 ใน wikipedia บอกว่า "It is used to spot changes in the strength, direction, momentum, and duration of a trend in a stock's price."  นั่นก็ คือ MACD ใช้ วัด MOMENTUM ของ ราคาหุ้น ที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา MOMENTUM ??  ได้ยินคำนี้แล้ว ทำให้ นึกถึงวิชา ฟิสิกส์ ที่เรียน สมัยมัธยม ที่ท่องสูตรคำนวณ กันแบบเอาเป็นเอาตาย จนจำขึ้นใจได้เลยว่า สูตรของ momentum ก็คือ p=mv  ; p คือ โมเมนตัม , m คือ น้ำหนักมวล และ v คือ ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมวลนั้น   แล้ว Momentum ของราคา หุ้น คืออะไร ????

MACD = momentum = p
m = Volumn ของ หุ้น ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง   หรือ ในช่วง 1 แท่งราคา
และ  v = ความเร็วในการเคลื่อนที่ของราคา ของแท่งราคานั้น.. หมายความว่า  หากแท่งราคาใด ที่มี Volume ปริมาณมากๆ และมีการ เคลื่อนที่ ข้ามช่องราคาอย่างรวดเร็ว แล้ว momentum หรือ MACD ของแท่งราคานั้นจะมีปริมาณ ที่มากด้วยเช่นกัน



MACD เป็น ค่าที่เกิดจาก EMA  2 เส้น ตัดกัน และ มี Signal Line เป็น ค่าเฉลี่ยของ MACD
รายละเอียด ของ MACD ดังนั้น อัตราเร่งของ MACD เปลี่ยนไป ตามเวลาของแต่ละแท่งราคา จึงเป็น การสะท้อนถึงแรงผลักดัน ของ ราคาที่จะตามมาในอนาคต..
MACD ขึ้น เร็ว แรง ... หมายถึง momentum สูงมาก ...  ราคา จะพุ่ง ทะยาน รุนแรง
MACD ไม่ ค่อย ขึ้น ... หมายถึง momentum อ่อนแรง ... ราคา จะเข้าสู่ช่วงชะลอตัว
MACD ลดลง เร็ว แรง ... หมายถึง momentum แรงมาก ...  ราคา จะปักหัวลง อย่างรุนแรง

MACD Show Direction
หนึ่งในนั้น ผมใช้ MACD แยะแยก Direction  กับ Non-Direction(ไม่ไช่หมายถึง Impulse กับ Corrective wave นะครับ)ถ้าแท่งราคา เคลื่อนตัวแบบ Direction แล้ว MACD จะเป็น  ภูเขาส่วนจะเป็น ภูกระดึง หรือ ภูชี้ฟ้า หรือ เอเวอเรส ก็สุดแล้วแต่ Momentum ของ ราคาในช่วงนั้นๆถ้าแท่งราคา เคลื่อนตัวแบบ Non-Direction แล้ว MACD จะเป็น ทะเลสาบ ส่วนทะเลสาบ จะ สงบเงียบ หรือมีระลอกคลื่นพริ้วไหว หรือ คลื่นลมแปรปรวน ก็ขึ้นอยู่กับ pattern ของการเคลื่อนที่ของแท่งราคา


จากภาพ จะเห็นว่า มีภูเขา สีฟ้า 2 ลูก ลูกเล็ก จะยอดไม่แหลม ออกแนว ภูกระดึง
ส่วนภูเขาอีกลูก ปลายแหลม เสียดฟ้า เหมือนดั่งยอดเขา เอเวอเรส  ซึ่งภูเขาเหล่านี้ จะพบได้ตาม Impulse Wave ต่างๆ ส่วน ทะเลสาบ สีแดงเลือด ที่ยืดยาว มีคลื่นลม ให้เกิดระลอกคลื่น ปั่นป่วนพอประมาณ แบบนี้ มักพบเห็น ตาม Complex corrective wave


คราวนี้ ไม่ได้มีแต่ทะเลสาบ สีเลือด หรือ ภูเขา เหยียบเมฆ แต่จะได้เห็น ภูเขาน้ำแข็ง ที่จมอยู่ใต้ทะเลด้วยการพบภูเขาน้ำแข็ง ขนาดใหญ่ๆ นั้น แสดงให้เห็น ว่า Direction เป็น ทิศทางลง อยู่ ในขณะนี้     จากภาพ จะเห็น ว่า ภูเขา ลูกสุดท้าย ด้าน ขวามือสุด เป็นภูเขาที่ สลับซับซ้อน Complex มีเนินเขา น้อยใหญ่ซ้อนทับกันอยู่ ทำท่าเหมือนจะลงเนิน แต่ลงมายังไม่ทัน ถึงพื้นเลย ก็ต้องกลับขึ้นเนินไปอีกรอบและยังเป็น การขึ้น เนินอยู่อย่างต่อเนื่อง ยังไม่เห็นยอดเนินสุดท้ายเลย ว่าจะสูงเท่าไหร่พาไปเที่ยว ภูเขา มาหลายที่แล้ว วิวสวยๆ แบบนี้ ใครมีโอกาสพบเห็น ถ้าเอา แต่นั่งดู (จอ) แล้ว ก็บอกว่า สวยๆ แต่ไม่ลงมือ เด็ดดอกไม้ริมทาง มาบ้าง ก็คงไม่ได้ อะไร ติดไม้ติดมือ มาเป็น กำไร อย่างแน่นอน

ดังนั้น ใครพบ MACD  พวกที่ มุดน้ำ มาแต่ไกลๆ แล้ว ออกอาการ "ขึ้นเหนือน้ำ" (เขียวแดนบวกอันแรก)แล้ว ชวนลูกค้า ทำท่า จะขึ้นเขา (เขียวต่อเป็นแท่งที่ 2-3) อย่าลืม ตามเขาขึ้นรถไปด้วยนะครับ เพราะถ้าออกรถไปแล้ว (เขียวแท่งที่ 5-6) มันจะตกรถนะครับ

ที่เปรียบเทียบ  อาการ "ขึ้นเหนือน้ำ" ไปนั้น ก็คือ สัญญาณ MACD ตัด 0 - (ศูนย์) ซึ่งเป็นสัญญาณที่สำคัญอย่างนึง ของ MACD นั่นเอง  ถ้า จะเล่น Short ก็กลับทิศ MACD นะครับ

1. MACD ตัด ศูนย์ --> ซื้อ


วิธี สังเกต ดังนี้
1.1 MACD ตัดศูนย์ อันแรก ให้ติดตามใกล้ชิด
1.2 MACD อันต่อมา ทำสูงขึ้นกว่าอันแรก และ แท่งราคา ทำยอดสูงกว่าแท่งก่อนหน้า
1.3 ถ้า MACD ที่ สอง มากกว่า อันแรก เกิน 2 เท่า --> ซื้อ
      เช่น อันแรก macd = 0.60 , อันที่ 2 macd = 1.82 --> ซื้อ ครับ เพราะ momentum แรงมาก
      สังเกต จาก Volume ของอันที่สอง จะเข้ามาขึ้น กว่าอันแรก
1.4 ถ้า MACD อันที่ สอง มากกว่า อันแรก แต่ไม่มาก เกิน 2 เท่า ให้รอ อันที่ สอง
      ถ้า MACD อันที่ สาม มากกว่า อันที่ สอง --> ซื้อ ครับ จะมากกว่ามากหรือน้อย ก็ ซื้อ ครับ
1.5 สำหรับ คนที่ ดู Ticker ใหสังเกต Volume เข้ามาต่อเนื่อง มีการตบขวา ตะปบ Offer แบบไม่รอให้
      ย่อถอย ถ้าเจอแบบนี้ ให้ย้อนไปดูอาการ ตาม ข้อ 1.1 ได้เลย

เป็นวิธีการเข้าซื้อ แบบง่ายๆ ไม่ต้องคิดมาก  Short Term Trader ใช้ 60 นาที  Medium Term ใช้ Day Frameมักจะถามกันว่า แล้ว จะซื้อเท่าไหร่ ... ก็มักจะตอบไปว่า.. คุณ กล้าเท่าไหร่ล่ะ
ตอนเข้าซื้อ มี Stop Loss ไหม


บางคนก็ถามว่า ซื้อตามที่ว่า ไปแล้ว ถ้า ขึ้น อีก ซื้อได้อีกไหม
..เออ ..เพ่ ครับ .. ถ้า MACD มันขึ้นอีก สีเขียวอีก  ก็แปลว่า มันยังขึ้นได้อีก ครับเพ่ .. 
.. เพ่ คันมือ อยากซื้อ ก็เงินของเพ่ อ่ะ ครับ


1. MACD ตัด ศูนย์ --> ขาย

จากการที่ บ่นๆ อาการ ขึ้นเหนือน้ำ ของ MACD ไปแล้ว 
ทำให้รู้จัก จังหวะที่เหมาะ แก่การเข้า ที่นำไปใช้ได้จริง  ความยุ่งยากอยู่ที่ จะแยกออกไหม ว่า 
เป็นการขึ้น เหนือน้ำ แบบปลาโลมากระโดด หรือ ปลาตายลอยน้ำ  คงขึ้นอยู่กับประสบการณ์และการตัดสินใจในสถานะการณ์จริง  อย่างไรก็ตามในการเข้า ทุกครั้ง ก่อนที่จะ Order ยังยืนยัน ครับว่า กำหนด Stop Loss Criteria ทุกครั้งก่อนส่ง Order ครับ  และเพื่อเตือนตนเอง ใช้วิธีการจด Stop Loss Criteria พกติดตัวไว้นะครับ อย่าใช้การจำเพราะเมื่อยามคับขัน ความโลภ และความวุ่นวายใจ มันจะไปบดบัง ความทรงจำของเรา ทำให้ ไม่ตัดสินใจ
สุดท้าย ก็จะมานั่ง บ่นกับตัวเอง ว่า "กูว่าแล้ว" หรือ "รู้ งี้ ..."  พร้อมกับเงินทุน ที่ลดลงไป
มาดู การถอย อย่างเป็นระบบกันบ้าง เพราะการถอยเป็น สิ่งสำคัญ ที่จะ ทำให้ ได้ กำไร และไม่ขาดทุนมาก  น้อยคนนักที่ จะมี บุญมา แต่ชาติที่แล้ว มีเทพดลใจ ติดตัว มีพรายกระซิบ ให้รู้ว่า ต้องขายทำกำไรแล้ว   เพราะส่วนใหญ่ เราทำกรรมกันมามากกว่า จึงต้องมาชดใช้ ให้ กับเขาไป ในตลาด

