Infinite Growth FX

วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555

 มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ 
(QE : Quantitative Easing)

นับตั้งแต่ที่ธนาคารกลางของสหรัฐอเมริกา (Fed) ได้ใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ มาตรการ QE (Quantitative Easing) ครั้งแรกเมื่อปลายปี 2551 ถึง มีนาคม 2553 และได้ประกาศใช้ QE II ในเดือน พฤศจิกายน 2553 ถึง มิถุนายน 2554 จนในปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากการแถลงการณ์ของ เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่กล่าวถึงตัวเลขการว่างงานของสหรัฐฯ ที่ลดลงนั้น อาจไม่ยั่งยืน เพราะการเติบโตของเศรษฐกิจยังไม่แข็งแรง
       
       ดังนั้น Fed ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับที่ต่ำต่อไป และจะมีนโยบายช่วยเหลือเท่าที่จำเป็น ได้ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะมีการใช้มาตรการ QE รอบใหม่ หรือ QE III ออกมาแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้มีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด ในที่นี้จึงขอเล่าถึงมาตรการ QE ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ นำมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ทราบว่ามีวิธีการอย่างไร และได้ส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไร
       
       มาตรการ QE นั้น เป็นมาตรการทางการเงินที่ไม่ได้ใช้ในช่วงเวลาปกติ (Unconventional Monetary Policy) กล่าวคือ เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธนาคารกลางจะใช้นโยบายทางการเงินต่าง ๆ เพื่อมากระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการทางการเงินที่ถูกใช้มากที่สุดคือคือการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่ต่ำ เพื่อลดต้นทุนการกู้ยืมของภาคธุรกิจให้อยู่ในระดับที่ต่ำลง
       
       แต่สำหรับวิกฤตการทางการเงินของสหรัฐฯนั้น แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed Fund Rate) ให้อยู่ในระดับที่ต่ำมาก นั่นคือระดับ 0 - 0.25% แล้วก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ดังนั้น Fed จึงต้องหันมาใช้มาตรากรที่เป็น Unconventional Monetary Policy ควบคู่ไปกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากคาดว่าจะสามารถเข้าไปช่วยเหลือภาคการเงินได้อย่างรวดเร็ว และเป็นการเข้าไปช่วยเหลือในตลาดที่ปัญหาโดยตรง
       
       โดยมาตรการQE เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้จ่ายภาคเอกชน นอกจากนั้นยังใช้เพื่อลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Yield) ให้อยู่ในระดับต่ำลงมา โดยที่ธนาคารกลางจะเข้าไปซื้อตราสารหนี้ทั้งของภาครัฐและเอกชน ทั้งนี้เพื่อก่อให้เกิดการลดต้นทุนในการกู้ยืมของภาคธุรกิจลง ซึ่งเป็นการช่วยให้การผลิต และการจ้างงานสามารถดำเนินต่อไปได้ แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้ก็ก่อให้เกิดผลกระทบในด้านต่างๆด้วยเช่นกัน อาทิ เกิดแรงกดดันทางด้านเงินเฟ้อ เนื่องจากมีการอัดฉีดปริมาณเงินเข้าสู่ระบบ และยังส่งผลกระทบต่อค่าเงินที่อ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน
       
       สำหรับผลกระทบของมาตรการ QE ต่อประเทศไทยนั้น การที่เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ประกอบกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (U.S Treasury) ปรับตัวลดลง ได้ส่งผลให้มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศไทย ทั้งในตลาดหุ้น และตลาดตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีอัตราผลตอบแทนที่ดีกว่า ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ดังนั้นนักลงทุนต่างประเทศจึงได้กำไรทั้งจากอัตราผลตอบแทน และอัตราแลกเปลี่ยนไปพร้อมๆกัน ซึ่งการที่เงินทุนไหลเข้านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยอย่างเดียว แต่เป็นการไหลเข้าภูมิภาค รวมไปถึง Emerging Country ด้วย ก็จะทำให้ค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าไปในทิศทางเดียวกัน
       
       แม้ว่านโยบาย QE จะมีประโยชน์ในการช่วยฟื้นเศรษฐกิจของสหรัฐได้มาก แต่ก็สร้างความเสี่ยงทั้งในด้านเงินเฟ้อ ความเสี่ยงด้านการลงทุน ตลอดจนสร้างความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ให้กับประเทศสหรัฐเอง และประเทศอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ซึ่งในอนาคต FED จะเลือกใช้มาตรการอื่นเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ หรือไม่นั้น ยังคงประเด็นที่นักลงทุนต้องให้ความสนใจและติดตามกันต่อไป

ภาวะเงินเฟ้อคืออะไร?
หลายคนเมื่อได้ยินคำว่าเงินเฟ้อ อาจจะสงสัยว่าเงินเฟ้อคืออะไร แล้วเมื่อไรถึงจะเรียกว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ คำว่าภาวะเงินเฟ้อ หมายถึง ภาวะที่ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจสูงขึ้นเรื่อย ๆซึ่งก็จะมีผลทำให้ค่าของเงินที่เราถืออยู่ลดลง ตัวอย่างของค่าของเงินที่ลดลงเช่น ราคาน้ำมันเคยอยู่ที่ 14 บาทต่อลิตร สมมติเราเคยเติมน้ำมัน 10 ลิตร ก็จะใช้เงิน 140 บาท แต่ปัจจุบัน ราคาน้ำมันได้กลายเป็น 28 บาทต่อลิตร หากเราใช้เงินเท่าเดิมคือ 140 บาท เราจะเติมน้ำมันได้เพียง 5 ลิตร ไม่ใช่ 10 ลิตรแบบที่เคยเติมได้ ซึ่งหากต้องการที่จะเติมน้ำมัน 10 ลิตร เท่าเดิม แปลว่าเราต้องใช้เงินเพิ่มขึ้นเป็น 280 บาท หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ การเกิดภาวะเงินเฟ้อ จะทำให้เงินจำนวนเท่าเดิมที่เราถืออยู่มีค่าลดลง ทำให้ซื้อของได้น้อยลง


 ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อราคาน้ำมันแพงขึ้นแบบนี้ ต้นทุนในการขนส่งสินค้าจากแหล่งผลิตที่จะส่งไปขายยังที่ต่าง ๆ ก็ย่อมต้องสูงขึ้น และทำให้ราคาสินค้าชนิดอื่นๆ ต้องขึ้นราคาตามไปด้วย แต่การที่มีสินค้าแค่ชนิดใดชนิดหนึ่งแพงขึ้น จะยังไม่เรียกว่าเงินเฟ้อ เพราะภาวะเงินเฟ้อหมายถึง ราคาสินค้าและบริการโดยทั่วๆ ไปแพงขึ้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า อาจจะมีราคาสินค้าบางอย่างถูกลงด้วยในเวลาเดียวกัน แต่โดยรวม ๆ แล้ว หากราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้น และเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปสักพักหนึ่ง ถึงจะเรียกได้ว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ โดยที่เราจำเป็นต้องรู้เรื่องเงินเฟ้อ ก็เพื่อที่จะใช้สำหรับวัดค่าครองชีพหรือมาตรฐานการครองชีพของเรา (ประชาชน) ว่าดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างไร






เงินเฟ้อเกิดจากอะไร?ภาวะเงินเฟ้อเกิดขึ้นได้จากหลายๆ สาเหตุ แต่ส่วนใหญ่ในทางวิชาการมักจะแบ่งสาเหตุการเกิดเงินเฟ้อได้เป็น 2 สาเหตุหลักๆ ได้แก่ Cost-push inflation และ Demand-pull inflation
(1) เกิดจากต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น หรือที่เรียกว่า Cost-push inflation ซึ่งต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าอาจจะสูงขึ้นได้จากทั้งส่วนผสมหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า ค่าจ้างแรงงาน รวมทั้งค่าขนส่งสินค้า มีราคาแพงขึ้น เช่น กรณีของราคาน้ำมันที่แพงขึ้นก็เป็นตัวอย่างได้ หรือการที่มีการปรับขึ้นค่าจ้างแรงงาน หรือเกิดน้ำท่วม ภัยแล้ง ทำให้ผลผลิตเกษตรเสียหาย ราคาสินค้าเกษตรก็แพงขึ้น เป็นต้น หรือแม้แต่ในกรณีที่ค่าเงินบาทอ่อนลง จาก 35 บาท เป็น 40 บาทต่อ 1 ดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องใช้เงินบาทจำนวนที่มากขึ้นเพื่อไปซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิต) หรือแม้แต่การที่รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น การเก็บภาษีบุหรี่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา หรืออาจเกิดจากผู้ผลิตต้องการกำไรที่สูงขึ้นจึงขึ้นราคาสินค้า ซึ่งไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม ก็จะมีส่วนทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้นได้
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นพร้อมๆ กันก็ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และทำให้ราคาสินค้าและบริการหลายๆ ชนิดแพงขึ้นพร้อมๆ กัน ความรุนแรงของเงินเฟ้อก็จะมากขึ้นด้วย



