สอนการวิเคราะห์ทางเทคนิคฟรี
VIDEO
Trend line ความยิ่งใหญ่ที่แสนเรียบง่าย ...
แหม ! เราจั่วหัวข้อซะสวยหรูเลย ... แต่จริง ๆ แล้ว เนื้อหาในกระทู้นี้ ก็คงจะไม่มีอะไรมากมายสำหรับคนที่รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่เราคิดว่า มันอาจจะมีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่เพิ่งจะเริ่มหัดเล่นกราฟใหม่ ๆ
บทความนี้เราคงจะเขียนยาวพอสมควรอยู่เหมือนกัน ดังนั้นภาพกราฟที่ใช้เป็นตัวอย่าง จะเป็นภาพกราฟในอดีตทั้งสิ้น และก็ไม่รู้ว่าจะเขียนได้จบหรือไม่ ถ้าหากเขียน ๆ แล้วเนื้อหามันเกิดยาวมากเกินไป เราก็คงจะเขียนแบ่งเป็นหลาย ๆ บทความล่ะนะ
ว่าแล้วเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา เราก็มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพราะคงจะไม่มีใครอยากมานั่งฟังเราอารัมภบทนานนักหรอก
... Trendline ... เห็นชื่อของมัน เราก็คงจะบอกกันได้อยู่แล้วว่า หน้าที่หลักของมัน คือ ใช้แสดงให้เราได้เห็นถึง เทรน หรือแนวโน้มทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งสำหรับคนที่เล่นกราฟเทคนิคแล้ว เรื่องของ Trend หรือแนวโน้ม นั้น จัดได้ว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากต่อการวิเคราะห์หุ้นเรื่องหนี่งเลยทีเดียว และเรื่องการใช้ Trendline ในการวิเคราะห์หุ้น ก็ถูกจัดได้ว่าเป็นความรู้พื้นฐานที่คนเล่นกราฟทุกคนควรจะต้องมีติดตัวไว้ด้วย
Trendline นับได้ว่าเป็นเครื่องมือทางเทคนิคในยุคแรก ๆ ชนิดหนึ่งที่มีความเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ในความเรียบง่ายนี้ล่ะ มันกลับสามารถนำมาประยุกต์ใช้งานเวลาเทรดได้อย่างมากมายมหาศาล ชนิดที่เรียกกันว่า ใช้งานจริงได้ตั้งแต่มือใหม่หัดเทรด ไปยันถึงพวกรุ่นเก๋ามือโปร กันเลยทีเดียว
ประโยชน์ของ Trendline ที่แสนจะดูเรียบง่ายนี้ มันมีเยอะแยะมาก ตั้งแต่ใช้บอกแนวโน้มทิศทางการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น , ใช้เป็นแนวรับ - แนวต้านทางเทคนิค , ใช้เป็นตัวให้สัญญาณซื้อ - ขาย , และยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือประยุกต์คู่กันกับเครื่องมือทางเทคนิคชนิดอื่น ๆ อีกมากมายอย่างหลาย
ทีนี้เราก็มาเข้าเนื้อหากันเลยดีกว่า ว่า Trendline พื่้นฐานที่คนเล่นกราฟอย่างพวกเราควรจะทำความรู้จักกันไว้ มันมีอะไรบ้าง ลากกันยังไง และใช้งานอย่างไร
เรามาเริ่มต้น เส้นเทรน ชนิดแรกกัน ... เส้นเทรนชนิดนี้ เราเรียกกันว่า
เส้นแนวต้าน หรือ
Resistance Line เส้นชนิดนี้ เราก็สามารถลากได้ทั้ง 3 แนวโน้ม คือ แนวโน้มขาขึ้น ( Up Trend ) , แนวโน้มขาลง ( Down trend ) และแนวโน้มไซด์เวย์ ( Sideway Trend )
มาเริ่มกันที่ เส้นแนวต้านในแนวโน้มขาลง กันก่อน ( เส้นนี้ บางทีคนเล่นกราฟก็มักจะชอบเรียกกันว่า
เส้นกดหัว )
หลังจากที่เราได้ จุดสูงลดต่ำขึ้นมา 2 จุดแล้ว เราก็ลากเส้นตรงเฉียงลงตัดจุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 2 จุด ที่เราได้กำหนดขึ้นมา ก็จะได้เป็น เส้นแนวต้านในเทรนขาลงตามภาพที่เห็นต่อไปนี้
เส้นแนวต้านนี้ชื่อของมันก็บ่งบอกอยู่ในตัวอยู่แล้ว ว่ามันใช้ประโยชน์ในการเป็นแนวต้านของราคาหุ้น หากราคาหุ้นมีการดีดตัวขึ้นมาทดสอบเส้น แล้วผ่านได้และยืนอยู่ ( การผ่านได้และยืนอยู่นั้น หมายถึง เมื่อราคาดีดตัวขึ้นทดสอบเส้นแนวต้าน และทะลุผ่านเส้นขึ้นไปได้ ในระยะสั้น ๆ มันจะต้องไม่ไหลกลับลงมาอยู่ใต้เส้นอีก เราจึงจะเรียกว่า ผ่านได้ และยืนอยู่ แต่หากราคาดีดตัวขึ้นทะลุเส้นได้ แต่ในระยะสั้น ก็ไหลกลับลงมาอยู่ที่ใต้เส้นอีก เราจะเรียกว่า ผ่านได้แต่ยืนไม่อยู่ ) หุ้นก็อาจจะมีการเปลี่ยนเทรนเป็นขาขึ้น หรือไซด์เวย์ต่อไป