ก็ตอนมันขึ้น ไม่ขาย .. (เดี๋ยวมันก็ขึ้น อีก ก็ขายหมูกันพอดี)  พอมันลง ก็ไม่ขาย.. (ลงนิดเดียวเดี๋ยวมันก็ขึ้น) ก็จิตใจ + ความโลภ ก็พา เราไปในสิ่งที่ อยากให้มันเป็นไป
ขุนศึก จะเข้าสนามรบ ไม่เตรียมทางถอยไว้ หรือเตรียมรับมือเหตุเปลี่ยนแปลงไว้ ฉันใด 
ไม่ต่างกับ การเข้า ซื้อ โดยที่ ไม่ได้เตรียมไว้ ว่า จะขาย ตรงไหน หรือ ถอยออกมายังไง ไม่ให้สูญเสียมาก
ดังนั้น หลักยึด ในการถอย เป็น วินัยอันสำคัญ ที่ต้องพึงกระทำ อย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อพบสัญญาณ เกิด ขึ้น ต้องถอย ทันที โดยไม่ต้องหาเหตุผล .. ถอยก่อนหาเหตุผลทีหลัง ครับ
สัญญาณ ในการถอย ที่กล่าวนั้น มี เพียงอันเดียว ครับ
ดังนั้น MACD ตก Signal Line (โดยเฉพาะใน Day)  โยน ครับ
  มาดูภาพ ตัวอย่างกัน นะ

สิ่งที่มักจะถูกถาม ก็คือ

ถ้า MACD ถอยลงมา และราคา ก็ย่อ ลงมา ต้องทำยังไง

ตอบว่า กรุณาเฝ้า และ กัดฟันไว้แน่นๆ ครับ
เพราะ ถ้า MACD ถอยลงมา (เป็นสีแดง) แต่ไม่ต่ำกว่า Signal Line มันยังมีโอกาส กลับขึ้นไปได้ ครับ

แต่ถ้า MACD ถอยลงมา แท่งแรกยังไม่ต่ำกว่า  แท่งที่สอง มาใกล้ Signal Line  ต้องจับตาเลย ครับ
พอ แท่งที่สาม ลง ต่ำกว่า Signal Line แล้ว   ก็เลิกหวัง ครับ โยน ทิ้ง ได้เลย
มันเหลือโอกาสน้อยนิดมากๆ ที่จะกลับขึ้นไปใหม่

อีกคำถามที่มักจะถูกถาม และถามตัวเองบ่อยๆ ว่า 
ถ้าโยนไปแล้ว และมันก็ลงต่อไปแล้ว อีกหลายวัน แล้ว ราคา ก็เด้งกลับขึ้นมา จะทำยังไง? เข้าใหม่ได้ไหม? และจะเข้าตรงไหนดี?

ตัวอย่างที่เอามาอธิบาย มันค่อนข้างไปทาง Impulse มี Direction ชัดเจน
ลองอีกสักอัน ก็ได้ อันนี้ มาแนว Corrective แกว่งขึ้น ลงไปข้างๆ แต่ก็ใช้ได้ ค่อนข้างดี

ลูกศร สีฟ้า   คือ จุดที่ จะเข้าซื้อ
ลูกศร สีชมพู คือ MACD ขึ้นเหนือน้ำ  ให้ เข้าซื้อ ใหม่ 
ลูกศร สีแดง คือ Take Profit or Stop Loss

บทความอื่นๆ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐศาสตร์แห่งความจริง






การประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นหรือในธุรกิจนั้น เหมือนกับการวิ่งมาราธอน ใครมีหลักการ วิธีการที่ดีที่ถูกต้อง จะเป็นผู้ชนะในที่สุด แต่ในระยะสั้นๆอาจถูกวิ่งแซงโดยคนที่มีหลักการวิ่งที่ผิดก็ได้

ในตลาดหุ้นนั้นหลักการที่ถูกต้องวิธีหนึ่งคือ ทฤษฎีของวอเรน บัฟเฟต ที่ทำกำไรจากตลาดหุ้นด้วยการมองหุ้นเหมือนการมองธุรกิจ และกำลังซื้อธุรกิจ ไม่ได้ซื้อหุ้น ส่วนหลักการที่ผิด คือการพยายามทำกำไรจากการกะเก็งวงจรของตลาดหุ้นทั้งในระยะสั้นๆหรือกลางๆก็ตาม

ส่วนเราจะรู้ได้อย่างไรว่าหลักการใดถูกหรือหลักการใดผิดซึ่งก็คือให้ดูว่า หลักการใดไกล้เคียงกับหลักการของธรรมชาติและเรียบง่าย หลักการนั้นจะถูกต้องเสมอ ซึ่งไม่ใช่การทำกำไรจากตลาดหุ้น ด้วยการกะๆเก็งๆว่าจะขึ้นหรือลงและร่ำรวยได้อย่างมั่นคงโดยไม่ต้องทำงานหนักแน่ๆ เพราะถ้าทำได้จริง ก็คงไม่ต้องทำงานกันแล้ว หาความมั่นคงร่ำรวยจากตลาดหุ้นด้วยการกะเก็งๆวงจรกันดีกว่า ถามใจตัวเองดูก็รู้ว่า เล่นหุ้นมากี่ปีด้วยวิธีนี้บวกลบคูณหารดูแล้วได้กำไรซักแค่ไหน หรือขาดทุน พอหุ้นขึ้นเรามีหุ้นน้อย พอหุ้นลงเรามีหุ้นเต็มพอร์ท

ดังนั้นถ้าอยากชนะและได้กำไรจากตลาดหุ้นด้วยการกะเก็งวงจรว่าหุ้นจะขึ้นจะลงเมื่อไหร่นั้น วิธีคิดเราจะธรรมดาๆไม่ได้ เราจะต้องมีวิธีคิดที่พิเศษเท่านั้น จึงจะเป็นไปได้ ซึ่งก็คือทฤษฎีผลประโยชน์ ลองศึกษาดูนะครับ หรือใช้วิธีคิดของวอเรน บัฟเฟต ก็ได้ ส่วนการพยายามกะเก็งว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง ด้วยเหตุผลธรรมดา ด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิค ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารเหตุการ์ณที่เข้ามากระทบนั้น ทำไม่ได้หรอกครับ เนื่องจากสลับซับซ้อนเกินไป อีกทั้งราคาหุ้นไม่จำเป็นต้อง react กับข้อมูลข่าวสารอย่างตรงไปตรงมาในเฉพาะหน้าของมันแน่ ข่าวดีหุ้นลง ข่าวร้ายหุ้นขึ้นก็เป็นไปได้ เนื่องจากเป็นตลาดที่มีสัดส่วนของการเก็งกำไรที่สูงครับ





รูปแบบกราฟแท่งเทียน

รูปแบบกราฟแท่งเทียน (CandleStick Chart Pattern)

What 's Candle Stick Chart ? กราฟแท่งเทียนคืออะไร
กราฟแท่งเทียนเป็นกราฟที่แสดงราคาของหุ้นตัวนั้น ซึ่งจะแสดงราคาเปิด ( Open Price ) ราคาปิด(Close Price) ราคาสูงสุด ( High Price) และราคาต่ำสุด( Low Price ) โดยต้นกำเนิดของกราฟแท่งเทียนมาจากประเทศยี่ปุ่นโดยมีประวัติย้อนหลังยาวนานมาก โดยนาย Munehisa Homma เป็นผู้คิดค้นจากการวิเคราะห์จิตวิทยาของคนในการซื้อชายและกำหนดราคาข้าว และเขาได้เขียนหนังสือไว้สองเล่มคือ Sakata  Henso และ Soba No Den เมื่อประมาณ พ.ศ. ที่ผ่านมาประเทศกลุ่มตะวันตกทั้งหลายได้เห็นถึงประสิทธิภาพจึงได้นำมาประยุกต์ใช้กับตลาดหุ้น ตลาดซื้อขายล่วงหน้า ตลาดเงินตราระหว่างประเทศ โดยรูปแบบต่างๆของกราฟแท่งเทียนนั้นมีอยู่ด้วยกันมากกว่า 50ประเภท แต่เรานำมาประยุกต์ใช้กับตลาด ณ ปัจจุบันเพียงและเกิดขึ้นบ่อยๆ เพียงแค่บางส่วนเท่านั้น

รูปร่างทั่วไปของแท่งเทียน  General Of CandleStick Sharp
แท่งเทียนจะประกอบด้วย ราคาปิด ราคาเปิด ราคาต่ำสุด ราคาสูงสุด ซึ่งระยะระหว่างราคาปิดและราคาเปิดเราจะเรียกว่า ตัวแท่ง ( Body)  ใส้เทียนด้านบน คือ Upper Shadow และ ใส้เทียนด้านล่าง Lower Shadow  