(2) เกิดจากความต้องการสินค้าและบริการที่เพิ่มขึ้น หรือที่เรียกว่า Demand-pull inflation ส่วนใหญ่ในช่วงที่ปกติ ผู้ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ก็ย่อมจะวางแผนการผลิตสินค้าโดยดูว่ามีคนต้องการซื้อสินค้าของเราเท่าไรในแต่ละช่วงเวลา ดังนั้น ปริมาณสินค้าที่มีในตลาดก็น่าจะอยู่ใกล้เคียงกับความต้องการซื้อสินค้า แต่หากความต้องการสินค้าและบริการสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่สินค้าและบริการที่เป็นที่ต้องการมีอยู่ในตลาดมีไม่พอ ก็ย่อมทำให้ราคาสินค้าและบริการแพงขึ้นได้ ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนจะยิ่งรีบใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมาตุนไว้ ก่อนที่ค่าเงินที่มีอยู่จะลดลง เพราะซื้อสินค้าได้น้อยลง ราคาสินค้าและบริการจะยิ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นไปกว่าเดิม เพราะคนจะยิ่งรีบใช้เงินที่มีอยู่
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว หน่วยงานของทางการก็มักจะไม่ปล่อยให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อรุนแรง โดยทางการอาจจะเข้ามากำกับดูแลการปรับขึ้นราคาสินค้า ตัวอย่างเช่น การขอความร่วมมือให้ ขสมก. เลื่อนการขึ้นค่ารถเมล์ไปก่อน หรืออนุญาตให้ค่ารถเมล์ปรับขึ้นราคาได้บ้างนิดหน่อย เป็นต้น หรือในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้นโยบายการเงินเพื่อดูแลปัญหาเงินเฟ้อ ทั้งนี้ ก็เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนน้อยที่สุด

เงินเฟ้อวัดอย่างไร?
อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยวัดโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งได้ประกาศอัตราเงินเฟ้อเป็นประจำทุกเดือน โดยวิธีวัดอัตราเงินเฟ้อทำได้โดยการวัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาของสินค้าและบริการกลุ่มหนึ่ง ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งระดับราคาของสินค้าและบริการ ใช้ชื่อว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index-CPI) ตัวอย่างการคำนวณอัตราเงินเฟ้อเดือนกุมภาพันธ์ 2550 โดยเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันเมื่อปีก่อน ซึ่งคือเดือนกุมภาพันธ์ 2549 เพื่อที่จะบอกว่าราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปแพงขึ้นหรือถูกลงเมื่อเปรียบเทียบกัน โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกุมภาพันธ์ 2550 ที่ประกาศโดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า อยู่ที่ 114.5 ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ปี 2549 อยู่ที่ 111.9


ดังนั้น
อัตราเงินเฟ้อของเดือนกุมภาพันธ์ 2550       frac{{(114.5 - 111.9)}}{{111.9}} times 100 = 2.3%    
ซึ่งอันนี้จะมีความหมายว่า ระดับราคาสินค้าและบริการโดยรวมมีราคาสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน 2.3% หรือหากเรามีเงินจำนวนเท่าเดิมกับปีที่แล้ว ค่าของเงินที่เราถืออยู่จะด้อยค่าไป 2.3% ซึ่งทำให้ซื้อของได้น้อยลง 


 
ที่มา: สำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

ถ้าเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ จะเกิดอะไรขึ้น?
 โดยปกติแล้ว หากเงินเฟ้อสูงขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ (ปกติตามหลักวิชาการคือเงินเฟ้อที่สูงไม่เกิน 5% จะเรียกเงินเฟ้ออย่างอ่อน (Mild inflation)) จะเป็นสิ่งที่ดีที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ผู้ผลิตมีการลงทุนขยายการผลิต และมีการจ้างงาน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจประเทศขยายตัวได้ดี ไม่มีผลเสียต่อเศรษฐกิจ แต่หากเงินเฟ้อสูงขึ้นมาก ๆ และสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะคาดเดาได้ว่าเงินเฟ้อจะเป็นเท่าไร (Hyper inflation) จะมีผลเสียต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะจะทำให้ผู้ผลิตไม่สามารถวางแผนการผลิตและลงทุนได้ เพราะไม่รู้ว่าวัตถุดิบที่จะซื้อเข้ามาราคาจะเป็นเท่าไร จะตั้งราคาสินค้าเท่าไร เพื่อให้ยังมีกำไร ขณะที่ประชาชนซึ่งเป็นผู้บริโภคเองก็ไม่แน่ใจว่าราคาสินค้าจะแพงขึ้นอีกหรือไม่ เงินจำนวนเท่าเดิมที่มีอยู่ในกระเป๋าก็ด้อยค่าลงไป เพราะข้าวของแพงขึ้น ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจก็ขายของได้น้อยลง ซึ่งที่สุดแล้วจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศแย่ลงได้
 โดยสรุปคือ ภาวะเงินเฟ้อใช้เพื่อวัดค่าครองชีพของประชาชน ภาวะเงินเฟ้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปสูงขึ้นต่อเนื่อง หากสูงขึ้นแล้วปรับลดลง จะไม่นับว่าเกิดภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งเงินเฟ้อในระดับอ่อนๆ จะไม่สร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ แต่หากเกิดภาวะเงินเฟ้อสูงๆ จะทำให้ค่าของเงินที่เรามีอยู่ด้อยค่าลงไป ทำให้ซื้อของได้น้อยลง ธุรกิจไม่สามารถผลิตหรือลงทุนได้เพราะมีความไม่แน่นอนเรื่องราคาอยู่สูง ซึ่งจะมีผลกระทบทางลบต่อระบบเศรษฐกิจในที่สุด

วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'มนสิช จันทนปุ่ม' 'เทรดเดอร์' ผู้เอาชนะตลาดด้วยระบบ

เปิดมุมมองการลงทุนโดยใช้ระบบเทรด'มนสิช จันทนปุ่ม' นักเก็งกำไรสไตล์ Trend Following ผู้ละทิ้งอีโก้ อารมณ์ พิชิตกำไรในตลาดหุ้น