แต่ถ้าหาก ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นทดสอบเส้นแนวต้าน แต่ผ่านไม่ได้ หรือผ่านได้แต่ยืนไม่อยู่ ราคาก็จะยังคงไหลไปในแนวโน้มเดิมต่อไป
เส้นแนวต้านในเทรนขาลงนี้ เป็นเส้นที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญเป็นอย่างมาก คนเล่น Trendline หลาย ๆ คน ก็มักจะชอบใช้มันเป็นเครื่องมือในการเลือกหุ้นเอาไว้เทรด เนื่องจากการ Break ( ราคาหุ้นขึ้นทดสอบและทะลุผ่านเส้นได้ เราเรียกกันว่า การ Break ) เส้นนี้ได้ ส่วนมากก็มักจะเป็นการกลับแนวโน้มจากขาลง เป็นขาขึ้นหรือไซด์เวย์ หลาย ๆ คนจึงชอบมีการ ซื้อหุ้น เมื่อราคา เริ่มจะ Break เส้นกดหัวนี้
ต่อไป เราก็มาดูเส้น แนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน กันบ้าง
การลากเส้น แนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน นั้น ก็คล้าย ๆ กันกับเส้นกดหัวนั่นล่ะ ก่อนอื่นก็ให้เราหา จุดสูงสุดที่มียอดเสมอกัน ที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุด ( Dubble Top ) ก่อน
ซึ่งถ้าดูในตัวอย่างตามภาพนี้ ก็จะเป็นตำแหน่งที่อยู่ในวงสีแดง ที่เราได้วงเอาไว้
เมื่อเราได้จุด จุดสูงสุดที่มียอดเสมอกัน 2 จุดตามภาพนี้แล้ว ก็ให้เราลากเส้นตรงแนวนอนตัดผ่านจุดทั้ง 2 ที่กำหนดไว้ เมื่อลากเสร็จ เราก็จะได้ เส้นแนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน ออกมาตามตัวอย่างที่เห็นในภาพต่อไปนี้
เส้น แนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน นี้ จัดได้ว่า เป็นเส้นที่ใช้งานจริงได้ดีมาก ๆ อีกเส้นนึงเลยทีเดียว เนื่องจากเส้นชนิดมักจะชอบถูกตีตัดผ่านบริเวณที่มักจะเป็น จุดย่ำฐานของราคาหุ้น ( จุดย่ำฐาน หมายถึง จุดที่ราคาหุ้น มักจะไปทดสอบซ้ำ ๆ บริเวณนั้นหลาย ๆ รอบ ซึ่งมักจะทำให้แนวราคาที่บริเวณนั้นเป็นแนวรับหรือแนวต้านที่ค่อนข้างมีความแข็งแรงมากกว่าจุดอื่น ๆ ) และถ้าหากราคาหุ้นมีการ Break เส้นแนวต้านชนิดนี้ขึ้นไปได้ ราคาหุ้น ก็มักจะชอบมีการวิ่งแรงในทันที และหลาย ๆ ครั้ง ในขณะที่กำลังข้ามเส้นชนิดนี้ ก็อาจจะมีการกระโดดขึ้นของราคาหุ้น ( เกิด Gap )ประกอบเข้ามาด้วย
เส้นชนิดนี้ เป็นเส้นที่มักจะใช้แสดงให้เราได้เห็นถึงเทรนไซด์เวย์ หรือการไหลออกด้านข้างของราคาหุ้น ซึ่งเรื่องนี้เดี๋ยวเราคงจะมาพูดกันต่ออีกทีนึง เพราะเนื่องจากเทรนไซด์เวย์มันมีอยู่หลายแบบเหมือนกัน ถ้าอธิบายกันด้วยเส้น Trendline แค่เพียงเส้นเดียว อาจจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้ง่าย
และถ้าหากราคามีการดีดตัวขึ้นทดสอบเส้นแนวต้านชนิดนี้ หลาย ๆ ครั้ง ( ไม่ว่าเทรนที่ไหลมาก่อนหน้าจะเป็นขาขึ้นหรือลงก็ตาม )แล้วไม่สามารถผ่านได้ ก็ให้เราระวังเทรนที่กำลังจะตามมาจะกลายเป็นขาลงเอาไว้ด้วย ( ถ้าเทรนก่อนหน้าที่จะเกิดไซด์เวย์ เป็นขาขึ้น ถ้าราคาขึ้นทดสอบเส้นชนิดนี้ หลาย ๆ ทีแล้วไม่ผ่าน ก็ให้ระวังจะเกิดการกลับเทรนไปเป็นขาลง แต่ถ้าหากเทรนก่อนหน้าเป็นขาลงอยู่ เมื่อเกิดการไซด์เวย์ ราคาทดสอบเส้นแนวต้านชนิดนี้แล้วไม่ผ่านหลาย ๆ ครั้ง ก็ให้ระวังหลังจากจบการไซด์เวย์แล้ว หุ้นจะยังคงเป็นเทรนขาลงต่อไป )
ต่อไปก็มาดูเส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้นกันต่อจ๊ะ ... ( จะไปต้านมันไว้ทำไมก็ไม่รู้ มันจะขึ้น ก็ปล่อยให้มันขึ้นไปไม่ดีกว่าเหรอ
)
เส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้น หรือชื่อเล่นอีกอย่างของมันก็คือ เส้นไต่ระดับ นั่นเอง เส้นชนิดนี้ เราก็ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ถ้าเป็นเส้นเดียวโดด ๆ คนเล่นกราฟ เขาก็ไม่ค่อยจะนิยมนำมาใช้งานกันจริง ๆ ซักเท่าไหร่นัก เนื่องจากมันไม่ค่อยจะมีประโยชน์อะไรมากนัก ส่วนมากถ้ามีการใช้เส้นนี้ในการใช้งานจริง มันก็มักจะถูกใช้เป็นเส้นคู่ในลักษณะของเส้นคู่ขนาน ( Channel ) ซะมากกว่า แต่ถ้าใครอยากจะตีเส้นชนิดนี้ไว้เพื่อใช้ประมาณการการไต่ระดับของราคาหุ้น ในเทรนขาขึ้น ก็สามารถทำได้ ไม่ได้ผิดหลักวิชาทางเทคนิคแต่อย่างใด