ลักษณะของแท่งเทียนมีอยู่ สาม แบบ คือ

1. แท่งเทียนขาขึ้น Bullish Candlestick  ลักษณะของแท่งเทียนขาขึ้นนี้ ราคาปิดจะอยู่สูงกว่าราคาเปิด
bullish candlestick แท่งเทียนขาขึ้น
2.แท่งเทียนขาลง Bearish Candlestick ลักษณะของแท่งเทียนขาลงคือ ราคาปิดจะต้องต่ำกว่าราคาเปิด
bearish candlestick แท่งเทียนขาลง


  3.Doji โดจิคือ ราคาเปิดและราคาปิดของแท่งเป็นราคาเดียวกัน หรือ อยู่ใกล้เคียงกันมากๆ



  doji ราคาปิดและราคาเปิดอยู่ตำแหน่งเดียวกัน



 รูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Pattern ) มีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ
   1.รูปแบบของแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candlestick Pattern)
   2.รูปแบบของแท่งเทียนขาลง (Bearish Candlestick Pattern)
   3.รูปแบบของแท่งเทียนแบบต่อเนื่อง (Continuous Candlestick Patern)

   รูปแบบกราฟแท่งเทียนที่มักจะพบบ่อยที่สุด มีดังนี้

         โดยปกติแล้ว รูปแบบของแท่งเทียนมีเยอะมาก มากกว่า 50 รูปแบบ ถ้าจะให้เราจำหมด ก็คงไม่ไหว วันนี้ผมจึงเอาเฉพาะรูปแบบที่พบบ่อยบนกราฟของเรามาให้ดูกันครับ ว่าแต่ละตัวบอกถึงอะไร สื่อความหมายว่าอย่างไร การดูแท่งเทียนเป็นวิธีการที่ดีที่ใช้ในการวิเคราะห์หุ้น หรือ ฟอเร็กซ์ และเพื่อความแม่นยำให้กับการวิเคราะห์กราฟของเรา เราก็ควรจะใช้รูปแบบของกราฟแท่งเทียนร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น Indicator , Fibonacci , Trendline , Moving Average และ รูปแบบกราฟโดยทั่วไป เราสามารถประยุกต์กราฟแท่งเทียนเข้ากับเครื่องมือเหล่านี้ได้ 
        
       10 อันดับที่พบบ่อยของ รูปแบบกราฟแท่งเทียน

Dark Cloud Cover and Piercing Line:  เป็นแท่งเทียนตามด้วยแท่งเทียนสีดำ ราคาเปิดของแท่งสีดำจะเปิดสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งสีขาวและราคาปิดของแท่ง สีดำจะปิดต่ำกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งสีดำ รูปแบบนี้เป็นสัญญาณการกลับทิศจากแนวโน้มขาขึ้นกลายเป็นแนวโน้มขาลง (Bearish Reversal Signal) แต่ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนสีดำ ปิดสูงกว่าจุดกึ่งกลางของแท่งเทียนสีข่าว ให้เรารอสัญญาณยืนยันของแท่งเทียนสีดำอีกแท่ง ถ้าราคาปิดของแท่งเทียนอีกแท่งปิดต่ำกว่ากึ่งกลางของแท่งสีขาว ก็เป็นสัญญาณการกลับตัวเป็นตลาดขาลงเป็นแท่งเทียนสีดำ ตามด้วยแท่งเทียนสีขาวที่มีราคาเปิดต่ำกว่าราคาปิดของแท่งเทียนสีดำ แต่แท่งเทียนสีขาวสามารถทำราคาปิดสูงกว่ากึ่งกลางของแท่งเทียนสีดำ รูปแบบนี้เป็นรูปแบบการกลับตัวการกลับตัวของกราฟจากขาขึ้นเป็นกราฟขาลง และรูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่ตรงข้ามกับ Dark Cloud Cover



Doji:  เป็นกราฟแท่งเทียนที่มีราคาเปิดและราคาปิดอยู่ในราคาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกันมากๆ เราก็ถือว่ากราฟแท่งเทียนนั้นเป็นโดจิ ลักษณะของมันจะคล้าย เครื่องหมาย บวก เครื่องหมาย ลบ กากบาท ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกเรียกว่า โดจิ  ถ้าเกิด โดจิ ขึ้นกับกราฟของเรา นั่นคือสัญญาณบอกเราว่า ราคากำลังจะเปลี่ยนจากแนวโน้มเดิม โดยทั่วไปแล้ว เราจะดู โดจิเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูแท่งเทียนถัดมาอีกแท่งเพื่อเป็นสัญญาณยืนยันของแนวโน้มนั้น


Engulfing Pattern: ในสภาวะที่เป็นตลาดขาลงเราจะเป็นว่าแท่งสีดำ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเปลี่ยนแท่ง ราคาจะกระโดดโดยที่ราคาเปิดของแท่งสีขาวจะอยู่ต่ำกว่าราคาปิดของแท่งสีดำ และมีแรงซื้อเข้ามาทำให้เราราปิดของแท่งสีขาวสูงกว่าราคาสูงสุดของแท่งสีดำ นี่คือ ตลาดกำลังจะกลับตัวจากแนวโน้มลงเป็นแนวโน้มขาขึ้น ลักษณะรูปแบบแท่งเทียนแบบนี้เรียกว่า Engulfing Bullish  Engulfing Pattern จะประกอบด้วย 2 รูปแบบคือ Engulfing Bullish และ Engulfing Bearish 



 Evening Star: โดยทั่วไปแล้วรูปแบบแท่งเทียนนี้จะเป็นการกลับตัวของกราฟจากแนวโน้มขาขึ้น กลายเป็นแนวโน้มขาลง โดบรูปแบบนี้จะประกอบด้วยแท่งเทียนสามแท่ง แท่งแรกเป็นแท่งเทียนสีขาวยาวๆ และตามด้วยแท่งเล็กๆ ที่เกิดการกระโดดขึ้นไปอยู่บนยอด (gap) และมีขนาดเล็กๆ ราคาปิดและราคาเปิดของแท่งเทียนที่สองจะอยู๋ใกล้เคียงกัน จากนั้นก็เกิดช่องว่าง(gap)เปลี่ยนเป็นแท่งที่สามเป็นแท่งสีดำยาวๆ นี่คือลักษณะของ Evening Star นอกจาก Evening Star แล้วก็ยังมี Morning Star โดยหลักการก็ตรงกันข้ามกับ Evening Star



Hammer and Hanging Man: เมื่อตลาดอยู่ในสภาวะขาลงมีแท่งเทียนสีดำลงมาเรื่อยๆ จากนั้นราคาได้ดีดตัวขึ้นจากจุดต่ำสุด โดยลักษณะของแท่งเทียนจะเป็นแบบตะปู โดยที่มีราคาปิดจะปิดสูงกว่าราคาต่ำสุดลักษณะนี้เราจะเรียกว่า Hammer  Hammer มักจะบอกเราอยู่เสมอว่า ราคากำลังจะเปลี่ยนจากแนวโน้มขาลงกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้น รูปแบบของ Hanging man จะคล้ายกับ Hammer แต่จะเกิดกับแนวโน้มขาขึ้น ถ้าเกิด Hanging man กราฟมันกำลังบอกเราว่า แนวโน้มกำลังจะเปลี่ยนจากขาขึ้นกลายเป็นขาลง ให้รอสัญญาณยืนยันจากแท่งเทียนขาลงอีกแท่ง




   Harami: รูปแบบนี้จะประกอบด้วยแท่งเทียนสองแท่งแท่งเทียนขาขึ้นสีขาวและแท่งเทียนสี ดำ เมื่อมีแท่งเทียนปิดตัวลงได้เกิดแท่งเทียนสีดำเล็กขึ้น โดยแท่งเทียนสีดำอยู่ระหว่าง Body ของแท่งเทียนสีขาว แท่งเทียนแบบ Harami นี้จะบอกการกลับตัวจากแนวโน้มเดิมHarami จะประกอบด้วย 2 รูปแบบคือ Bullish Harami และ Bearish Harami  ตัวอย่างด้านบนเป็น Bullish harami




Morning Star: รูปแบบของแท่งเทียนแบบ morning star จะดูกันแค่ 3 แท่ง รูปแบบนี้เอาไว้ดูการกลับตัวของกราฟจากขาลงเป็นขาขึ้น (Bullish Reversal candle pattern) จะประกอบแท่งเทียนสีดำยาวๆ ซึ่งเป็นแท่งเทียนขาลงและ ตามด้วยแท่งเทียนสั้นๆ ที่เกิด gab ด้วย เมื่อมีแท่งสั้นๆตรงกลางแล้ว ตามด้วย แท่งเทียนสีขาว แท่งเทียนสีขาวที่เกิดขึ้น ราคาปิดของแท่งเทียนสีขาวต้องปิดสูงกว่ากึ่งกลางของแท่งเทียนสีดำ




Shooting Star: รูปแบบนี้จะตรงข้ามกับรูปแบบของ Hammer แท่งเทียนแท่งแรกเป็นแท่งเทียนขาขึ้น และตามด้วยแท่งเทียนที่มีราคาปิดและเปิดอยู่ใกล้ๆกับราคาต่ำสุด รูปแบบนี้จะบ่งบอกเราว่ากราฟกำลังจะเปลี่ยนแนวโน้มจากขาขึ้นมาเป็นแนวโน้มขา ลง
    