"มด" มนสิช จันทนปุ่ม เซียนหุ้นหนุ่มมีความเชื่อว่าศาสตร์ของการเก็งกำไรอยู่บนพื้นฐานของ "เหตุและผล" กราฟไม่ได้หลอก และเจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้ คำถามสำคัญของนักเก็งกำไร ก็คือ เราจะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร..?
มนสิชเป็นอดีตนักเรียนวิชาดนตรี ผู้หลงใหลการลงทุนโดยการใช้ระบบเทรดทางสถิติ (System Trader) เขารวบรวมแนวความรู้การใช้เครื่องมือทางเทคนิคไว้ในเว็บไซต์ "แมงเม่าคลับดอทคอม" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek นัดพูดคุยกับเขาเรื่อง "เทคนิคการเทรดขั้นสูง"แต่อธิบายให้เข้าใจง่ายในแบบนักดนตรี
“ส่วนตัวผมลงทุนโดยใช้ระบบเทรดเพื่อตัดอารมณ์ความรู้สึก และใช้เทคนิคคัลแนว Trend Following” เซียนหุ้นหนุ่มเปิดประเด็น..สมัยเด็กๆ เขาก็เริ่มสนใจการลงทุนแล้ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มเล่นหุ้นทันที แต่สนใจทางด้านดนตรีด้วยจึงไปศึกษาต่อทางด้านดุริยางคศิลป์ มนสิชก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากรวยง่ายๆ แต่พอลงสนามจริงๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
เขากล่าวว่า ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ใช้เงินไม่เยอะขายของได้เงินมา "ไม่ถึงแสนบาท" ก็นำมาลงทุนแต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนวิธีคิด ค่อนข้างจะต่อต้านด้วย ในเมื่อหาผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เล่นแล้วก็ไม่ได้เรื่องลุ่มๆดอนๆ ลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีถึงจะเริ่มได้กำไรสม่ำเสมอ
เจ้าตัวบอกว่าไม่จริงเสมอไป คนเล่นดนตรีจะไม่ชอบตัวเลข นักดนตรีหลายคนก็สามารถคิดเลขได้ดี และมีบทวิจัยยืนยันด้วยว่าการเล่นดนตรีกับการคำนวนสามารถไปด้วยกันได้ หัวสมองก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์และความมีเหตุมีผล ถือเป็นการสร้างสมองสองด้านให้สมดุล
มนสิช บอกว่า ช่วงแรกที่ลงทุนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนของผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่อมาก็เริ่มศึกษาการลงทุนโดยใช้เทคนิคและพบว่าแนวทางนี้ "มันใช่" แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังถึงเริ่มจะเข้าใจว่าผิดที่ “แก่น” (หลักคิด) ของมันเลย สมัยก่อนพยายามที่จะพยากรณ์อนาคต นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูกราฟวันละ 7-8 ชั่วโมง พยายามหาคำตอบแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหาคำตอบได้ว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำทั้งหมด และไม่มีระบบไหนที่ดีที่สุด
“ช่วงแรกมีความเข้าใจว่าถ้าเราเทรดพลาดแปลว่าเราทำอะไรผิดสักอย่าง เราเลยยิ่งค้นหาไปเรื่อยๆว่าต้องใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบไหนถึงจะถูก คำตอบที่แท้จริงคือเทคนิคมันบอกเพียงแค่ "ความน่าจะเป็น" ไม่ถูก 100% ความน่าจะเป็นของการใช้เทคนิคมันถูกทดสอบจากากรเทรดมาแล้วเป็นพันครั้ง แล้วกำหนดเป็นสูตรออกมาแต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าการเทรดของเราครั้งไหนจะถูก"
เทรดด้วย 'โปรแกรมสถิติ' ยึดระบบ ละทิ้งอีโก้
หลังจากมนสิช เริ่มศึกษาการใช้ระบบในการเทรดหุ้น (System Trading) สิ่งที่ตอบโจทย์ก็คือระบบมันตัด “อารมณ์” และ "ความรู้สึก" ของผู้ลงทุนออกไป ระบบการเทรดจะตัดอะไรที่เป็น “นามธรรม” ออกไปและคิดเฉพาะที่เป็น "ตัวเลข" เท่านั้น สามารถพิสูจน์ได้ว่าขั้นตอนไหนดีหรือไม่ดี ปัจจัยไหนที่จำเป็นหรือไม่จำเป็น ตัดส่วนที่ไม่สำคัญออกไป ส่วนไหนที่เวิร์คก็นำมาจัดเป็นกฎระเบียบในการเทรด การลงทุนจะมีความเที่ยงตรงมากขึ้น การตัดสินใจจะไม่ขึ้นกับอารมณ์ เราจะไม่สนใจสภาวะตลาดเพราะได้ทดสอบความเป็นไปได้ทางสถิติที่เกิดขึ้นซ้ำๆ มาแล้วเป็นสิบปีๆแล้วนำมาพยากรณ์ความน่าจะเป็น เมื่อเราตัดสินใจอย่างเป็นระบบ ผลตอบแทนก็จะสม่ำเสมอ ถ้าเป็นในต่างประเทศจะมีระบบเทรดอัตโนมัติแต่ในไทยยังไม่ถึงขั้นนั้น
“ยกตัวอย่างง่ายๆ ระบบเทรดคือกฎที่วางไว้ เช่น พอหุ้นทะลุแนวต้านขึ้นมาก็ซื้อ เราจะคำนวณความเป็นไปได้ของมันแล้วมาจับใส่สัญญาณว่าจะซื้อหรือขาย ให้น้ำหนักการลงทุนอย่างไร”
ด้วยระบบเทรดที่สร้างขึ้นควรที่จะออกแบบให้มีความยืดหยุ่นสามารถเปลี่ยนแปลงได้แต่คงไม่ถึงขั้นเปลี่ยนรายวัน อาจจะเป็นรายเดือนถึงรายปี เพราะการที่รวบรวมข้อมูลมาเป็นสิบปีคงไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้เยอะนัก
ส่วนสไตล์การลงทุนจะเป็นการเล่นตามแนวโน้มหรือ Trend Following ที่จับคู่กับระบบเทรด ที่จริงแล้วสไตล์การลงทุนแบบตามแนวโน้มเป็น "ปรัชญา" อย่างหนึ่งคือเราต้องอยู่กับปัจจุบันแทนที่จะมองอนาคต เราเพียงตอบสนองไปตามสภาพตลาดที่เกิดขึ้น แนวโน้มไปทางไหนเราก็ไปทางนั้น
หลักการสำคัญของการเล่นตามแนวโน้มคือ ต้องรู้จัก Cut Loss และ Let Profit Run บริหารความเสี่ยงดีๆ ควบคุมโอกาสขาดทุนให้ต่ำ ถ้ามีกำไรต้องกินยาวๆ เวลาขาดทุนอาจจะเสียแค่บาทเดียวแต่อาจได้กำไรสามบาท แต่ถ้าโอกาสกำไรหรือขาดทุนเท่าๆกันแบบนี้พอร์ตจะไม่ไปไหน
หลายคนเชื่อว่าการเก็งกำไรไม่มีทางประสบความสำเร็จ มนสิช ไม่เชื่อแนวคิดนี้การเก็งกำไรมีมานานแล้วในตลาดหุ้นและตลาดคอมมอดิตี้ แม้แต่เฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จมากอย่าง เรเนสซอง เทคโนโลยี ของ จิม ไซมอน ยังสามารถทำกำไรเฉลี่ยทบต้นได้ถึง 34% ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีปีไหนที่ขาดทุนและทำกำไรได้ทุกสภาวะด้วย
“บางทีเราต้องเปิดใจมองอะไรกว้างๆ ผมได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าใช้เทคนิคอย่างเป็นระบบสามารถอยู่รอดได้ หลายๆ คนก็ทำได้ รายย่อยทุกคนก็ต้องทำได้ นักเก็งกำไรไม่ใช่นักพนัน..นักพนันจะเล่นเกมที่เขาอาจแพ้ได้โดยไม่รู้ตัว แต่นักเก็งกำไรจะเล่นเฉพาะเกมที่มีโอกาสชนะ"
กับคำถามที่ว่าเราไม่ต้องสนใจปัจจัยพื้นฐานเลยได้มั๊ย!! เซียนหุ้นหนุ่ม บอกว่า จากการสังเกตุพื้นฐานของหุ้นกับกราฟเทคนิคพอจะมีความสัมพันธ์กันอยู่บ้าง ส่วนตัวก็เริ่มลงทุนโดยมีบัฟเฟตต์เป็นไอดอล แต่มีความสุขที่ได้มองกราฟทั้งวันมากกว่า สรุปก็คือ กราฟเทคนิคจะมีความสัมพันธ์กับงบการเงินที่ประกาศออกมาเช่นกัน แต่ส่วนตัวจะเชื่อกราฟและระบบมากกว่า