คราวนี้ เราก็มาดูวิธีลากเส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้นกัน ก่อนอื่นก็หาจุดที่มีนัยยะสำคัญ 2 จุดเหมือนเดิม แต่จุดที่หาเพื่อลากเส้นนี้ จะเป็น จุดสูงยกสูง ( Higher High ) ที่มีนัยยะสำคัญ 2 จุดจ๊ะ
ซึ่งถ้าดูตามภาพในตัวอย่างต่อไปนี้ เราก็จะเห็นมันอยู่ในส่วนที่เราได้วงไว้นั่นล่ะ
เมื่อเรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 2 จุดได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ให้ลากเส้นตรงเฉียงขึ้น ตัดผ่านจุดที่เราได้กำหนดทั้ง 2 จุดให้เรียบร้อย เราก็จะได้ เส้นแนวต้านในแนวโน้มขาขึ้น ออกมาตามภาพนี้ล่ะ
ส่วนประโยชน์ของเส้นชนิดนี้ ก็ตามชื่อเล่นของมันนั่นล่ะ คือเอาไว้ดูและประมาณการการไต่ระดับของหุ้นในเทรนขาขึ้น ซึ่งถ้าหากเทรนขาขึ้นยังคงตัวไปในแนวโน้มเดิมของมันต่อไป มันก็ยังคงมีแนวโน้มที่จะวิ่งขึ้นไปทดสอบเส้นไต่ระดับอยู่เป็นระยะ ๆ ให้เราได้เห็น อีกอย่างเส้นนี้ บางครั้ง ก็ยังสามารถใช้เป็นจุดขายหุ้น เมื่อราคาหุ้นขึ้นไปทดสอบเส้น แล้วไม่ผ่าน หรือ ผ่านได้แต่ยืนไม่อยู่ได้อีกด้วย
เมื่อเราได้ดูเรื่องของเส้นแนวต้านผ่านกันไปแล้วทั้งใน 3 แนวโน้ม ต่อไปเราก็มาดู เส้นแนวรับ หรือ Support Line กันบ้าง เส้นนี้สามารถลากได้ทั้ง 3 แนวโน้มเลยเช่นเดียวกันกับเส้นแนวต้าน คือ แนวโน้มขาขึ้น , แนวโน้มขาลง และแนวโน้มไซด์เวย์
เรามาเริ่มต้นทำความรู้จักกับเส้นแนวรับกันด้วย เส้นแนวรับในเทรนขาขึ้น ก่อน วิธีการลาก เส้นแนวรับในเทรนขึ้น นั้น ก็เหมือนเช่นเดิม คือให้เรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุดก่อน โดยจุดที่ว่าจะต้องมีลักษณะเป็น จุดต่ำยกสูง ( Higher Low ) ซึ่งถ้าเราดูตามภาพในตัวอย่างก็จะอยู่ในส่วนที่เราได้วงไว้นั่นล่ะจ๊ะ
พอเรากำหนดจุดที่ว่าได้แล้ว หลังจากนั้น เราก็ลากเส้นตรงเฉียงขึ้นตัดจุดที่เราได้กำหนดไว้ทั้ง 2 จุดตามภาพตัวอย่างที่อยู่ข้างล่างนี้ แค่นี้เราก็จะได้เส้นแนวรับในแนวโน้มขาขึ้นมาให้ใช้งานกันล่ะจ๊ะ
เส้นแนวรับในเทรนขาขึ้น จัดได้ว่า เป็นเส้นที่ค่อนข้างจะมีความสำคัญในการใช้งานจริงมาก ๆ อีกเส้นนึงเลยทีเดียว เพราะนอกจากมันจะใช้แสดงเทรนขาขึ้นให้เราได้เห็นแล้ว มันยังสามารถใช้เป็นจุดซื้อหุ้น ในแนวโน้มขาขึ้นได้อีกด้วย ซึ่งการตัดสินใจซื้อหุ้นด้วยเส้นชนิดนี้ ก็จะซื้อต่อเมื่อ ราคาหุ้นไหลลงมาทดสอบแล้วไม่หลุดแนวรับ หรือหลุดลงไปใต้เส้นในระยะสั้น ๆ แต่สุดท้ายก็สามารถกลับมายืนเหนือเส้นได้ ( การหลุดลงแนวรับลงไปในระยะสั้น ๆ แต่สุดท้ายกลับขึ้นมายืนได้อย่างแข็งแรง ก็จัดได้ว่า เป็นการเกิด Error แบบหนึ่งจ๊ะ ) คนที่เล่นตามเส้นนี้ ก็จะทำการเข้าซื้อหุ้น
นอกจากนี้ เส้นนี้ยังสามารถใช้เป็นตัวบ่งชึ้การเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มราคาหุ้นได้อีกด้วย ซึ่งการเปลี่ยนเทรนของราคาหุ้นจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือเป็นไซด์เวย์จะเกิดก็ต่อเมื่อ ราคาหุ้นไหลลงมาทดสอบเส้นแนวรับ และเส้นแนวรับไม่สามารถรับอยู่ได้ แนวโน้มขาขึ้นก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นขาลง หรือไซด์เวย์แทน ซึ่งคนที่เล่นด้วยเส้นชนิดนี้ ถ้ามีของอยู่ในมือ ก็จะทำการขายเมื่อราคาหุ้นหลุดเส้นแนวรับลงมา และไม่สามารถกลับไปยืนอยู่เหนือเส้นนี้ได้อีก
เส้นแนวรับชนิดถัดมา คือ เส้นแนวรับแบบเป็นเส้นขวางแนวนอน ซึ่งการลากเส้นชนิดนี้ ก่อนอื่น ก็ให้เรากำหนด จุดต่ำสุดที่มีส่วนท้ายเสมอกัน ( Dubble Bottom ) ที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมา 2 จุดก่อน ซึ่งถ้าดูจากภาพตัวอย่าง มันก็จะอยู่ในส่วนที่เราได้วงไว้นั่นล่ะจ๊ะ