   ทริคในการเทรดโดยรูปแบบแท่งเทียน ของ 9professsionaltrader
   เรา สามารถดูแท่งเทียนเพียงอย่างเดียวในการเทรด ได้ แต่เพื่อความแม่นยำ ควรจะดูควบคู่ไปกับ Indicators หรือ เครื่องมืออื่นๆไปด้วย เช่น 
   1.ผม จะดูรููปแบบของแท่งเทียนควบคู่ไปกับการดู Overbought Oversold  เมื่อ Indicators บอกเราว่า ราคาได้ Oversold แล้ว ก็จะมาดูที่ราคา แล้วรอจนกว่าราคาจะเกิดแท่งเทียนกลับตัวเป็นแท่งเทียนขาขึ้น หรือเป็นรูปแบบกราฟแท่งเทียนขาขึ้น (Bullish Candle Pattern) จากนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะซื้อ (Buy) 
   2.ดู รูปแบบแท่งของแท่งเทียนควบคู่ไปกับ Trendline  เมื่อราคาลงมาชนเส้นแนวโน้มขาขึ้น (Support Trendline or Uptrendline) พอมันลงมาชนแล้วเด้งขึ้น แล้วเราก็รอดูราคาปิดของแท่งเทียน ถ้าราคาปิดสูงกว่า กึ่งกลางของแท่งก่อนหน้านั้น แล้วเราจึงสินใจ Buy  (ในกรณีที่ราคาขึ้นไปชนแนวโน้มขาลง(Resistance Trendline)  ก็ทำตรงข้ามกัน)
   3.ดู รูปแบบแท่งเทียนควบคู่กับ แนวรับแนวต้านจากราคาในอดีต และ Fibonacci เมื่อราคาแตะแนวรับแนวต้าน ให้เราสังเกตลักษณะแท่งเทียน ถ้าชนแนวเด้ง นั่นหมายความว่า ราคามีโอกาสกลับตัว แต่ถ้าชนแล้วผ่านฉลุย ปล่อยให้ราคามันวิ่งไป อย่าไปแตะมัน

สรุปรูปแบบการกลับตัวจากสัญญาณแท่งเทียน




วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

Trend line ความยิ่งใหญ่ที่แสนเรียบง่าย ...

สอนการวิเคราะห์ทางเทคนิคฟรี





Trend line ความยิ่งใหญ่ที่แสนเรียบง่าย ...

แหม ! เราจั่วหัวข้อซะสวยหรูเลย ... แต่จริง ๆ แล้ว เนื้อหาในกระทู้นี้ ก็คงจะไม่มีอะไรมากมายสำหรับคนที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่เราคิดว่า มันอาจจะมีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มหัดเล่นกราฟใหม่ ๆ
บทความนี้เราคงจะเขียนยาวพอสมควรอยู่เหมือนกัน ดังนั้นภาพกราฟที่ใช้เป็นตัวอย่าง จะเป็นภาพกราฟในอดีตทั้งสิ้น และก็ไม่รู้ว่าจะเขียนได้จบหรือไม่ ถ้าหากเขียน ๆ แล้วเนื้อหามันเกิดยาวมากเกินไป เราก็คงจะเขียนแบ่งเป็นหลาย ๆ บทความล่ะนะ
ว่าแล้วเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา เราก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพราะคงจะไม่มีใครอยากมานั่งฟังเราอารัมภบทนานนักหรอก
... Trendline ... เห็นชื่อของมัน เราก็คงจะบอกกันได้อยู่แล้วว่า หน้าที่หลักของมัน คือ ใช้แสดงให้เราได้เห็นถึง เทรน หรือแนวโน้มทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งสำหรับคนที่เล่นกราฟเทคนิคแล้ว เรื่องของ Trend หรือแนวโน้ม นั้น จัดได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากต่อการวิเคราะห์หุ้นเรื่องหนี่งเลยทีเดียว และเรื่องการใช้ Trendline ในการวิเคราะห์หุ้น ก็ถูกจัดได้ว่าเป็นความรู้พื้นฐานที่คนเล่นกราฟทุกคนควรจะต้องมีติดตัวไว้ด้วย
Trendline นับได้ว่าเป็นเครื่องมือทางเทคนิคในยุคแรก ๆ ชนิดหนึ่งที่มีความเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ในความเรียบง่ายนี้ล่ะ มันกลับสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานเวลาเทรดได้อย่างมากมายมหาศาล ชนิดที่เรียกกันว่า ใช้งานจริงได้ตั้งแต่มือใหม่หัดเทรด ไปยันถึงพวกรุ่นเก๋ามือโปร กันเลยทีเดียว

ประโยชน์ของ Trendline ที่แสนจะดูเรียบง่ายนี้ มันมีเยอะแยะมาก ตั้งแต่ใช้บอกแนวโน้มทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น , ใช้เป็นแนวรับ - แนวต้านทางเทคนิค , ใช้เป็นตัวให้สัญญาณซื้อ - ขาย , และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือประยุกต์คู่กันกับเครื่องมือทางเทคนิคชนิดอื่น ๆ อีกมากมายอย่างหลาย

ทีนี้เราก็มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า ว่า Trendline พื่้นฐานที่คนเล่นกราฟอย่างพวกเราควรจะทำความรู้จักกันไว้ มันมีอะไรบ้าง ลากกันยังไง และใช้งานอย่างไร
เรามาเริ่มต้น เส้นเทรน ชนิดแรกกัน ... เส้นเทรนชนิดนี้ เราเรียกกันว่า เส้นแนวต้าน หรือ Resistance Line เส้นชนิดนี้ เราก็สามารถลากได้ทั้ง 3 แนวโน้ม คือ แนวโน้มขาขึ้น ( Up Trend ) , แนวโน้มขาลง ( Down trend ) และแนวโน้มไซด์เวย์ ( Sideway Trend )

มาเริ่มกันที่ เส้นแนวต้านในแนวโน้มขาลง กันก่อน ( เส้นนี้ บางทีคนเล่นกราฟก็มักจะชอบเรียกกันว่า เส้นกดหัว )


หลังจากที่เราได้ จุดสูงลดต่ำขึ้นมา 2 จุดแล้ว เราก็ลากเส้นตรงเฉียงลงตัดจุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 2 จุด ที่เราได้กำหนดขึ้นมา ก็จะได้เป็น เส้นแนวต้านในเทรนขาลงตามภาพที่เห็นต่อไปนี้


เส้นแนวต้านนี้ชื่อของมันก็บ่งบอกอยู่ในตัวอยู่แล้ว ว่ามันใช้ประโยชน์ในการเป็นแนวต้านของราคาหุ้น หากราคาหุ้นมีการดีดตัวขึ้นมาทดสอบเส้น แล้วผ่านได้และยืนอยู่ ( การผ่านได้และยืนอยู่นั้น หมายถึง เมื่อราคาดีดตัวขึ้นทดสอบเส้นแนวต้าน และทะลุผ่านเส้นขึ้นไปได้ ในระยะสั้น ๆ มันจะต้องไม่ไหลกลับลงมาอยู่ใต้เส้นอีก เราจึงจะเรียกว่า ผ่านได้ และยืนอยู่ แต่หากราคาดีดตัวขึ้นทะลุเส้นได้ แต่ในระยะสั้น ก็ไหลกลับลงมาอยู่ที่ใต้เส้นอีก เราจะเรียกว่า ผ่านได้แต่ยืนไม่อยู่ ) หุ้นก็อาจจะมีการเปลี่ยนเทรนเป็นขาขึ้น หรือไซด์เวย์ต่อไป

แต่ถ้าหาก ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นทดสอบเส้นแนวต้าน แต่ผ่านไม่ได้ หรือผ่านได้แต่ยืนไม่อยู่ ราคาก็จะยังคงไหลไปในแนวโน้มเดิมต่อไป

เส้นแนวต้านในเทรนขาลงนี้ เป็นเส้นที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก คนเล่น Trendline หลาย ๆ คน ก็มักจะชอบใช้มันเป็นเครื่องมือในการเลือกหุ้นเอาไว้เทรด เนื่องจากการ Break ( ราคาหุ้นขึ้นทดสอบและทะลุผ่านเส้นได้ เราเรียกกันว่า การ Break ) เส้นนี้ได้ ส่วนมากก็มักจะเป็นการกลับแนวโน้มจากขาลง เป็นขาขึ้นหรือไซด์เวย์ หลาย ๆ คนจึงชอบมีการ ซื้อหุ้น เมื่อราคา เริ่มจะ Break เส้นกดหัวนี้
ต่อไป เราก็มาดูเส้น แนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน กันบ้าง
การลากเส้น แนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน นั้น ก็คล้าย ๆ กันกับเส้นกดหัวนั่นล่ะ ก่อนอื่นก็ให้เราหา จุดสูงสุดที่มียอดเสมอกัน ที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุด ( Dubble Top ) ก่อน

ซึ่งถ้าดูในตัวอย่างตามภาพนี้ ก็จะเป็นตำแหน่งที่อยู่ในวงสีแดง ที่เราได้วงเอาไว้


เมื่อเราได้จุด จุดสูงสุดที่มียอดเสมอกัน 2 จุดตามภาพนี้แล้ว ก็ให้เราลากเส้นตรงแนวนอนตัดผ่านจุดทั้ง 2 ที่กำหนดไว้ เมื่อลากเสร็จ เราก็จะได้ เส้นแนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน ออกมาตามตัวอย่างที่เห็นในภาพต่อไปนี้