บริหารหน้าตักเหมือนควบคุมเสียงดนตรี
มนสิช ไขคำตอบด้วยว่าทำไม! คนที่เก่งเทคนิคแต่พอร์ตกลับไม่โต คำตอบคือจะต้องบริหารหน้าตักหรือ Money Management ที่ดีประกอบด้วย ถ้าเก่งเทคนิคการเทรดเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้พอร์ตโตได้จะต้องบริหารหน้าตัก "เป็น" ด้วย มุมมองส่วนตัวเทรดเดอร์คนไหนบริหารเงินในพอร์ตไม่เป็นถือว่า "ไม่เก่งจริง"
การบริหารหน้าตักที่ดีจะต้องมาพร้อมกับการบริหารความเสี่ยง เราจะต้องควบคุมความเสี่ยงในทุกครั้งที่เทรดต้องขาดทุนไม่ 1% ของพอร์ต เพราถ้าเสียลึกไปกว่านี้โอกาสที่จะเอาคืนยากมาก สิ่งที่จะทำให้เราขาดทุนไม่ลึกกจะต้องควบคุม “ขนาดการลงทุน" นำจุดตัดขาดทุนมาคำนวนกับความผันผวนจะรู้ได้ว่าควรลงเงินเท่าไรในการเทรดต่อครั้ง
ในฐานะนักดนตรี เขาเปรียบเปรยหลักการบริหารเงินเหมือน "ตัวควบคุมระดับของเสียง" ถ้าระบบการเทรดคือเสียงที่เราอัด ระบบที่ดีคือเสียงที่เราบันทึกมาว่ามีคุณภาพเป็นอย่างไร ถ้าเราเปิดเสียงเบาเกินไป ผลตอบแทนที่ได้ก็จะต่ำเกินไปหรือฟังแล้วไม่ไพเราะ แต่ถ้าเปิดเสียงดังเกินไปจนลำโพงแตก แทนที่พอร์ตของเราจะกำไรก็ขาดทุนแทน ทุกระบบการเทรดจึงมีขนาดการลงทุนที่เหมาะสมอยู่ มากเกินไปน้อยเกินไปจะไม่ดี "ต้องพอดี"
“การรักษาความเสี่ยงไม่ให้เกิดบาดแผลใหญ่ในการเทรดแต่ละครั้งคือหัวใจสำคัญของการบริหารหน้าตัก ไม่ว่าคนพอร์ตเล็กหรือใหญ่จะต้องมีการจัดการ Money Management ทั้งนั้น ยิ่งคนพอร์ตเล็กยิ่งต้องสนใจเพราะเราอาจจะไม่รู้ตัวก็ได้ว่ารับความเสี่ยงมากเกินพอร์ตอยู่หรือเปล่า”
เรียนรู้จิตวิทยาการเทรด
มนสิช กล่าวต่อว่า การบริหารหน้าตักยังเชื่อมโยงไปถึงจิตวิทยาการเทรดด้วย เพราะแม้ว่าจะมีระบบการเทรดที่ดี แต่ถ้าพอร์ตเกิดขาดทุนหนักอย่างรวดเร็วอาจจะเกิดอาการช็อกหรือพอทำกำไรได้เร็วมากๆ จะเกิดอาการตื่นเต้นจนทำผิดแผนลงทุนที่วางไว้
การเป็นเทคนิคคัลที่ดี “วินัยการลงทุน” มีความสำคัญมากๆ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจให้ถูกก่อนว่าการใช้เครื่องมือทางเทคนิคมันเป็นเพียงแค่ “ความน่าจะเป็น” จากการทดสอบมาแล้วหลายร้อยหลายพันครั้ง จึงไม่สามารถบอกได้ทุกครั้งว่าจะต้องได้กำไรเท่าไร เพียงแค่บอกได้ว่าถ้าลงทุนโดยใช้ระบบนี้จะทำให้ได้กำไรหรือไม่ เทรดเดอร์จึงต้องยอมรับในความน่าจะเป็นนี้ แต่หลายคนมี “อีโก้” เมื่อการลงทุนไม่เป็นไปตามที่ระบบวางไว้ก็จะเกิดความกลัวผิดพลาดตามไปหมดหรือทำใจไม่ได้ที่การตัดสินใจผิดพลาด นำไปสู่การไม่ทำตามระบบที่วางไว้ในที่สุด
เหมือนกับการไปเล่นคาสิโนและหยอดเหรียญลงสล็อต ต้องเข้าใจว่าถ้าเราไม่ได้เงินจากการเล่นครั้งนั้นมันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเรา มันเป็นเพราะดวงไม่ดี การที่เสียเงินจึงไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดของเรา ถ้าเข้าใจได้แบบนี้ถึงจะลงทุนตามระบบได้ในระยะยาว การที่มีอีโก้จะทำให้เราไม่ยอมรับในระบบ ถ้ามีความเข้าใจเรื่องของระบบเทรดมันจะกลบอีโก้เราได้จะช่วยเตือนสติเรา
“สรุปคือในการเทรดทุกอย่างมันเชื่อมกันหมดทั้งระบบเทรด Money Management และจิตวิทยา นักลงทุนจะต้องเข้าใจทั้งสามสิ่งนี้ถึงจะเทรดแล้วอยู่รอดได้ในระยะยาว ต่อให้ระบบดีแค่ไหนแต่ถ้าบริหารเงินไม่ดีและไม่เข้าใจจิตวิทยาการเทรด ต่อให้ได้กำไรก็ไม่สูงเท่าที่ควรจะได้”
ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์แมงเม่าคลับ ทิ้งท้ายว่าตลาดหุ้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเอาชนะได้ยากเกินความสามารถของนักลงทุนรายย่อย ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือการเทรดที่ซับซ้อน ส่วนตัวอยากให้ใช้ชีวิตการลงทุนให้ง่าย ช่วงแรกที่เราสร้างระบบอาจจะยากแต่ถ้าเราสามารถหาระบบที่เหมาะสมกับตัวเราได้ทุกอย่างต่อไปจะง่าย
“ทำไมนักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ผมคิดว่าพวกเขาไม่มี Passion (ความมุ่งมั่น) ที่จะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง คนส่วนใหญ่ต้องการรวยแบบฉาบฉวย แต่จริงแล้วการลงทุนเหมือนทำธุรกิจคือต้องมีความรู้ ประสบการณ์และทักษะ ช่วงแรกๆเราอาจเจ็บตัวบ้างแต่อย่ายอมแพ้ ทำในสิ่งที่เราชอบและพัฒนามันให้ดีที่สุด”
--------------------
บทเรียนนักเก็งกำไร..'เจสซี่ ลิเวอร์มอร์'
มนสิช จันทนปุ่ม ยกตัวอย่างหนังสือที่เขียนขึ้นพิเศษสำหรับสมาชิกเว็บไซต์ โดยยกกรณีศึกษาของ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นตำนานแห่งวอลสตรีท โดยเฉพาะช่วงที่เกิดเหตุการณ์ Great Depression ปี 1929 เป็นคนที่เก่งมากแต่มีจุดอ่อนที่ใหญ่ซึ่งน่าจะเป็นบทเรียนสำคัญให้นักลงทุนทุกคน
“เขาเป็นเซียนหุ้น เซียนคอมมอดิตี้ เมื่อ 90 กว่าปีที่แล้ว เขาเป็นต้นแบบการเก็งกำไร วิชาการเทรดที่เราได้เรียนมาอย่างเล่นตามแนวโน้ม การควบคุมความเสี่ยง ทยอยซื้อช่วงขาขึ้น ฯลฯ เจสซี่เป็นต้นแบบทั้งนั้นทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีและก็เจ๊งหมดตัวและก็กลับมารวยใหม่ แต่สุดท้ายต้องฆ่าตัวตาย น่าสนใจว่าทำไมคนเก่งเรื่องการลงทุนถึงมีผลการลงทุนผันผวนขนาดนี้”
ข้อคิดจากบทเรียนดังกล่าวก็คือ เจสซี่ ลิเวอร์มอร์ มักจะ “ลืมตัว” และลืมในสิ่งที่ตั้งใจไว้เพราะประสบความสำเร็จมามากจนมีอีโก้ที่สูง ถ้าศึกษาแนวทางลงทุนของเขาจะค่อยๆ กำไรจากการเพิ่มโพสิชั่นการเทรดในเวลาที่ตลาดกำลังเป็นขาขึ้นถ้าถูกทางก็จะเติมเงินลงไปเรื่อยๆ แต่พอบางช่วงที่เขาคิดว่าหุ้นจะต้องลงก็ไปชอร์ตไว้แต่กลับไม่ลง เขาก็ทำใจไม่ได้เพราะมั่นใจในตัวเองสูงเลยเฉลี่ยขาดทุน เงินที่มีอยู่เท่าไรก็เติมไปจนหมด สุดท้ายก็ขาดทุนหนักเพราะฝืนแนวโน้มตลาด นี่คือเครื่องเตือนใจว่าแม้จะมีระบบการเทรดและแนวคิดดีแค่ไหน สำคัญคือจะต้องมีการควบคุมอารมณ์เสมอ
“เขามักจะลืมตัวและลืมในสิ่งที่ตั้งใจไว้ ถึงอย่างไรเขาก็กล้าที่จะเขียนความผิดพลาดของตัวเองลงไปในหนังสือว่าไม่ควรทำแบบนั้นเลย เขาถึงเจ็บซ้ำแบบเดิมๆ เดี๋ยวรวยเดี๋ยวจน จะเห็นได้ว่าเขามีไอคิวการลงทุนสูงแต่มีอีคิวไม่สม่ำเสมอ อารมณ์แบบนี้ทำให้ชีวิตครอบครัวแตกแยก จนต้องยิงตัวตายในที่สุด”