พอเรากำหนดจุดทั้ง 2 ขึ้นมาได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้เราก็มาลากเส้นตรงแนวนอนตัดจุดทั้ง 2 ที่ว่า เราก็จะได้เส้นแนวรับแบบเป็นเส้นขวางแนวนอนขึ้นมาตามภาพตัวอย่าง
เส้นชนิดนี้ จัดได้ว่าเป็นเส้นที่มีความสำคัญค่อนข้างมาก และการใช้งานจริง ก็มักจะใช้ได้ผลค่อนข้างดี ( ตามรูปที่เห็นหลังจากลากเส้นแล้ว ราคาไม่เคยลงมาทดสอบที่จุดแนวรับนั้นอีกเลย เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นจุดกลับเทรนพอดี ) เนื่องจากเส้นชนิดนี้ ส่วนมากมักจะถูกลากตัดผ่านบริเวณที่เป็น จุดย่ำฐานของราคาหุ้น ซึ่งแนวบริเวณนั้น มักจะเป็นช่วงแนวรับที่มีความแข็งแรงค่อนข้างสูง
ซึ่งด้วยความที่เส้นแนวรับชนิดนี้ เป็นเส้นที่มีความแข็งแรงค่อนข้างมาก แต่ถ้าหากราคาหุ้นหลุดลงผ่านเส้นแนวรับชนิดนี้ลงไปได้เมื่อไหร่ ราคาหุ้นมักจะชอบเกิดไหลลงอย่างรุนแรง และรวดเร็ว และหลาย ๆ ครั้งการหลุดผ่านเส้นแนวรับชนิดนี้ลงไป มักจะชอบมีการหลุดลงเป็นลักษณะของเปิด Gap กระโดดลงอีกด้วย
ซึ่งเส้นชนิดนี้ ก็คล้าย ๆ กันกับเส้นแนวต้านแบบเป็นเส้นขวางแนวนอนนั่นล่ะจ๊ะ คือมันจะแสดงให้เราได้เห็นถึงเทรนไซด์เวย์ ( การไซด์เวย์ อธิบายกันด้วยเส้น Trendline เส้นเดียวโดด ๆ อาจจะเห็นภาพไม่ค่อยชัดเจนนัก เราจึงขอข้ามตรงจุดนี้ไปก่อน ซึ่งเรื่องของแสดงเทรนไซด์เวย์นี้ เดี๋ยวเอาไว้เราจะเขียนอีกครั้งนึงแล้วกัน )
และถ้าหากราคามีการลงมาทดสอบเส้นแนวรับชนิดนี้ หลาย ๆ ครั้ง ( ไม่ว่าเทรนที่ไหลมาก่อนหน้าจะเป็นขาขึ้นหรือลงก็ตาม )แล้วแนวรับสามารถรับอยู่ได้ตลอด ก็ให้เราระวังว่าเทรนที่กำลังจะตามมาจะกลายเป็นขาขึ้นเอาไว้ด้วย ( ถ้าเทรนก่อนหน้าที่จะเกิดไซด์เวย์ เป็นขาลง หากราคาเกิดปรับตัวลงมาทดสอบเส้นชนิดนี้ หลาย ๆ ทีแล้วไม่ผ่าน ก็ให้ระวังจะเกิดการกลับเทรนไปเป็นขาขึ้น แต่ถ้าหากเทรนก่อนหน้าเป็นขาขึ้นอยู่ เมื่อเกิดการเปลี่ยนเทรนเป็นไซด์เวย์ ราคาลงมาทดสอบเส้นแนวรับชนิดนี้แล้วไม่หลุดหลาย ๆ ครั้ง ก็ให้ระวังว่าหลังจากจบการไซด์เวย์แล้ว หุ้นจะยังคงเป็นเทรนขาขึ้นต่อไป )
ต่อไปก็มาดู เส้นแนวรับในเทรนขาลงกันบ้าง เส้นนี้ นิยมเรียกกันเล่น ๆ ว่า เส้นลดระดับ แต่ในความเป็นจริง เส้นชนิดนี้ แบบเป็นเส้นเดียวโดด ๆ ก็มักจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมใช้งานกันเท่าไหร่นัก ส่วนมากที่เราพบเห็นการใช้งานเส้นลักษณะนี้ ก็มักจะพบกันในรูปแบบของเส้นคู่ขนาน ( Channel ) ซะมากกว่า แต่ถึงแม้ว่า เส้นแนวรับในเทรนขาลง แบบเส้นเดียวโดด ๆ นั้น มันจะไม่เป็นที่ได้รับความนิยมในการใช้งานจริง แต่หากใครอยากลากเส้นขึ้นชนิดนี้มาเพื่อใช้ประมาณการการลดตัวของราคาหุ้น ก็สามารถใช้ได้ ไม่ได้ผิดหลักการแต่อย่างใด
การลากเส้นชนิดนี้ ก่อนอื่น ก็ให้เรากำหนด จุดต่ำลดต่ำ ( Lower Low ) ที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุดก่อน ซึ่งถ้าดูตามภาพตัวอย่างข้างล่างนี้ ก็จะเป็นส่วนที่อยู่ในจุดที่เราวงสีแดงไว้นั่นล่ะจ๊ะ
พอเราได้จุดสำคัญทั้ง 2 จุดแล้ว ทีนี้ เราก็ลากเส้นตรงเฉียงลงให้ตัดผ่านจุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 2 จุดที่เราได้หาไว้ เราก็จะได้ เส้นแนวรับในเทรนขาลง ตามภาพตัวอย่างที่เห็นต่อไปนี้
เอาล่ะ ทีนี้ ก็เป็นอันเสร็จพิธี เรื่อง Trendline แบบชนิดที่เป็นเส้นเดียวโดด ๆ กันไปแล้ว ... อ๊ะ ๆ ๆ !!! แต่บทความนี้ยังไม่จบนะจ๊ะ เพราะเดี๋ยวเราจะมาดูในเรื่องของ Trendline แบบที่เป็นเส้นคู่ขนาน ( Channel ) กันต่อ