เส้น แนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน นี้ จัดได้ว่า เป็นเส้นที่ใช้งานจริงได้ดีมาก ๆ อีกเส้นนึงเลยทีเดียว เนื่องจากเส้นชนิดมักจะชอบถูกตีตัดผ่านบริเวณที่มักจะเป็น จุดย่ำฐานของราคาหุ้น ( จุดย่ำฐาน หมายถึง จุดที่ราคาหุ้น มักจะไปทดสอบซ้ำ ๆ บริเวณนั้นหลาย ๆ รอบ ซึ่งมักจะทำให้แนวราคาที่บริเวณนั้นเป็นแนวรับหรือแนวต้านที่ค่อนข้างมีความแข็งแรงมากกว่าจุดอื่น ๆ ) และถ้าหากราคาหุ้นมีการ Break เส้นแนวต้านชนิดนี้ขึ้นไปได้ ราคาหุ้น ก็มักจะชอบมีการวิ่งแรงในทันที และหลาย ๆ ครั้ง ในขณะที่กำลังข้ามเส้นชนิดนี้ ก็อาจจะมีการกระโดดขึ้นของราคาหุ้น ( เกิด Gap )ประกอบเข้ามาด้วย
เส้นชนิดนี้ เป็นเส้นที่มักจะใช้แสดงให้เราได้เห็นถึงเทรนไซด์เวย์ หรือการไหลออกด้านข้างของราคาหุ้น ซึ่งเรื่องนี้เดี๋ยวเราคงจะมาพูดกันต่ออีกทีนึง เพราะเนื่องจากเทรนไซด์เวย์มันมีอยู่หลายแบบเหมือนกัน ถ้าอธิบายกันด้วยเส้น Trendline แค่เพียงเส้นเดียว อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่าย

และถ้าหากราคามีการดีดตัวขึ้นทดสอบเส้นแนวต้านชนิดนี้ หลาย ๆ ครั้ง ( ไม่ว่าเทรนที่ไหลมาก่อนหน้าจะเป็นขาขึ้นหรือลงก็ตาม )แล้วไม่สามารถผ่านได้ ก็ให้เราระวังเทรนที่กำลังจะตามมาจะกลายเป็นขาลงเอาไว้ด้วย ( ถ้าเทรนก่อนหน้าที่จะเกิดไซด์เวย์ เป็นขาขึ้น ถ้าราคาขึ้นทดสอบเส้นชนิดนี้ หลาย ๆ ทีแล้วไม่ผ่าน ก็ให้ระวังจะเกิดการกลับเทรนไปเป็นขาลง แต่ถ้าหากเทรนก่อนหน้าเป็นขาลงอยู่ เมื่อเกิดการไซด์เวย์ ราคาทดสอบเส้นแนวต้านชนิดนี้แล้วไม่ผ่านหลาย ๆ ครั้ง ก็ให้ระวังหลังจากจบการไซด์เวย์แล้ว หุ้นจะยังคงเป็นเทรนขาลงต่อไป )
ต่อไปก็มาดูเส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้นกันต่อจ๊ะ ... ( จะไปต้านมันไว้ทำไมก็ไม่รู้ มันจะขึ้น ก็ปล่อยให้มันขึ้นไปไม่ดีกว่าเหรอ )
เส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้น หรือชื่อเล่นอีกอย่างของมันก็คือ เส้นไต่ระดับ นั่นเอง เส้นชนิดนี้ เราก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ถ้าเป็นเส้นเดียวโดด ๆ คนเล่นกราฟ เขาก็ไม่ค่อยจะนิยมนำมาใช้งานกันจริง ๆ ซักเท่าไหร่นัก เนื่องจากมันไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรมากนัก ส่วนมากถ้ามีการใช้เส้นนี้ในการใช้งานจริง มันก็มักจะถูกใช้เป็นเส้นคู่ในลักษณะของเส้นคู่ขนาน ( Channel ) ซะมากกว่า แต่ถ้าใครอยากจะตีเส้นชนิดนี้ไว้เพื่อใช้ประมาณการการไต่ระดับของราคาหุ้น ในเทรนขาขึ้น ก็สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดหลักวิชาทางเทคนิคแต่อย่างใด

คราวนี้ เราก็มาดูวิธีลากเส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้นกัน ก่อนอื่นก็หาจุดที่มีนัยยะสำคัญ 2 จุดเหมือนเดิม แต่จุดที่หาเพื่อลากเส้นนี้ จะเป็น จุดสูงยกสูง ( Higher High ) ที่มีนัยยะสำคัญ 2 จุดจ๊ะ
ซึ่งถ้าดูตามภาพในตัวอย่างต่อไปนี้ เราก็จะเห็นมันอยู่ในส่วนที่เราได้วงไว้นั่นล่ะ


เมื่อเรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 2 จุดได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ให้ลากเส้นตรงเฉียงขึ้น ตัดผ่านจุดที่เราได้กำหนดทั้ง 2 จุดให้เรียบร้อย เราก็จะได้ เส้นแนวต้านในแนวโน้มขาขึ้น ออกมาตามภาพนี้ล่ะ


ส่วนประโยชน์ของเส้นชนิดนี้ ก็ตามชื่อเล่นของมันนั่นล่ะ คือเอาไว้ดูและประมาณการการไต่ระดับของหุ้นในเทรนขาขึ้น ซึ่งถ้าหากเทรนขาขึ้นยังคงตัวไปในแนวโน้มเดิมของมันต่อไป มันก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะวิ่งขึ้นไปทดสอบเส้นไต่ระดับอยู่เป็นระยะ ๆ ให้เราได้เห็น อีกอย่างเส้นนี้ บางครั้ง ก็ยังสามารถใช้เป็นจุดขายหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปทดสอบเส้น แล้วไม่ผ่าน หรือ ผ่านได้แต่ยืนไม่อยู่ได้อีกด้วย
เมื่อเราได้ดูเรื่องของเส้นแนวต้านผ่านกันไปแล้วทั้งใน 3 แนวโน้ม ต่อไปเราก็มาดู เส้นแนวรับ หรือ Support Line กันบ้าง เส้นนี้สามารถลากได้ทั้ง 3 แนวโน้มเลยเช่นเดียวกันกับเส้นแนวต้าน คือ แนวโน้มขาขึ้น , แนวโน้มขาลง และแนวโน้มไซด์เวย์
เรามาเริ่มต้นทำความรู้จักกับเส้นแนวรับกันด้วย เส้นแนวรับในเทรนขาขึ้น ก่อน วิธีการลาก เส้นแนวรับในเทรนขึ้น นั้น ก็เหมือนเช่นเดิม คือให้เรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุดก่อน โดยจุดที่ว่าจะต้องมีลักษณะเป็น จุดต่ำยกสูง ( Higher Low ) ซึ่งถ้าเราดูตามภาพในตัวอย่างก็จะอยู่ในส่วนที่เราได้วงไว้นั่นล่ะจ๊ะ


พอเรากำหนดจุดที่ว่าได้แล้ว หลังจากนั้น เราก็ลากเส้นตรงเฉียงขึ้นตัดจุดที่เราได้กำหนดไว้ทั้ง 2 จุดตามภาพตัวอย่างที่อยู่ข้างล่างนี้ แค่นี้เราก็จะได้เส้นแนวรับในแนวโน้มขาขึ้นมาให้ใช้งานกันล่ะจ๊ะ



เส้นแนวรับในเทรนขาขึ้น จัดได้ว่า เป็นเส้นที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญในการใช้งานจริงมาก ๆ อีกเส้นนึงเลยทีเดียว เพราะนอกจากมันจะใช้แสดงเทรนขาขึ้นให้เราได้เห็นแล้ว มันยังสามารถใช้เป็นจุดซื้อหุ้น ในแนวโน้มขาขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งการตัดสินใจซื้อหุ้นด้วยเส้นชนิดนี้ ก็จะซื้อต่อเมื่อ ราคาหุ้นไหลลงมาทดสอบแล้วไม่หลุดแนวรับ หรือหลุดลงไปใต้เส้นในระยะสั้น ๆ แต่สุดท้ายก็สามารถกลับมายืนเหนือเส้นได้ ( การหลุดลงแนวรับลงไปในระยะสั้น ๆ แต่สุดท้ายกลับขึ้นมายืนได้อย่างแข็งแรง ก็จัดได้ว่า เป็นการเกิด Error แบบหนึ่งจ๊ะ ) คนที่เล่นตามเส้นนี้ ก็จะทำการเข้าซื้อหุ้น

นอกจากนี้ เส้นนี้ยังสามารถใช้เป็นตัวบ่งชึ้การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคาหุ้นได้อีกด้วย ซึ่งการเปลี่ยนเทรนของราคาหุ้นจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือเป็นไซด์เวย์จะเกิดก็ต่อเมื่อ ราคาหุ้นไหลลงมาทดสอบเส้นแนวรับ และเส้นแนวรับไม่สามารถรับอยู่ได้ แนวโน้มขาขึ้นก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นขาลง หรือไซด์เวย์แทน ซึ่งคนที่เล่นด้วยเส้นชนิดนี้ ถ้ามีของอยู่ในมือ ก็จะทำการขายเมื่อราคาหุ้นหลุดเส้นแนวรับลงมา และไม่สามารถกลับไปยืนอยู่เหนือเส้นนี้ได้อีก
เส้นแนวรับชนิดถัดมา คือ เส้นแนวรับแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน ซึ่งการลากเส้นชนิดนี้ ก่อนอื่น ก็ให้เรากำหนด จุดต่ำสุดที่มีส่วนท้ายเสมอกัน ( Dubble Bottom ) ที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมา 2 จุดก่อน ซึ่งถ้าดูจากภาพตัวอย่าง มันก็จะอยู่ในส่วนที่เราได้วงไว้นั่นล่ะจ๊ะ