วันพฤหัสบดีที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ฝากเล่าความสำเร็จ



Do it yourself




ฺํBY ADMIN
เอามาฝากเพื่อนๆนักเทรดทุกคน และผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิตซักอย่างหนึ่ง แต่สำหรับคนที่ได้อ่านในบล็อคนี้ผมคิดว่าส่วนใหญ่คงหวังที่จะประสบความสำ้เร็จจากการลงทุนซึ่งเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก เพราะการลงทุนไม่ว่าจะทางใดก็ตามมันสามารถสร้างผลกำไรให้เราได้อย่างไม่จำกัดและทวีผลกำไรให้ทำกำไรให้เราได้อีก(จริงเหรอฟังดูอาจจะเกินจริงไปหน่อยแต่หากลองมองให้ดีนี่หละคือสิ่งมหัสจรรย์เลยมัน ข้ออ้างคำพูดของเด็กอายุยังไม่เกิน 15 มาพูดหน่อยแล้วกันว่านี่มันคือทฤษฎี สมการล้างโลก) จงสร้างมันด้วยตัวเองหาประสบการณืให้ตัวเองอย่าไปเฝ้ารอความช่วยเหลือจากคนอื่น
พฤติกรรม และนิสัย เป็นส่วนผสมที่ทำให้คุณเป็นเศรษฐีได้ แต่ในเวลาเดียวกันพฤติกรรมและนิสัยบางอย่าง ก็บันดาล ความยากจน ให้กับคุณได้เหมือนกัน
หากคุณลองหมั่นสังเกตนิสัยของบรรดาเศรษฐีทั้งที่อยู่รอบตัวเราและที่อยู่ห่างตัวหน่อยก็จะเห็นว่าพวกเขามีลักษณะนิสัยที่คล้ายๆ กัน อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันบ้าง แต่โดยรวมจะค่อนไปในทางละม้ายคล้ายกัน ในทางตรงกันข้ามพวกที่ไม่เคยถูกเรียกว่าเศรษฐี ก็มักจะมีนิสัยที่ถอดแบบกันมาเช่นกันทั้ง ฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ เกินตัว ไม่ใช่นิสัยหรือพฤติกรรมทุกอย่างของคนเรา ที่จะหนุนนำให้ทุกคนขึ้นบัลลังก์ของเศรษฐีได้

เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอม ได้นำเสนอบทความเกี่ยวกับ "8 นิสัยที่จะช่วยให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้าน"?ลองสำรวจตัวเองดู บางทีคุณอาจจะมีนิสัยเหล่านี้ซ่อนอยู่ในตัวอยู่แล้วก็ได้?บางคนอาจจะไม่มีเลย แต่ไม่เป็นไร นิสัยเหล่านี้สร้างและบ่มเพาะกันได้หรือบางคนอาจจะแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนิดหน่อย แล้วนำนิสัยเหล่านี้มาประยุกต์ใช้อย่างไม่ยากเย็น

ลักษณะนิสัยทั้ง 8 ข้อจากนี้ไป เป็นเหมือนกฎขั้นพื้นฐานที่เศรษฐีเงินล้านส่วนใหญ่ทั่วโลกยึดถือและปฏิบัติ เพื่อสร้างรายได้ให้กับตัวเอง ซึ่งคนไทยทั่วไปสามารถนำไปใช้เป็นแบบอย่าง ช่วยให้ตัวเองเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ ด้วยหนึ่งสมองและสองมือสองขาของเรานี่เอง 

1.หาเงินไว้ลงทุน..ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย?

ใครก็ตามที่มุ่งมั่นและตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะร่ำรวยเงินทอง?เพราะคนที่หาเงินได้มาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นเจ้าของคำว่า "เศรษฐี" เพราะบางคนหาได้เงินมากก็ใช้จ่ายมากบางคนทำมาหากินแทบตาย แต่ต้องเอามาใช้หนี้สินที่ติดตัวอยู่?แต่สำหรับคนที่เป็นเศรษฐี จะมีนิสัยที่ค่อนข้างชัดเจนคือ เมื่อได้เงินมาก็จะนำไปต่อยอดการลงทุน เข้าตำราหาเงินไว้เพื่อลงทุน ไม่ใช่เพื่อใช้จ่าย





"คนส่วนใหญ่ทำงานหนัก เพื่อชำระหนี้บัตรเครดิต และบำเรอความสุขให้กับชีวิตตัวเอง?แต่กลุ่มคนมีเงินตระหนักว่า ถ้านำเงินก้อนที่มีอยู่ไปต่อยอดให้ออกดอกออกผลเพิ่มความมั่งคั่งให้กับตัวเองน่าจะดีกว่า" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ 



"วิเชฐ ตันติวานิช" กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ MAI เห็นด้วยกับนิสัยนี้?เพราะมีคนจำนวนมากที่มีรายได้เยอะ?แต่เมื่อมีมากใช้มากก็ไม่มีทางที่จะเป็นเศรษฐีได้?แต่คนที่เป็นเศรษฐีก็มักจะมีนิสัยที่ต่างออกไป?เมื่อมีรายได้เข้ามา แทนที่จะโหมใช้จ่าย พวกเขาจะนำเงินไปต่อยอดลงทุนเพื่อให้เงินออกดอกออกผล 

2.มีแผนและทำตามแผน



เศรษฐีเงินล้านที่รวยได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง ไม่ได้ร่ำรวยเพราะความบังเอิญส่วนหนึ่งนั่นเพราะพวกเขามีนิสัยที่มีแผนและลงมือปฏิบัติตามแผน?ซึ่งนั่นเป็นแรงผลักดันที่ช่วยพวกเขาให้เดินสู่ความรวย?

"การวางแผนและทำตามแผนนำพวกเขาสู่จุดหมาย?นั่นคือการลงทุนและสั่งสมความมั่งคั่งไว้ตลอดชีวิต" เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ให้ทัศนะ 

"ดารบุษป์ ปภาพจน์" ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ?สายงานพัฒนาธุรกิจและการตลาด 2 บลจ.กรุงไทย มองว่า?เรื่องสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งมือใหม่หัดลงทุนมักจะละเลยไป คือการทำตามแผนที่วางไว้โดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลยุทธ์ ?ออมเงินก่อน? หรือ Pay Yourself First โดยการหักเงินออมออกจากบัญชีเงินเดือนทันทีที่เงินเดือนออก ก่อนที่จะนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่น เพราะแผนที่วางไว้อย่างสวยหรูนั้น จะไม่มีประโยชน์เลย หากไม่มีการนำมาปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง 

การมีวินัยในแผนลงทุนนั้นยังรวมถึง ผู้ลงทุนที่เลือกการลงทุน โดยใช้กลยุทธ์เฉลี่ยต้นทุน (