เส้นคู่ขนาน หรือ Channel นั้น เป็นเครื่องมือสำหรับคนเล่น Trendline ที่สามารถนำมาใช้งานจริงได้เป็นอย่างดีทีเดียวเชียวล่ะ ประโยชน์ของ Channel นั้น มีมากกว่าเส้น Trendline ที่เป็นแบบชนิดเส้นเดียวโดด ๆ มากนัก อีกทั้งการแสดงให้เราได้เห็นถึงแนวโน้มของ Channel นั้น ก็ยังชัดเจนกว่า Trendline ชนิดเส้นเดียวมากนัก ... และนอกจากนั้น Channel ก็ยังสามารถนำมาประยุกต์การใช้งานเพิ่มในส่วนการของเพิ่มเส้นเทรนที่ใช้แบ่งอัตราส่วนของ Channel ที่สามารถนำมาใช้เป็นแนวรับแนวต้านย่อยได้อีกด้วย
Channel ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่า มันคือ ช่องทางที่ใช้แสดงการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น ถ้าเป็นภาษาไทย เราก็จะเรียกมันว่า เส้นคู่ขนาน ดังนั้น การตีเส้น Channel นั้น เราจึงต้องตีเส้นให้เป็นเส้นขนานกันเท่านั้นถึงจะถูกต้อง หากการตีเส้น Trendline ตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไปแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นลักษณะของเส้นคู่ขนาน เราก็คงจะไม่สามารถเรียกมันว่า Channel ได้อย่างแน่นอน
ที่นี้เราก็มาดูการลากเส้น Channel ในเทรนขาขึ้นกันก่อน ก่อนอื่น ก็ให้เรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาซัก 2 จุด เหมือนการลากเส้นแนวรับในเทรนขาขึ้นแบบเส้นเดียว โดยตามภาพตัวอย่างจะเป็นจุดที่อยู่ในวงสีแดง พอเรากำหนดจุดทั้ง 2 ได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ ก็ให้เรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญเพิ่มขึ้นมาอีก 1 จุด หรือ 2 จุดก็ได้ ซึ่งจุดที่กำหนดเพิ่มขึ้นมาอีกนั้น ก็จะเป็นจุดที่มีนัยยะสำคัญแบบเดียวกันกับการใช้สำหรับลากเส้นแนวต้านในเทรนขาขึ้นอีกด้วย ตามภาพตัวอย่างที่เห็นก็จะเป็นจุดที่อยู่ในวงสีเหลือง ซึ่งจากภาพตัวอย่างนี้ จะมีการกำหนดขึ้นมาแค่จุดเดียวเท่านั้น ( บางคนอาจจะกำหนด 2 จุด ก็ได้ แต่ที่เราทำตัวอย่างกำหนดมาแค่จุดเดียวนั้น อันนี้ เนื่องมาจากว่า การลากเส้น Channel นั้น อย่างไรเสียมันก็จะต้องเป็นเส้นที่เป็นลักษณะของเส้นคู่ขนานอยู่แล้ว การกำหนด จุดที่มีนัยยะสำคัญเพื่มขึ้นมาเป็น 2 จุดนั้น ที่บางตำแหน่งเวลาใช้งานจริงอาจจะไม่สามารถกำหนดได้ ( แต่ตำแหน่งนั้นสามารถตี Channel ได้ )หรือการกำหนด 2 จุดในบางครั้งมันอาจจะได้จุดที่มีนัยสำคัญที่พอเราลากเส้นแล้ว ลักษณะของเส้นอาจจะไม่เป็นเส้นคู่ขนานกันก็ได้ การกำหนดเพียงจุดเดียว จึงง่าย และสะดวกต่อการใช้งานมากกว่า )
พอเราได้จุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 3 จุดขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยลแล้ว หลังจากนั้น ก็ให้เราลากเส้นตรงเฉียงขึ้นตัดจุดที่อยู่ในวงสีแดงทั้ง 2 แล้วหลังจากนั้นจึงลากเส้นขนานอีกเส้นนึง ( เน้นอีกทีนะจ๊ะ ว่าต้องเป็นเส้นขนานเท่านั้น )ให้ตัดผ่านจุดที่อยู่ในวงสีเหลือง โดยให้เส้นที่ 2 นี้ขนานกันไปกับเส้นแรก ก็จะเกิดเป็น Channel ที่มีเส้น Trendline ทั้ง 2 เส้นซึ่งเป็นแนวรับและแนวต้านปิดหัวปิดท้ายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ตามตัวอย่างในภาพ
เมื่อเราลองมาดูตามภาพตัวอย่างข้างบน ก็จะเห็นได้ว่า Channel นั้นมันแสดงถึงแนวโน้มของเทรนได้ชัดเจนกว่า เส้น Trendline แบบชนิดที่เป็นเส้นเดียวโดด ๆ และมันยังมีแนวรับแนวต้านอยู่ในตัวเองอีกด้วย อีกทั้ง หากมันอยู่ในเทรนขาขึ้น มันก็ยังสามารถใช้ประมาณการ การไต่ระดับของราคาหุ้น ได้อีกด้วย ซึ่งการประมาณการ การไต่ระดับของราคาหุ้นนั้น ก็จะมีการประมาณการเรื่องของระยะเวลาอยู่ภายในตัวมันเองแบบคร่าว ๆ อีกด้วยล่ะจ๊ะ