พอเรากำหนดจุดทั้ง 2 ขึ้นมาได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราก็มาลากเส้นตรงแนวนอนตัดจุดทั้ง 2 ที่ว่า เราก็จะได้เส้นแนวรับแบบเป็นเส้นขวางแนวนอนขึ้นมาตามภาพตัวอย่าง



เส้นชนิดนี้ จัดได้ว่าเป็นเส้นที่มีความสำคัญค่อนข้างมาก และการใช้งานจริง ก็มักจะใช้ได้ผลค่อนข้างดี ( ตามรูปที่เห็นหลังจากลากเส้นแล้ว ราคาไม่เคยลงมาทดสอบที่จุดแนวรับนั้นอีกเลย เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นจุดกลับเทรนพอดี ) เนื่องจากเส้นชนิดนี้ ส่วนมากมักจะถูกลากตัดผ่านบริเวณที่เป็น จุดย่ำฐานของราคาหุ้น ซึ่งแนวบริเวณนั้น มักจะเป็นช่วงแนวรับที่มีความแข็งแรงค่อนข้างสูง


ซึ่งด้วยความที่เส้นแนวรับชนิดนี้ เป็นเส้นที่มีความแข็งแรงค่อนข้างมาก แต่ถ้าหากราคาหุ้นหลุดลงผ่านเส้นแนวรับชนิดนี้ลงไปได้เมื่อไหร่ ราคาหุ้นมักจะชอบเกิดไหลลงอย่างรุนแรง และรวดเร็ว และหลาย ๆ ครั้งการหลุดผ่านเส้นแนวรับชนิดนี้ลงไป มักจะชอบมีการหลุดลงเป็นลักษณะของเปิด Gap กระโดดลงอีกด้วย

ซึ่งเส้นชนิดนี้ ก็คล้าย ๆ กันกับเส้นแนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอนนั่นล่ะจ๊ะ คือมันจะแสดงให้เราได้เห็นถึงเทรนไซด์เวย์ ( การไซด์เวย์ อธิบายกันด้วยเส้น Trendline เส้นเดียวโดด ๆ อาจจะเห็นภาพไม่ค่อยชัดเจนนัก เราจึงขอข้ามตรงจุดนี้ไปก่อน ซึ่งเรื่องของแสดงเทรนไซด์เวย์นี้ เดี๋ยวเอาไว้เราจะเขียนอีกครั้งนึงแล้วกัน )

และถ้าหากราคามีการลงมาทดสอบเส้นแนวรับชนิดนี้ หลาย ๆ ครั้ง ( ไม่ว่าเทรนที่ไหลมาก่อนหน้าจะเป็นขาขึ้นหรือลงก็ตาม )แล้วแนวรับสามารถรับอยู่ได้ตลอด ก็ให้เราระวังว่าเทรนที่กำลังจะตามมาจะกลายเป็นขาขึ้นเอาไว้ด้วย ( ถ้าเทรนก่อนหน้าที่จะเกิดไซด์เวย์ เป็นขาลง หากราคาเกิดปรับตัวลงมาทดสอบเส้นชนิดนี้ หลาย ๆ ทีแล้วไม่ผ่าน ก็ให้ระวังจะเกิดการกลับเทรนไปเป็นขาขึ้น แต่ถ้าหากเทรนก่อนหน้าเป็นขาขึ้นอยู่ เมื่อเกิดการเปลี่ยนเทรนเป็นไซด์เวย์ ราคาลงมาทดสอบเส้นแนวรับชนิดนี้แล้วไม่หลุดหลาย ๆ ครั้ง ก็ให้ระวังว่าหลังจากจบการไซด์เวย์แล้ว หุ้นจะยังคงเป็นเทรนขาขึ้นต่อไป )
ต่อไปก็มาดู เส้นแนวรับในเทรนขาลงกันบ้าง เส้นนี้ นิยมเรียกกันเล่น ๆ ว่า เส้นลดระดับ แต่ในความเป็นจริง เส้นชนิดนี้ แบบเป็นเส้นเดียวโดด ๆ ก็มักจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้งานกันเท่าไหร่นัก ส่วนมากที่เราพบเห็นการใช้งานเส้นลักษณะนี้ ก็มักจะพบกันในรูปแบบของเส้นคู่ขนาน ( Channel ) ซะมากกว่า แต่ถึงแม้ว่า เส้นแนวรับในเทรนขาลง แบบเส้นเดียวโดด ๆ นั้น มันจะไม่เป็นที่ได้รับความนิยมในการใช้งานจริง แต่หากใครอยากลากเส้นขึ้นชนิดนี้มาเพื่อใช้ประมาณการการลดตัวของราคาหุ้น ก็สามารถใช้ได้ ไม่ได้ผิดหลักการแต่อย่างใด
การลากเส้นชนิดนี้ ก่อนอื่น ก็ให้เรากำหนด จุดต่ำลดต่ำ ( Lower Low ) ที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุดก่อน ซึ่งถ้าดูตามภาพตัวอย่างข้างล่างนี้ ก็จะเป็นส่วนที่อยู่ในจุดที่เราวงสีแดงไว้นั่นล่ะจ๊ะ


 พอเราได้จุดสำคัญทั้ง 2 จุดแล้ว ทีนี้ เราก็ลากเส้นตรงเฉียงลงให้ตัดผ่านจุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 2 จุดที่เราได้หาไว้ เราก็จะได้ เส้นแนวรับในเทรนขาลง ตามภาพตัวอย่างที่เห็นต่อไปนี้



เอาล่ะ ทีนี้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี เรื่อง Trendline แบบชนิดที่เป็นเส้นเดียวโดด ๆ กันไปแล้ว ... อ๊ะ ๆ ๆ !!! แต่บทความนี้ยังไม่จบนะจ๊ะ เพราะเดี๋ยวเราจะมาดูในเรื่องของ Trendline แบบที่เป็นเส้นคู่ขนาน ( Channel ) กันต่อ

เส้นคู่ขนาน หรือ Channel นั้น เป็นเครื่องมือสำหรับคนเล่น Trendline ที่สามารถนำมาใช้งานจริงได้เป็นอย่างดีทีเดียวเชียวล่ะ ประโยชน์ของ Channel นั้น มีมากกว่าเส้น Trendline ที่เป็นแบบชนิดเส้นเดียวโดด ๆ มากนัก อีกทั้งการแสดงให้เราได้เห็นถึงแนวโน้มของ Channel นั้น ก็ยังชัดเจนกว่า Trendline ชนิดเส้นเดียวมากนัก ... และนอกจากนั้น Channel ก็ยังสามารถนำมาประยุกต์การใช้งานเพิ่มในส่วนการของเพิ่มเส้นเทรนที่ใช้แบ่งอัตราส่วนของ Channel ที่สามารถนำมาใช้เป็นแนวรับแนวต้านย่อยได้อีกด้วย
Channel ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่า มันคือ ช่องทางที่ใช้แสดงการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ถ้าเป็นภาษาไทย เราก็จะเรียกมันว่า เส้นคู่ขนาน ดังนั้น การตีเส้น Channel นั้น เราจึงต้องตีเส้นให้เป็นเส้นขนานกันเท่านั้นถึงจะถูกต้อง หากการตีเส้น Trendline ตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไปแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นลักษณะของเส้นคู่ขนาน เราก็คงจะไม่สามารถเรียกมันว่า Channel ได้อย่างแน่นอน

ที่นี้เราก็มาดูการลากเส้น Channel ในเทรนขาขึ้นกันก่อน ก่อนอื่น ก็ให้เรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุด เหมือนการลากเส้นแนวรับในเทรนขาขึ้นแบบเส้นเดียว โดยตามภาพตัวอย่างจะเป็นจุดที่อยู่ในวงสีแดง พอเรากำหนดจุดทั้ง 2 ได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ ก็ให้เรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีก 1 จุด หรือ 2 จุดก็ได้ ซึ่งจุดที่กำหนดเพิ่มขึ้นมาอีกนั้น ก็จะเป็นจุดที่มีนัยยะสำคัญแบบเดียวกันกับการใช้สำหรับลากเส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้นอีกด้วย ตามภาพตัวอย่างที่เห็นก็จะเป็นจุดที่อยู่ในวงสีเหลือง ซึ่งจากภาพตัวอย่างนี้ จะมีการกำหนดขึ้นมาแค่จุดเดียวเท่านั้น ( บางคนอาจจะกำหนด 2 จุด ก็ได้ แต่ที่เราทำตัวอย่างกำหนดมาแค่จุดเดียวนั้น อันนี้ เนื่องมาจากว่า การลากเส้น Channel นั้น อย่างไรเสียมันก็จะต้องเป็นเส้นที่เป็นลักษณะของเส้นคู่ขนานอยู่แล้ว การกำหนด จุดที่มีนัยยะสำคัญเพื่มขึ้นมาเป็น 2 จุดนั้น ที่บางตำแหน่งเวลาใช้งานจริงอาจจะไม่สามารถกำหนดได้ ( แต่ตำแหน่งนั้นสามารถตี Channel ได้ )หรือการกำหนด 2 จุดในบางครั้งมันอาจจะได้จุดที่มีนัยสำคัญที่พอเราลากเส้นแล้ว ลักษณะของเส้นอาจจะไม่เป็นเส้นคู่ขนานกันก็ได้ การกำหนดเพียงจุดเดียว จึงง่าย และสะดวกต่อการใช้งานมากกว่า )