Dollar Cost Averaging) ด้วยการลงทุนเป็นประจำด้วยจำนวนเงินที่เท่ากัน ผู้ลงทุนควรมีวินัย ไม่หวั่นไหวไปกับการขึ้นลงของภาวะตลาด โดยอาจใช้ร่วมกับแผนการลงทุนอัตโนมัติที่บริษัทจัดการต่างๆ มีไว้บริการ ซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลา และลดความวุ่นวายใจไปได้มากทีเดียว 

วิเชฐเห็นด้วยกับข้อนี้

ทุกคนคิดและวางแผนการเงินการลงทุนได้ว่าจะทำโน่นนี่นั่น?แต่ไม่ใช่ทุกคนที่วางแผนแล้วจะปฏิบัติหรือลงมือทำตามแผน?ฉะนั้น ใครก็ตามที่วางแผนทางการเงินให้ตัวเอง แล้วเดินตามแผนก็มักจะมีแววที่จะเป็นเศรษฐี 

3.ทำงานหาเงินให้มากขึ้น



ความหมายข้อนี้ดูเหมือนชัดเจน เพราะกลุ่มคนมั่งคั่งมักจะพากันแสวงหาหนทาง ที่จะสร้างหรือหารายได้ให้ไหลมาเทมาอย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีวันหยุด ด้วยการเพิ่มจำนวนเงิน ให้ทำงานออกดอกออกผลให้พวกเขาได้มากขึ้น



นี่คือนิสัยประจำตัวของบรรดาเศรษฐี

จะสังเกตเห็นได้ว่า?ยิ่งร่ำรวยอยู่แล้ว ยิ่งไม่หยุดทำงาน?ยิ่งมั่งคั่งอยู่แล้ว ยิ่งหาทางต่อยอดการลงทุนให้มั่งคั่งยิ่งขึ้น 

เรื่องนี้วิเชฐตั้งข้อสังเกตว่า คนที่มีเงินทองหรือร่ำรวยในระดับหนึ่งแล้ว

พวกเขามักไม่เก็บเงินเอาไว้อย่างเดียว แต่หาช่องทางเพื่อขยับขยายความรวย ซึ่งเมื่อถึงจุดนี้เขามักจะให้เงินทำงานช่วยอีกแรง?เรียกว่าทำเงินได้?2 เด้ง?

4.เข้าใจฐานะการเงินของตัวเอง



กลุ่มคนที่มีความมั่งคั่งต่างตื่นตัวกับการรับรู้รายได้ในบัญชีส่วนตัว และรู้ว่าการไหลเวียนของเงินที่ไหลเข้าออกในบัญชีมีเท่าไร

ตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่าต่างจากคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ที่มักจะไม่ค่อยสนใจและใส่ใจในฐานะการเงินของตัวเองซักเท่าไร 

บางคนยิ่งไปกว่านั้น เพราะปล่อยให้หนี้ท่วม นอกจากไม่ได้จัดระเบียบหนี้แล้ว ที่ร้ายกว่านั้นคือแทบไม่รู้เลยว่าหนี้ของตัวเองเบ็ดเสร็จแล้วมีเท่าไร



เรื่องนี้ดารบุษป์บอกว่าก่อนที่จะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ

เราจะต้องมีการวางแผนรู้เขา รู้เรา ซึ่งการวางแผนการลงทุนก็ไม่ต่างกัน การเข้าใจฐานะการเงินของตนเองให้ถ่องแท้ เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ก็จะเหมือนการขับรถทางไกลโดยไม่เตรียมความพร้อม ไม่ได้เช็คเครื่อง หม้อน้ำ ปริมาณน้ำมัน ไม่รู้ว่ากำลังเครื่องยนต์ของรถนั้นมีมากน้อยเพียงใด สามารถขึ้นเขา ลุยโคลนได้หรือไม่ 

ซึ่งการละเลยไม่เข้าใจตนเองเช่นนี้ ก็มีแต่จะจะทำให้เราประสบปัญหาและอุปสรรคระหว่างทาง ต้องเสียเวลามากกว่าที่ควรเพื่อจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ หรือบางทีก็อาจหมดกำลังใจไปก่อนที่จะถึงเป้าหมาย





"ก่อนจะเริ่มต้นวางแผนการเงินนั้น เราจะต้องรู้ว่ารายรับของเรานั้นมีความสม่ำเสมอแค่ไหน มีส่วนเกินกว่ารายจ่ายหรือไม่ รวมถึงมีการกันเงินเผื่อสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเพียงพอที่จะทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งเงินที่ตั้งใจเก็บไว้เพื่อการลงทุนระยะยาว ซึ่งหากเราละเลยขั้นตอนนี้ไป ก็ยากที่จะถึงเป้าหมายได้ " 

วิเชฐเสริมว่า คนที่เป็นเศรษฐีมักจะมีนิสัยใส่ใจในเรื่องเงินทองอยู่แล้ว ทั้งรายรับรายจ่ายทำใส่เอ็กเซลชีทเอาไว้ ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นเศรษฐี ควรจะทำอย่างยิ่ง

นี่เป็นบันไดก้าวหนึ่งที่จะนำคุณไปเป็นเศรษฐีได้ 

5.กล้ารับความเสี่ยงอย่างเหมาะสม



เวบไซต์เอ็มเอ็มแฮบบิทส์ดอทคอมบอกไว้ว่า

การเป็นผู้กล้ารับความเสี่ยง เป็นสิ่งต้องทำเพื่อเพิ่มความรวยให้ตัวเอง หากไม่เข้าไปฉวยโอกาสบางครั้ง เงินที่มีอยู่จะไม่มีโอกาสงอกเงย?แต่เหนืออื่นใด?ต้องเป็นความเสี่ยงที่คุณรับได้?และต้องมีการวางกลยุทธ์อย่างดีเพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เกิดจากภาวะตลาดตกต่ำหรือช่วงขาลง 

ข้อนี้ วิเชฐมองว่า คนที่จะเป็นเศรษฐีได้

พวกเขามักรู้ว่าความเสี่ยงคืออะไร?ประเมินได้ว่าความเสี่ยงมันใหญ่ขนาดไหน และตัวเขาเองสามารถรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?



"เพราะความเสี่ยงในระดับสูง?ไม่ใช่ว่าเราไปยุ่งกับมันไม่ได้ คนที่เป็นเศรษฐีได้เขาจะประเมินพละกำลังของตัวเองก่อนว่า?ความเสี่ยงแค่นี้ เรารับมือไหวมั้ย เพราะถึงจะเสี่ยงสูง แต่ถ้าเรารับความเสี่ยงไหว เราจัดการกับความเสี่ยงนั้นได้ โอกาสที่จะได้ผลตอบแทนสูงก็มี " 

6.มีความอดทน&สติซ่อนอยู่ในการลงทุน?



สังเกตมั้ยว่าพวกเศรษฐีเงินล้านที่ร่ำรวยจากสองมือสองขากับหนึ่งสมองของตัวเอง ไม่ได้กลายเป็นเศรษฐีเพียงชั่วข้ามคืน แต่เศรษฐีเหล่านี้เข้าใจถึงพลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น และความพยายามลงทุนอย่างต่อเนื่องไม่หยุด เพื่อให้ได้ความร่ำรวยเป็นรางวัลตอบแทน



ดารบุษป์เปรียบเปรยให้ฟังว่ามีคนเคยเปรียบการลงทุนว่าเหมือนการไต่เทือกเขาสูง ยิ่งเป้าหมายสูงเพียงใด นอกจากต้องเตรียมความพร้อมของอุปกรณ์แล้ว ต้องอาศัยจิตใจที่แข็งแกร่งจึงจะก้าวผ่านหุบเหวที่เป็นอุปสรรคไปได้ การลงทุนก็เช่นกัน ความผันผวนของตลาดหุ้นนั้นเกิดขึ้นมาทุกยุคทุกสมัย มากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ดังนั้น เมื่อนักลงทุนได้แสวงหาเส้นทางการลงทุนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของตนเองแล้ว ก็ควรเตรียมใจที่จะพบอุปสรรคที่จะเข้ามา



หากอุปสรรคนั้นเป็นอุปสรรคที่ประเมินไว้ล่วงหน้าแล้ว เช่น เมื่อตัดสินใจลงทุนในหุ้นของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน อินเดีย หรือรัสเซีย ซึ่งมีโอกาสรับผลตอบแทนสูง ก็ต้องเผื่อใจสำหรับโอกาสที่จะขาดทุนอย่างมากในบางช่วงเวลาด้วยเช่นกัน