ทีนี้ เรามาทำความเข้าใจ เรื่องธรรมชาติของ Channel กันซักนิดนึงก่อนดีกว่า ... โดยธรรมชาติแล้ว เมื่อเราตี Channel ขึ้นมาได้ ธรรมชาติของราคาหุ้น มันมักจะวิ่งอยู่ในกรอบบนและล่างของ Channel ไปเรื่อย ๆ ตามแนวโน้มที่เกิดขึ้น แต่หากราคามีการหลุด Channel ไป ราคาหุ้นก็อาจจะมีการเปลี่ยนแนวโน้ม หรือเปลี่ยนเส้นทางการวิ่งได้ ( ในกรณีแนวโน้มขาขึ้นนั้น หากมีการหลุดแนวรับลงมา หุ้นก็จะมีการเปลี่ยนเทรน จากขาขึ้นเป็นไซด์เวย์ หรือเป็นขาลง แต่หากหลุดแนวต้านขึ้น เส้นแนวต้านที่ถูกทะลุผ่านนั้นก็จะกลับกลายมาเป็นแนวรับทันที และราคาหุ้นอาจจะมีการทำจุด Top ใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการสร้างแนวต้านขึ้นใหม่ เราก็ใช้จุด Top ที่เกิดใหม่นั้น เป็นตัวกำหนดในการสร้าง Channel ใหม่ต่อไป ... หากเราลองดูภาพตัวอย่างข้างบน จะสังเกตุเห็นได้ว่า ในส่วนที่เป็นบริเวณปลาย ของ Channel นั้น มีการหลุดเส้น Channel ด้านบนขึ้นไป แต่ราคากลับยืนอยู่เหนือเส้นแนวต้านไม่ได้ จึงมีการกลับลงมาวิ่งต่อใน Channel เดิมอีกครั้ง ( ลักษณะการหลุดแบบนี้ หากเราไปดูในกราฟที่ไทม์เฟรมใหญ่กว่านี้ จะพบว่ามันเกิดเป็นลักษณะของการเกิดค่า Error จ๊ะ )
ทีนี้การซื้อขายด้วย Channel ทำแบบไหนดี ... อันนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละท่านด้วย แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเราเห็นแนวรับแนวต้านชัดเจนเช่นนี้ ส่วนมากก็จะมีการซื้อเมื่อราคาหุ้นสามารถยืนอยู่เหนือแนวรับได้ และขายออกเมื่อราคาไม่ผ่านเส้นแนวต้าน ( เราหมายถึงในกรณีที่เป็นเทรนขาขึ้นนะจ๊ะ ) แต่ตรงจุดนี้ บางครั้งเวลาเทรดจริง หากหุ้นมีการไหลแรงมาก ๆ ก็ควรระวัง การวิ่งไต่ใต้เส้นแนวต้านของราคาหุ้นเอาไว้ด้วยเช่นกัน ( ถ้าเจอแบบนี้ การขายเมื่อไม่ผ่านแนวต้าน ก็อาจจะมีการขายหมูกันบ้าง แต่โดยส่วนมาก หากมีการไต่ระดับใต้เส้นแนวต้าน ราคามักจะถูกประคองอยู่บริเวณนั้นไม่นานนัก ก็อาจจะมีการปรับตัวลงหาเส้นแนวรับ หรือไม่ก็อาจจะมีการ Break Out แนวต้านออกไปเลย ... ซึ่งหากมีการ Break Out ดังเช่นที่ว่า แทนที่จะขายออก เราก็ควรจะถือต่อแทน หรือ บางคนก็อาจจะมีการซื้อกลับ เมื่อราคา Break ผ่านและยืนเหนือเส้นแนวต้านได้ ทั้งนี้ ก็ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของแต่ละคนด้วย )
ต่อไปก็มาดู Channel ในเทรนขาลงกันบ้าง การตี Channel ในเทรนขาลงก็คล้าย ๆ กันกับในเทรนขาขึ้น ก่อนอื่นก็ให้เราหาจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้้นมา 3 จุดเป็นอย่างต่ำ เหมือนเช่นเดิม ( มาถึงตรงนี้ เราขอไม่อธิบายละเอียดมากแล้ว เพราะคิดว่า จากตัวอย่างก่อนหน้า บวกกับภาพประกอบก็คิดว่าน่าได้เข้าใจได้ไม่ยากแล้วล่ะ ) ตามภาพตัวอย่างก็เห็นที่วงไว้ในวงสีแดงและเหลืองนั่นล่ะจ๊ะ
พอได้จุดที่มีนัยยะสำคัญทั้ง 3 จุดแล้ว ทีนี้ ก็ลากเส้นคู่ขนานตัดผ่านจุดทั้ง 3 เหมือนเช่นเดิม ก็ได้จะ Channel ในเทรนขาลงขึ้น ดังที่เห็นตามภาพ
ตามภาพที่เห็นตามตัวอย่างด้านบน ในช่วงบริเวณของปลาย Channel นั้น จะเห็นได้ว่ามีการหลุดเส้นแนวรับ ของ Channel ลงมาด้วยกันถึง 2 ครั้ง แต่การหลุดทั้ง 2 ครั้งนั้น สุดท้่ายก็มีการกลับไปยืนอยู่เหนือเส้นแนวรับได้ และราคาก็กลับไปอยู่ใน Channel เดิมอีกครั้ง
ในกรณีที่เราใช้ Channel แสดงแนวโน้มในขาขึ้นและขาลง หากเป็นขาขึ้นและ Channel ทะลุกรอบบน มันจะหมายถึงการมีแรงซื้อที่เข้ามามากกว่าปกติ หาก Channel เดิมก่อนหน้ามีความชันน้อย ก็อาจจะมีการเปลี่ยนไลน์วิ่งได้ไม่ยาก แต่ถ้าหาก Channel ก่อนหน้า มีความชันสูง การทะลุแนวต้านขึ้นด้านบน มันหมายถึงการที่มีแรงซื้อเข้ามากเกินไป ( ถ้าเป็นการดูอินดี้ ก็เรียกว่า มันเข้าเขต Overbought แล้วล่ะ ) เราก็ต้องระวังการปรับตัวของราคาหุ้นที่จะหลุดกลับมาอยู่ใน Channel เดิมเอาไว้ด้วย ... แต่หากเป็นเทรนขาลง เมื่อราคาหลุดกรอบล่างลงมา และความชันของ Channel นั้นมีไม่มาก ราคาก็อาจจะมีการเปลี่ยนไลน์วิ่งได้ แต่ถ้าหากความชันของเส้น Channel นั้นมีมาก การหลุดเส้นแนวรับของ Channel ลงไปนั้น หมายถึงการมีแรงขายที่เข้ามากเกินไป ( หากดูอินดี้ลักษณะการมีแรงขายเข้ามาเกินไปแบบนี้ก็จะคล้าย ๆ กับการเกิด Oversold )ก็ต้องระวังการเด้งกลับเข้ามาเล่นใน Channel เดิมเอาไว้ด้วย