พอเราได้จุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 3 จุดขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยลแล้ว หลังจากนั้น ก็ให้เราลากเส้นตรงเฉียงขึ้นตัดจุดที่อยู่ในวงสีแดงทั้ง 2 แล้วหลังจากนั้นจึงลากเส้นขนานอีกเส้นนึง ( เน้นอีกทีนะจ๊ะ ว่าต้องเป็นเส้นขนานเท่านั้น )ให้ตัดผ่านจุดที่อยู่ในวงสีเหลือง โดยให้เส้นที่ 2 นี้ขนานกันไปกับเส้นแรก ก็จะเกิดเป็น Channel ที่มีเส้น Trendline ทั้ง 2 เส้นซึ่งเป็นแนวรับและแนวต้านปิดหัวปิดท้ายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ตามตัวอย่างในภาพ


เมื่อเราลองมาดูตามภาพตัวอย่างข้างบน ก็จะเห็นได้ว่า Channel นั้นมันแสดงถึงแนวโน้มของเทรนได้ชัดเจนกว่า เส้น Trendline แบบชนิดที่เป็นเส้นเดียวโดด ๆ และมันยังมีแนวรับแนวต้านอยู่ในตัวเองอีกด้วย อีกทั้ง หากมันอยู่ในเทรนขาขึ้น มันก็ยังสามารถใช้ประมาณการ การไต่ระดับของราคาหุ้น ได้อีกด้วย ซึ่งการประมาณการ การไต่ระดับของราคาหุ้นนั้น ก็จะมีการประมาณการเรื่องของระยะเวลาอยู่ภายในตัวมันเองแบบคร่าว ๆ อีกด้วยล่ะจ๊ะ

ทีนี้ เรามาทำความเข้าใจ เรื่องธรรมชาติของ Channel กันซักนิดนึงก่อนดีกว่า ... โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อเราตี Channel ขึ้นมาได้ ธรรมชาติของราคาหุ้น มันมักจะวิ่งอยู่ในกรอบบนและล่างของ Channel ไปเรื่อย ๆ ตามแนวโน้มที่เกิดขึ้น แต่หากราคามีการหลุด Channel ไป ราคาหุ้นก็อาจจะมีการเปลี่ยนแนวโน้ม หรือเปลี่ยนเส้นทางการวิ่งได้ ( ในกรณีแนวโน้มขาขึ้นนั้น หากมีการหลุดแนวรับลงมา หุ้นก็จะมีการเปลี่ยนเทรน จากขาขึ้นเป็นไซด์เวย์ หรือเป็นขาลง แต่หากหลุดแนวต้านขึ้น เส้นแนวต้านที่ถูกทะลุผ่านนั้นก็จะกลับกลายมาเป็นแนวรับทันที และราคาหุ้นอาจจะมีการทำจุด Top ใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการสร้างแนวต้านขึ้นใหม่ เราก็ใช้จุด Top ที่เกิดใหม่นั้น เป็นตัวกำหนดในการสร้าง Channel ใหม่ต่อไป ... หากเราลองดูภาพตัวอย่างข้างบน จะสังเกตุเห็นได้ว่า ในส่วนที่เป็นบริเวณปลาย ของ Channel นั้น มีการหลุดเส้น Channel ด้านบนขึ้นไป แต่ราคากลับยืนอยู่เหนือเส้นแนวต้านไม่ได้ จึงมีการกลับลงมาวิ่งต่อใน Channel เดิมอีกครั้ง ( ลักษณะการหลุดแบบนี้ หากเราไปดูในกราฟที่ไทม์เฟรมใหญ่กว่านี้ จะพบว่ามันเกิดเป็นลักษณะของการเกิดค่า Error จ๊ะ )

ทีนี้การซื้อขายด้วย Channel ทำแบบไหนดี ... อันนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละท่านด้วย แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเราเห็นแนวรับแนวต้านชัดเจนเช่นนี้ ส่วนมากก็จะมีการซื้อเมื่อราคาหุ้นสามารถยืนอยู่เหนือแนวรับได้ และขายออกเมื่อราคาไม่ผ่านเส้นแนวต้าน ( เราหมายถึงในกรณีที่เป็นเทรนขาขึ้นนะจ๊ะ ) แต่ตรงจุดนี้ บางครั้งเวลาเทรดจริง หากหุ้นมีการไหลแรงมาก ๆ ก็ควรระวัง การวิ่งไต่ใต้เส้นแนวต้านของราคาหุ้นเอาไว้ด้วยเช่นกัน ( ถ้าเจอแบบนี้ การขายเมื่อไม่ผ่านแนวต้าน ก็อาจจะมีการขายหมูกันบ้าง แต่โดยส่วนมาก หากมีการไต่ระดับใต้เส้นแนวต้าน ราคามักจะถูกประคองอยู่บริเวณนั้นไม่นานนัก ก็อาจจะมีการปรับตัวลงหาเส้นแนวรับ หรือไม่ก็อาจจะมีการ Break Out แนวต้านออกไปเลย ... ซึ่งหากมีการ Break Out ดังเช่นที่ว่า แทนที่จะขายออก เราก็ควรจะถือต่อแทน หรือ บางคนก็อาจจะมีการซื้อกลับ เมื่อราคา Break ผ่านและยืนเหนือเส้นแนวต้านได้ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละคนด้วย )
ต่อไปก็มาดู Channel ในเทรนขาลงกันบ้าง การตี Channel ในเทรนขาลงก็คล้าย ๆ กันกับในเทรนขาขึ้น ก่อนอื่นก็ให้เราหาจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้้นมา 3 จุดเป็นอย่างต่ำ เหมือนเช่นเดิม ( มาถึงตรงนี้ เราขอไม่อธิบายละเอียดมากแล้ว เพราะคิดว่า จากตัวอย่างก่อนหน้า บวกกับภาพประกอบก็คิดว่าน่าได้เข้าใจได้ไม่ยากแล้วล่ะ ) ตามภาพตัวอย่างก็เห็นที่วงไว้ในวงสีแดงและเหลืองนั่นล่ะจ๊ะ


พอได้จุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 3 จุดแล้ว ทีนี้ ก็ลากเส้นคู่ขนานตัดผ่านจุดทั้ง 3 เหมือนเช่นเดิม ก็ได้จะ Channel ในเทรนขาลงขึ้น ดังที่เห็นตามภาพ


ตามภาพที่เห็นตามตัวอย่างด้านบน ในช่วงบริเวณของปลาย Channel นั้น จะเห็นได้ว่ามีการหลุดเส้นแนวรับ ของ Channel ลงมาด้วยกันถึง 2 ครั้ง แต่การหลุดทั้ง 2 ครั้งนั้น สุดท้่ายก็มีการกลับไปยืนอยู่เหนือเส้นแนวรับได้ และราคาก็กลับไปอยู่ใน Channel เดิมอีกครั้ง

ในกรณีที่เราใช้ Channel แสดงแนวโน้มในขาขึ้นและขาลง หากเป็นขาขึ้นและ Channel ทะลุกรอบบน มันจะหมายถึงการมีแรงซื้อที่เข้ามามากกว่าปกติ หาก Channel เดิมก่อนหน้ามีความชันน้อย ก็อาจจะมีการเปลี่ยนไลน์วิ่งได้ไม่ยาก แต่ถ้าหาก Channel ก่อนหน้า มีความชันสูง การทะลุแนวต้านขึ้นด้านบน มันหมายถึงการที่มีแรงซื้อเข้ามากเกินไป ( ถ้าเป็นการดูอินดี้ ก็เรียกว่า มันเข้าเขต Overbought แล้วล่ะ ) เราก็ต้องระวังการปรับตัวของราคาหุ้นที่จะหลุดกลับมาอยู่ใน Channel เดิมเอาไว้ด้วย ... แต่หากเป็นเทรนขาลง เมื่อราคาหลุดกรอบล่างลงมา และความชันของ Channel นั้นมีไม่มาก ราคาก็อาจจะมีการเปลี่ยนไลน์วิ่งได้ แต่ถ้าหากความชันของเส้น Channel นั้นมีมาก การหลุดเส้นแนวรับของ Channel ลงไปนั้น หมายถึงการมีแรงขายที่เข้ามากเกินไป ( หากดูอินดี้ลักษณะการมีแรงขายเข้ามาเกินไปแบบนี้ก็จะคล้าย ๆ กับการเกิด Oversold )ก็ต้องระวังการเด้งกลับเข้ามาเล่นใน Channel เดิมเอาไว้ด้วย

ต่อไปเราก็มาดู Channel ในเทรนไซดเวย์กันบ้าง

การลากเส้น Channel ในเทรนไซด์เวย์ ก็ไม่ต่างจากแนวโน้มขาขึ้นและขาลงเท่าไหร่นัก ... ก่อนอื่นก็เช่นเดิม คือ กำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาอย่างน้อยซัก 3 จุด ตามภาพตัวอย่าง ก็อยู่ในวงกลมสีแดง และเหลือง



พอเรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญซัก 3 จุดได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ เราก็มาลากเส้นตรงคู่ขนานให้ตัดผ่านจุดทั้ง 3 เราก็จะได้ Channel ในเทรนไซด์เวย์ออกมาตามภาพตัวอย่าง


สำหรับเรื่อง Channel ในเทรนไซด์เวย์นั้น การใช้เส้น Channel แบบนี้ ต้องระมัดระวังในเรื่องการไม่ขึ้นทดสอบเส้นแนวต้าน และลงทดสอบเส้นแนวรับด้วย ทั้งนี้เนื่องจาก การก่อรูปแบบจำพวกไซด์เวย์ส่วนมาก มักจะมีการทำรูปแบบเป็นลักษณะของพวกรูปแบบ 3 เหลี่ยมปลายแหลมชนิดต่าง ๆ มากกว่า ดังนั้นบริเวณช่วงปลายของ 3 เหลี่ยมนั้นจึงอาจจะบีบตัวแคบลง ไม่ขึ้นหรือลงไปทดสอบแนวรับและแนวต้าน ดังนั้น การตีเส้นในเทรนไซด์เวย์ เราก็อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องใช้ Channel ก็ได้ แต่เราอาจจะหันไปใช้การตีเส้นเทรนไลน์ 2 เส้น ในลักษณะของพวก Price Pattern แทนน่าจะเป็นการเหมาะสมมากกว่า

ทีนี้ เรื่องของ Channel ก็ยังไม่จบนะจ๊ะ ... เราจะมาดูกันต่อในเรื่องของการแบ่งส่วน Channel เพื่อสร้างแนวรับแนวต้านย่อย ๆ ภายในตัว Channel กัน ...