วิเชฐเสริมว่าอดทนอย่างเดียวไม่พอ

สำคัญที่สุดคนที่จะเป็นเศรษฐีได้ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา?เพราะคนที่มีสติจะทำให้ตัดสินใจได้ว่าในสถานการณ์นั้นๆ เขาควรตัดสินใจอย่างไร?เช่นถ้าภาวะตลาดหุ้นไม่ดี คนที่มีสติก็อาจจะประเมินและตัดสินใจได้ว่า สถานการณ์ย่ำแย่แบบนี้เขาควรจะถอนตัวออกหรืออยู่ต่อเพื่อรอ หรือหาจังหวะเข้าลงทุน 

7.ได้ทีมที่ยอดเยี่ยม



กลุ่มคนร่ำรวยยังคงความมั่งคั่งของตัวเองไว้ได้ ด้วยผู้คนแวดล้อมซึ่งเป็นที่ปรึกษาการเงินและกฎหมาย ซึ่งล้วนมีฝีมือเป็นเลิศในแวดวงอาชีพนั้นๆ

นั่นเป็นประเด็นที่เราเห็นได้ว่าบรรดาเศรษฐีเงินล้านมักไม่เดินหน้าสร้างความร่ำรวยโดยลำพัง 



"ลองสังเกตดูสิ?คนที่เป็นเศรษฐีไม่ใช่ว่าทุกคนเกิดมาท่ามกลางคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน?แต่คนเหล่านี้จะพาตัวเองเข้าไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่มีความรู้เรื่องการลงทุน นั่นทำให้เขามีโอกาสได้เรียนรู้แง่มุมและช่องทางต่างๆ ของการลงทุน?ว่าอะไรที่จะทำให้เงินทองของเขางอกเงยขึ้น หรือมีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้เงินออกดอกออกผล" วิเชฐให้ทัศนะ 

8.รับฟัง..กลั่นกรอง...นำไปใช้



นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คุณเป็นเศรษฐีเงินล้านได้ด้วยความสามารถของตัวเอง คือการแสวงหาคำแนะนำจากที่ปรึกษาเชื่อถือไว้ใจได้ เศรษฐีเหล่านี้รับฟังด้วยความมุ่งมั่นมีใจจดจ่อ จากนั้นพวกเขาก็สามารถนำไปปฏิบัติและตัดสินใจได้ด้วยตัวเองเพื่อพยายามสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเอง ดารบุษป์บอกว่าการวางแผนการลงทุนนั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนชีวิต ซึ่งต้องการความมีเหตุผลสูงกว่าการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป การฟังเขามาแต่เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอที่จะแน่ใจได้ว่าการลงทุนที่เหมาะกับคนอื่นนั้นจะเหมาะกับตัวเราด้วย เช่น เมื่อฟังเพื่อนๆ พูดถึงผลตอบแทนที่ได้รับ ก็ต้องนำมากลั่นกรองว่าการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใด ผลตอบแทนที่ว่าสูงนั้นๆ คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่ และตัวเรานั้นมีความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่ว่านั้นแค่ไหน หรือมีวิธีที่จะลดหรือกระจายความเสี่ยงอย่างไรได้บ้าง โดยอาจต้องศึกษาจากข้อมูลการลงทุนในหนังสือชี้ชวน สอบถามผู้รู้ ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน

วิเชฐเองก็เห็นด้วยว่าคนจะเป็นเศรษฐีได้เบื้องต้นต้องหัดรับฟังข้อมูล?หาข้อมูลการลงทุนให้เยอะเข้าไว้?จากนั้นก็นำมากลั่นกรอง?เพราะเมื่อได้ข้อมูลเยอะเราต้องกรอง จากนั้นค่อยนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการตัดสินใจลงทุน?

"ผมว่านิสัยเหล่านี้เศรษฐีมีทุกคน บางคนข้อมูลเยอะ กลั่นกรองแล้ว แต่ไม่กล้าตัดสินใจที่จะลงทุน?คุณก็เป็นได้แค่นักวิเคราะห์ แต่เป็นเศรษฐีไม่ได้" วิเชฐให้ความเห็นทิ้งท้าย ใน 8 นิสัยเหล่านี้ ลองถามไถ่ตัวเองดูซิว่ามีกี่ข้อ ถ้ามีครบ 8 เตรียมสะกดคำว่าเศรษฐีรอไว้ได้เลย?แต่ถ้าไม่มีสักข้อ ก็ยังไม่สายเกินไปค่อยๆ บ่มเพาะนิสัยเหล่านี้กันใหม่ได้ 
วิธีการลงทุนในทองคำกับความเสี่ยง



การลงทุนในทองคำ เป็นกระแสที่นักลงทุนส่วนใหญ่ให้ความนิยมเป็นอย่างมาก โดยนักลงทุนสามารถลงทุนได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเหตุผลที่มีอย่างมากมายที่สามารถดึงดูดนักลงทุน เช่น การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำตามสถิติตั้งแต่ปี 2001 ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 150% ความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่ลดลง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แม้ว่าขณะนี้ราคาทองจะปรับตัวลดลงก็ตาม ความนิยมในการลงทุนก็มิได้ลดน้อยลงเลย บทความนี้ก็อยากจะพูดทั้ง 2 มุมมองของการลงทุนในทองคำไม่ว่าทางตรงโดยการซื้อทองคำแท่งเอง และการลงทุนโดยอาศัยความชำนาญของผู้บริหารกองทุน 

การลงทุนโดยตรง : นักลงทุนส่วนใหญ่แล้วจะนิยมซื้อทองคำแท่ง หรือทองรูปพรรณมาเก็บไว้ ช่วงที่ผ่านมาราคาขึ้นแรงๆ คนก็เอาไปขาย บางช่วงที่ราคาปรับลดลง คนก็ไปซื้อเก็บไว้เพื่อเก็งกำไร การที่นักลงทุนจะตัดสินใจซื้อหรือขายนั้น ผมอยากแนะนำให้ท่านได้ติดตามสถานการณ์และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาทองคำด้วย เช่น ในช่วงที่ผ่านมาราคาทองปรับตัวสูงขึ้นเพราะอะไร เราก็ต้องไปดูและศึกษาว่า Demand และ Supply นั้นสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าหรือราคาจริงของทองคำไหม หรือเป็นเพราะเกิดจากการเก็งกำไรของ Hedge Fund อย่างที่ผ่านมาไม่กี่เดือน ตัวอย่างที่ผ่านมาสำหรับสถานการณ์การซื้อขายทองคำในช่วงสงกรานต์ จะเห็นได้ว่าความต้องการซื้อทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากราคาทองคำที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามด้วย 

      อย่างไรก็ดี การลงทุนในทองคำก็ถือเป็นการลงทุนที่ใช้ในการลดผลกระทบจากเงินเฟ้อได้ เนื่องจากถ้าเรามองราคาทองคำระยะยาวแล้ว ทองคำก็ยังคงมีมูลค่าสูงอยู่ดี แม้ปรับลดด้วยอัตราเงินเฟ้อแล้วก็ตาม
      
การลงทุนผ่านกองทุนรวม :ซึ่งถือเป็นการอาศัยความเชี่ยวชาญของ บลจ. ต่างๆ ซึ่งเท่าที่มีอยู่ในตอนนี้ เช่น TMB Gold Fund, ING Golden Star link, BT FIF Golden link เป็นต้น อย่างที่เราทราบกันดี การลงทุนในกองทุนรวมมีขั้นตอนในการตัดสินใจพิจารณาหามูลค่าของการลงทุนนั้นๆ ก่อนตัดสินใจซื้อหรือขาย โดยกลยุทธ์การซื้อขายของกองทุนเท่าที่ผมเข้าใจ จะใช้การบริหารเชิงรับ (Passive Investment Strategy) โดยเป็นการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศอีกที ฉะนั้นการลงทุนประเภทนี้ก็ถือเป็นกองทุน FIF อย่างหนึ่ง ถ้าถามว่าปัจจัยใดที่มีผลกระทบต่อเงินลงทุนของกองทุนประเภทนี้ คำตอบคือความผันผวนของราคาทองคำ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ความเสี่ยงด้วยกัน 