ต่อไปเราก็มาดู Channel ในเทรนไซดเวย์กันบ้าง
การลากเส้น Channel ในเทรนไซด์เวย์ ก็ไม่ต่างจากแนวโน้มขาขึ้นและขาลงเท่าไหร่นัก ... ก่อนอื่นก็เช่นเดิม คือ กำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญขึ้นมาอย่างน้อยซัก 3 จุด ตามภาพตัวอย่าง ก็อยู่ในวงกลมสีแดง และเหลือง
พอเรากำหนดจุดที่มีนัยยะสำคัญซัก 3 จุดได้เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ เราก็มาลากเส้นตรงคู่ขนานให้ตัดผ่านจุดทั้ง 3 เราก็จะได้ Channel ในเทรนไซด์เวย์ออกมาตามภาพตัวอย่าง
สำหรับเรื่อง Channel ในเทรนไซด์เวย์นั้น การใช้เส้น Channel แบบนี้ ต้องระมัดระวังในเรื่องการไม่ขึ้นทดสอบเส้นแนวต้าน และลงทดสอบเส้นแนวรับด้วย ทั้งนี้เนื่องจาก การก่อรูปแบบจำพวกไซด์เวย์ส่วนมาก มักจะมีการทำรูปแบบเป็นลักษณะของพวกรูปแบบ 3 เหลี่ยมปลายแหลมชนิดต่าง ๆ มากกว่า ดังนั้นบริเวณช่วงปลายของ 3 เหลี่ยมนั้นจึงอาจจะบีบตัวแคบลง ไม่ขึ้นหรือลงไปทดสอบแนวรับและแนวต้าน ดังนั้น การตีเส้นในเทรนไซด์เวย์ เราก็อาจจะไม่จำเป็นที่ต้องใช้ Channel ก็ได้ แต่เราอาจจะหันไปใช้การตีเส้นเทรนไลน์ 2 เส้น ในลักษณะของพวก Price Pattern แทนน่าจะเป็นการเหมาะสมมากกว่า
ทีนี้ เรื่องของ Channel ก็ยังไม่จบนะจ๊ะ ... เราจะมาดูกันต่อในเรื่องของการแบ่งส่วน Channel เพื่อสร้างแนวรับแนวต้านย่อย ๆ ภายในตัว Channel กัน ...
การสร้างแนวรับแนวต้านย่อยใน Channel นั้น ก็ไม่มีอะไรมาก เราก็แค่จับ Channel ที่เราได้ตีเส้นไว้มาแบ่งส่วนก็เท่านั้นเอง
ซึ่งการแบ่งส่วนนี้ เราก็อาจจะทำได้หลายแบบ โดยอัตราการแบ่งส่วนที่นิยมใช้กันก็จะมีการแบ่งครึ่ง Channel , การแบ่ง Channel ออกเป็น 4 ส่วน และการแบ่ง Channel ออกเป็น 3 ส่วน ที่เท่า ๆ กัน ซึ่งใครจะเลือกใช้อัตราส่วนแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความถนัดของแต่ละคน
ทีนี้ เราก็มาดูการแบ่งแบบง่าย ๆ ก่อนแล้วกัน การแบ่งแบบนี้ ก็คือ เราจะแบ่ง Channel ออกเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน ( แบ่งครึ่ง ) วิธีการทำ ก็ง่าย ๆ เราก็แค่ ลากเส้นผ่ากลาง Channel เพิ่มขึ้นมาอีก 1 เส้นนึงเท่านั้นเอง
ตามตัวอย่างในภาพ เป็นการแบ่ง Channel ในเทรนขาขึ้น ออกเป็น 2 ส่วน โดยเราเพิ่มเส้น 50 % เข้าไปอีก 1 เส้น ( ความกว้างของ Channel นั้น ก็เป็นระยะตามเส้นลูกศรสีเหลืองชี้ไว้นั่นล่ะจ๊ะ ) เราก็จะได้แนวรับแนวต้านย่อย ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยนึง
หากเป็นภาพสมบูรณ์ของ Channel เวลาใช้งานจริง เราก็จะได้ตามภาพตัวอย่าง อันนี้
ในเทรนขาลงเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราลากเส้นแบ่งครึ่งเสร็จแล้ว เราก็จะได้ภาพสมบูรณ์ตามตัวอย่างนี้
ในเทรนไซด์เวย์เองก็เหมือนกัน พอเราลากเส้นแบ่งครึ่งเสร็จแล้ว ก็จะได้ภาพสมบูรณ์ตามตัวอย่างนี้
พอทีนี้ เมื่อเราแบ่งครึ่ง Channel ได้แล้ว ... ถ้าเราจะแบ่ง Channel ออกเป็น 4 ส่วน ต่อไปอีก เราก็เพิ่มเส้นแบ่งแต่ละครึ่งของ Channel ย่อยเข้าไปอีกที่ ( การตีเส้นตามตัวอย่างเป็นที่เพิ่มเข้ามาจะเป็นเส้น 25 % กับ เส้น 75 % จ๊ะ ... แต่ตรงจุดนี้ หากใครจะใช้เป็นอัตราส่วน 33 % กับ 66 % ก็ได้นะจ๊ะ เหตุที่ใช้ค่า 33 % กับ 66 % นั้น ก็เนื่องจากมันเป็นอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันกับค่า Fibonacci ซึ่งจะทำให้มันเป็นแนวรับแนวต้านที่มีนัยยะในการใช้งานจริงมากกว่า การใช้การแบ่งส่วนแบบอื่น ๆ แต่ถ้าใครเน้นความสะดวก และความง่าย จะใช้เส้น 25 % กับ เส้น 75 % ตามตัวอย่างก็สะดวกต่อลากเส้นดีจ๊ะ )