การสร้างแนวรับแนวต้านย่อยใน Channel นั้น ก็ไม่มีอะไรมาก เราก็แค่จับ Channel ที่เราได้ตีเส้นไว้มาแบ่งส่วนก็เท่านั้นเอง

ซึ่งการแบ่งส่วนนี้ เราก็อาจจะทำได้หลายแบบ โดยอัตราการแบ่งส่วนที่นิยมใช้กันก็จะมีการแบ่งครึ่ง Channel , การแบ่ง Channel ออกเป็น 4 ส่วน และการแบ่ง Channel ออกเป็น 3 ส่วน ที่เท่า ๆ กัน ซึ่งใครจะเลือกใช้อัตราส่วนแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละคน
ทีนี้ เราก็มาดูการแบ่งแบบง่าย ๆ ก่อนแล้วกัน การแบ่งแบบนี้ ก็คือ เราจะแบ่ง Channel ออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน ( แบ่งครึ่ง ) วิธีการทำ ก็ง่าย ๆ เราก็แค่ ลากเส้นผ่ากลาง Channel เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เส้นนึงเท่านั้นเอง

ตามตัวอย่างในภาพ เป็นการแบ่ง Channel ในเทรนขาขึ้น ออกเป็น 2 ส่วน โดยเราเพิ่มเส้น 50 % เข้าไปอีก 1 เส้น ( ความกว้างของ Channel นั้น ก็เป็นระยะตามเส้นลูกศรสีเหลืองชี้ไว้นั่นล่ะจ๊ะ ) เราก็จะได้แนวรับแนวต้านย่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยนึง

หากเป็นภาพสมบูรณ์ของ Channel เวลาใช้งานจริง เราก็จะได้ตามภาพตัวอย่าง อันนี้


ในเทรนขาลงเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราลากเส้นแบ่งครึ่งเสร็จแล้ว เราก็จะได้ภาพสมบูรณ์ตามตัวอย่างนี้


ในเทรนไซด์เวย์เองก็เหมือนกัน พอเราลากเส้นแบ่งครึ่งเสร็จแล้ว ก็จะได้ภาพสมบูรณ์ตามตัวอย่างนี้



พอทีนี้ เมื่อเราแบ่งครึ่ง Channel ได้แล้ว ... ถ้าเราจะแบ่ง Channel ออกเป็น 4 ส่วน ต่อไปอีก เราก็เพิ่มเส้นแบ่งแต่ละครึ่งของ Channel ย่อยเข้าไปอีกที่ ( การตีเส้นตามตัวอย่างเป็นที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นเส้น 25 % กับ เส้น 75 % จ๊ะ ... แต่ตรงจุดนี้ หากใครจะใช้เป็นอัตราส่วน 33 % กับ 66 % ก็ได้นะจ๊ะ เหตุที่ใช้ค่า 33 % กับ 66 % นั้น ก็เนื่องจากมันเป็นอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันกับค่า Fibonacci ซึ่งจะทำให้มันเป็นแนวรับแนวต้านที่มีนัยยะในการใช้งานจริงมากกว่า การใช้การแบ่งส่วนแบบอื่น ๆ แต่ถ้าใครเน้นความสะดวก และความง่าย จะใช้เส้น 25 % กับ เส้น 75 % ตามตัวอย่างก็สะดวกต่อลากเส้นดีจ๊ะ )

ตามภาพตัวอย่าง อันนี้ เป็น Channel ในเทรนขาขึ้น ความกว้างของ Channel แต่ละส่วนที่แบ่งครึ่งไว้ก่อนหน้า ก็อยู่ตามระยะของลูกศรสีเหลือง

พอเราลากเส้นแบ่ง Channel ในเทรนขาขึ้น ออกเป็น 4 ส่วน เสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็จะได้แนวรับแนวต้านย่อย ๆ ภายใน Channel ขึ้นมาให้เห็นตามภาพตัวอย่างนี้


ในเทรนขาลงเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราลากเส้นแบ่งส่วน Channel ออกเป็น 4 ส่วนเสร็จ ก็จะได้ภาพสมบูรณ์ ตามที่เห็นในตัวอย่างนี้


ในเทรนไซด์เวย์เองก็เช่นเดียวกัน พอลากเส้นแบ่ง Channel ออกเป็น 4 ส่วน เสร็จสมบูรณ์ ก็จะได้ภาพตามตัวอย่างนี้



นอกจากการแบ่ง Channel เป็น 4 ส่วนแล้ว เราก็ยังสามารถ แบ่ง Channel ออกเป็น 3 ส่วนก็ยังได้อีกด้วย .. การแบ่งแบบนี้ เราก็จะตี Channel ปกติขึ้นมาก่อน แล้วลากเส้นเพิ่มอีก 2 เส้นเข้าไป เพื่อแบ่งเนื้อที่ว่างภายใน Channel ในออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน โดยเส้นที่นิยมนำมาใช้ในการแบ่งก็จะเป็นเส้น 33 % กับ เส้น 66 % แต่เราจะไม่ขอลงภาพตัวอย่างแล้วล่ะนะ เพราะเราคิดว่าตรงจุดนี้ จากตัวอย่างทั้งหมดที่เราอธิบายมานั้น เราคิดว่ามันน่าจะเพียงพอต่อการทำความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว การจะนำไปปรับใช้งานเพิ่มเติมตามความชอบของแต่ละคน ก็น่าจะทำได้ไม่ยากแล้วล่ะนะ

สำหรับเรื่องการลากเส้นนั้น บางคนก็อาจจะชอบที่จะลากตัด ที่ราคาปิด ของแท่งเทียน แต่บางคนก็อาจจะชอบลากตัดที่จุด High หรือ Low ( สำหรับเราเองเราชอบที่ลากตัดที่จุด High หรือ Low มากกว่า ) ที่ตรงจุดนี้ ใครต้องการลากแบบไหนนั้น ก็แล้วแต่สะดวกเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นการลากตัดราคาปิด หรือการลากตัดที่จุด High หรือ Low นั้น มันก็ไม่ได้ผิดหลักทางเทคนิคแต่อย่างใด ... ขอเพียงแค่ว่า การลากเส้นนั้น จุดที่ตัด จะต้องเป็นจุดที่มีนัยยะสำคัญสำหรับการใช้งานจริง เท่านั้นก็พอ หากไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะทำให้มีการเทรดที่ผิดพลาดเกิดขึ้นได้
และการลากเส้นนั้น เราก็ต้องอย่าบังคับให้เส้นมันเป็นไปในแบบที่เราต้องการ เพราะผลที่ได้จากการวิเคราะห์มันอาจจะคลาดเคลื่อนได้ แต่ เราจะลากเส้น ตามหลักที่ควรจะเป็น เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ให้ถูกต้องได้เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว

นอกจากนี้ การลากเส้นนั้น จะต้องมีการลงมือฝึกลากจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านและจำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการลงมือฝึกลากจริง จะช่วยให้เราเกิดความชำนาญในการลงมือทำ แต่หากเราอ่านหรือจำ แต่ไม่เคยฝึกลากเส้นเลย เราอาจจะคิดว่า เราทำได้ แต่พอถึงเวลาที่จะต้องใช้งานจริง เราอาจจะไปนั่ง มึน อยู่หน้ากราฟแล้วก็ต้องมานั่งคลำทีละนิด ๆ แทนก็เป็นได้
อีกทั้ง การใช้งานเส้น Trendlind นั้น เวลาที่เราจะนำไปใช้ในการเทรดจริง เราก็ควรลากแต่เส้น ที่เราจำเป็นต้องใช้งานจริง ๆ เท่านั้นก็พอ ไม่ควรลากเส้นเยอะมากเกินความจำเป็น เพราะเนื่องจากมันอาจจะทำให้เกิดความสับสนในการเทรดได้
จริง ๆ แล้ว บทความนี้ ตอนแรก เรากะว่าจะเขียนเรื่องของ Trend ( การแสดงเทรนลักษณะต่าง ๆ ด้วยเทรนไลน์ เพราะเนื้อหาข้างบน ยังอธิบายส่วนนี้ ไม่ละเอียดเท่าที่ควร )และ เส้น Speed Line ต่อ ... แต่พอมาดู ๆ ไป เราว่าบทความนี้ มันชักจะยาวเกินไปซะแล้ว อีกทั้งตอนนี้ เราเริ่มออกอาการขี้เกียจแล้วด้วยล่ะ ... เลยเอาเป็นว่า เราขอจบบทความนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน สำหรับเรื่องของ Trend และเส้น Speed Line และเครื่องมือจำพวกเส้นแบบอื่น ๆ เอาไว้ว่าง ๆ เราขยัน ๆ และนึกสนุกเมื่อไหร่ เราจะกลับมาเขียนต่อในบทความอันใหม่น่าจะดีกว่าเนอะ ...

ตอนนี้พอเท่านี้ก่อนดีกว่า ...


บทความอื่นๆ