ตามภาพตัวอย่าง อันนี้ เป็น Channel ในเทรนขาขึ้น ความกว้างของ Channel แต่ละส่วนที่แบ่งครึ่งไว้ก่อนหน้า ก็อยู่ตามระยะของลูกศรสีเหลือง
พอเราลากเส้นแบ่ง Channel ในเทรนขาขึ้น ออกเป็น 4 ส่วน เสร็จสมบูรณ์แล้ว เราก็จะได้แนวรับแนวต้านย่อย ๆ ภายใน Channel ขึ้นมาให้เห็นตามภาพตัวอย่างนี้
ในเทรนขาลงเองก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราลากเส้นแบ่งส่วน Channel ออกเป็น 4 ส่วนเสร็จ ก็จะได้ภาพสมบูรณ์ ตามที่เห็นในตัวอย่างนี้
ในเทรนไซด์เวย์เองก็เช่นเดียวกัน พอลากเส้นแบ่ง Channel ออกเป็น 4 ส่วน เสร็จสมบูรณ์ ก็จะได้ภาพตามตัวอย่างนี้
นอกจากการแบ่ง Channel เป็น 4 ส่วนแล้ว เราก็ยังสามารถ แบ่ง Channel ออกเป็น 3 ส่วนก็ยังได้อีกด้วย .. การแบ่งแบบนี้ เราก็จะตี Channel ปกติขึ้นมาก่อน แล้วลากเส้นเพิ่มอีก 2 เส้นเข้าไป เพื่อแบ่งเนื้อที่ว่างภายใน Channel ในออกเป็น 3 ส่วนเท่า ๆ กัน โดยเส้นที่นิยมนำมาใช้ในการแบ่งก็จะเป็นเส้น 33 % กับ เส้น 66 % แต่เราจะไม่ขอลงภาพตัวอย่างแล้วล่ะนะ เพราะเราคิดว่าตรงจุดนี้ จากตัวอย่างทั้งหมดที่เราอธิบายมานั้น เราคิดว่ามันน่าจะเพียงพอต่อการทำความเข้าใจในเรื่องนี้แล้ว การจะนำไปปรับใช้งานเพิ่มเติมตามความชอบของแต่ละคน ก็น่าจะทำได้ไม่ยากแล้วล่ะนะ
สำหรับเรื่องการลากเส้นนั้น บางคนก็อาจจะชอบที่จะลากตัด ที่ราคาปิด ของแท่งเทียน แต่บางคนก็อาจจะชอบลากตัดที่จุด High หรือ Low ( สำหรับเราเองเราชอบที่ลากตัดที่จุด High หรือ Low มากกว่า ) ที่ตรงจุดนี้ ใครต้องการลากแบบไหนนั้น ก็แล้วแต่สะดวกเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นการลากตัดราคาปิด หรือการลากตัดที่จุด High หรือ Low นั้น มันก็ไม่ได้ผิดหลักทางเทคนิคแต่อย่างใด ... ขอเพียงแค่ว่า การลากเส้นนั้น จุดที่ตัด จะต้องเป็นจุดที่มีนัยยะสำคัญสำหรับการใช้งานจริง เท่านั้นก็พอ หากไม่เช่นนั้นแล้ว อาจจะทำให้มีการเทรดที่ผิดพลาดเกิดขึ้นได้
และการลากเส้นนั้น เราก็ต้องอย่าบังคับให้เส้นมันเป็นไปในแบบที่เราต้องการ เพราะผลที่ได้จากการวิเคราะห์มันอาจจะคลาดเคลื่อนได้ แต่ เราจะลากเส้น ตามหลักที่ควรจะเป็น เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ให้ถูกต้องได้เท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ การลากเส้นนั้น จะต้องมีการลงมือฝึกลากจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่การอ่านและจำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะการลงมือฝึกลากจริง จะช่วยให้เราเกิดความชำนาญในการลงมือทำ แต่หากเราอ่านหรือจำ แต่ไม่เคยฝึกลากเส้นเลย เราอาจจะคิดว่า เราทำได้ แต่พอถึงเวลาที่จะต้องใช้งานจริง เราอาจจะไปนั่ง มึน อยู่หน้ากราฟแล้วก็ต้องมานั่งคลำทีละนิด ๆ แทนก็เป็นได้
อีกทั้ง การใช้งานเส้น Trendlind นั้น เวลาที่เราจะนำไปใช้ในการเทรดจริง เราก็ควรลากแต่เส้น ที่เราจำเป็นต้องใช้งานจริง ๆ เท่านั้นก็พอ ไม่ควรลากเส้นเยอะมากเกินความจำเป็น เพราะเนื่องจากมันอาจจะทำให้เกิดความสับสนในการเทรดได้
จริง ๆ แล้ว บทความนี้ ตอนแรก เรากะว่าจะเขียนเรื่องของ Trend ( การแสดงเทรนลักษณะต่าง ๆ ด้วยเทรนไลน์ เพราะเนื้อหาข้างบน ยังอธิบายส่วนนี้ ไม่ละเอียดเท่าที่ควร )และ เส้น Speed Line ต่อ ... แต่พอมาดู ๆ ไป เราว่าบทความนี้ มันชักจะยาวเกินไปซะแล้ว อีกทั้งตอนนี้ เราเริ่มออกอาการขี้เกียจแล้วด้วยล่ะ ... เลยเอาเป็นว่า เราขอจบบทความนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนก็แล้วกัน สำหรับเรื่องของ Trend และเส้น Speed Line และเครื่องมือจำพวกเส้นแบบอื่น ๆ เอาไว้ว่าง ๆ เราขยัน ๆ และนึกสนุกเมื่อไหร่ เราจะกลับมาเขียนต่อในบทความอันใหม่น่าจะดีกว่าเนอะ
...
ตอนนี้พอเท่านี้ก่อนดีกว่า ...
บทความอื่นๆ