      1) ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาทองคำ (Price Risk) หมายถึงโอกาสที่ราคาทองในตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้นหรือลดต่ำลงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือระยะยาวในบางครั้ง เช่น ในช่วงที่ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ ขายเงินทุนสำรองที่เก็บในทองคำออกมาในตลาด จนทำให้ราคาทองในตลาดโลกลดต่ำลง ทั้งนี้ หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจะส่งผลกระทบต่อกองทุน เนื่องจากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนมีการเปลี่ยนแปลงตามราคาทองในตลาดโลก ดังนั้นหากราคาทองในตลาดโลกลดลงจะส่งผลทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนลดลงได้
      
      อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำมีความเป็นอิสระจากการเปลี่ยนแปลงจากการลงทุนการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูลทางสถิติย้อนหลังที่ทำการศึกษาทั้งในและต่างประเทศแสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนของทองคำมีค่าความสัมพันธ์กับผลตอบแทนจากการลงทุนในสภาวะที่คาดว่าผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารทุนหรือตราสารหนี้มีแนวโน้มลดลง
      
      2) ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk) ความเสี่ยงที่เกิดจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลต่างประเทศอื่น กล่าวคือ หากค่าเงินบาทมีค่าแข็งขึ้นจากวันที่กองทุนเข้าลงทุนเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ที่เข้าลงทุนนั้น (เช่น จาก 33 บาท ต่อ1ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 31 บาท) จะทำให้กองทุนได้รับดอกเบี้ยตามงวดและ/หรือเงินต้นเมื่อครบกำหนดของตราสารเป็นเงินบาทในจำนวนที่น้อยลง ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนของการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้ ในทางกลับกัน หากค่าเงินบาทมีค่าอ่อนลง (เช่น จาก 33 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็น 35 บาท) จะทำให้มูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนเมื่อคำนวณเป็นสกุลเงินบาทมากขึ้น
      
      สรุป : การลงทุนในทองคำถือเป็นการกระจายการลงทุนอีกวิธีหนึ่งนอกเหนือจาก การลงทุนต่างๆ ที่กล่าวมาในบทความที่แล้ว (?จัดพอร์ตการลงทุน?) และนิยมใช้เป็นเครื่องมือลดความเสี่ยงในการลงทุน เนื่องจากการวิจัยและศึกษาโดยหาค่า Correlation กับการลงทุนประเภทอื่นๆ เช่น ตราสารหนี้ ตราสารทุน แล้ว มีค่า Correlation ที่ต่ำ จึงถือเป็นการกระจายลงทุนที่ดีในช่วงที่ตราสารหนี้ และตราสารทุนมีความผันผวน
เคล็ด (ไม่) ลับ กับวัยเริ่มทำงาน


เวลาที่มีการพูดคุยกันถึงเรื่องการวางแผนทางการเงิน และบริหารเงินออมเพื่อการเกษียณให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือเพียงพอต่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขหลังเกษียณนั้นมักจะมีคำถามที่ถามกันบ่อยจากท่านที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่ช่วงชีวิตของทำงาน เช่น คำถามว่าเร็วเกินไปหรือไม่ที่จะออมเงินเพื่อการเกษียณ  หรือคำถามที่ว่าเพิ่งทำงานยังไม่พ้นช่วงทดลองงานเลย ทำไมต้องรีบออมเงินเพื่อใช้หลังเกษียณด้วย

         วันนี้ผมจึงขอเล่าประสบการณ์การออมของผมให้ผู้ที่เพิ่งเรียบจบ หรือเริ่มเข้าสู่วัยทำงานให้ฟังครับ ท่านเชื่อหรือไม่ครับว่าช่วงแรกๆ ของการทำงานของผมได้มีความตั้งใจว่าทุกๆ เดือนเมื่อใช้จ่ายแล้วเหลือเท่าไรก็จะออมเพื่ออนาคตที่มั่งคั่ง ตามความฝันของคนที่เพิ่งมีงานทำ  ปรากฎว่าความคิดที่จะออมหลังจากใช้จ่ายนั้นได้ทำให้ผมกลายเป็นบุคคลที่มีเงินเดือนเท่าไรก็ไม่ค่อยพอใช้เท่านั้นครับ หรือที่เรียกว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง และผมไม่สามารถเก็บออมเงินได้เลย  ต่อมาผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการออมเงินชื่อว่า ?ออมก่อน รวยกว่า? ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดพิมพ์ขึ้น แต่งโดย คุณนวพร เรืองสกุล อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เนื้อหาของหนังสือมีการนำเสนอแนวคิดด้านการออมและการลงทุนไว้ โดยใช้ภาษาที่ง่าย ๆ ซึ่งต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้ทำให้ผมต้องกลับมาคิดว่าหากออมก่อนแล้วจึงค่อยนำไปใช้ น่าจะเป็นวิธีที่จะทำให้ผมมีเงินเหลือเก็บได้ ผมจึงเริ่ม ?ออมก่อน ใช้ทีหลัง? และด้วยวิธีนี้ทำให้ทุกวันนี้ผมมีเงินเหลือพอที่จะนำไปลงทุนให้งอกเงยเพื่อที่จะได้มีโอกาสมีเงินใช้อย่างเพียงพอสำหรับชีวิตหลังเกษียณ

         หลายท่านที่เพิ่งจบการศึกษาไม่ทราบว่าจะเริ่มต้นวางแผนเพื่อการเกษียณอย่างไร  ผมมีเคล็ด(ไม่)ลับ เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มทำงาน มาเล่าสู่กันฟัง ดังนี้ครับ 
                    
         การมีวินัย   โดยหัก 10%ของรายรับเก็บเอาไว้เป็นเงินออมนั่นคือในแต่ละเดือนหรือทุกครั้งที่มีรายได้เข้ามา ต้องหักไว้อย่างน้อย 10% อย่างประจำและสม่ำเสมอที่เหลือจึงนำมาใช้จ่ายได้ หากท่านเริ่มมีวินัยในการออมเงินเป็นเหมือนที่ผมได้บอกไว้ได้เร็วเท่าไร ท่านก็สามารถบรรลุเป้าหมายทางการเงินได้เร็วเท่านั้นครับ  
                   
         การทำบัญชีรับจ่ายรายสัปดาห์ หรือรายเดือน  วิธีนี้เป็นวิธีที่ง่าย และทำให้เรารู้ค่าใช้จ่ายอย่างละเอียด ท่านสามารถประเมินการใช้เงินของตัวเองได้ทุกๆเดือน ทว่าบางท่านอาจจะเลือกทำบัญชีรับจ่ายเป็นรายวันก็ได้ครับ หากท่านมีเวลาพอ  แต่สำหรับผมเลือกที่ทำเป็นรายสัปดาห์ครับ เพราะทำเป็นรายวันบางครั้งก็ลืม หรือไม่มีเวลาครับ 
                   
         การมีสติในการใช้จ่าย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการใช้จ่ายบัตรเครดิต เช่น หากท่านต้องการซื้อกระเป๋า หรือสิ่งของราคาแพงๆ โดยใช้บัตรเครดิตก็ขอให้ระงับการใช้หรือยับยั้งชั่งใจ และขอให้เก็บเงินจนกระทั้งสามารถซื้อของสิ่งนั้นได้ มิเช่นนั้นหากท่านสร้างนิสัยการซื้อของด้วยบัตรเครดิตอย่างขาดความระมัดระวังจะทำให้ท่านมีโอกาสที่จะไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามรอบระยะเวลาการเรียกเก็บ 
                   
         การสำรองเงินเผื่อฉุกเฉิน  เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับช่วงเวลาที่ต้องการใช้เงินฉุกเฉิน  เงินก้อนนี้เป็นเงินส่วนที่ท่านมีเงินเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายต่างๆแล้ว ทั้งนี้ท่านควรมีเงินสำรองเผื่อฉุกเฉินอย่างน้อยที่สุดเท่ากับค่าใช้จ่ายต่อเดือนรวมกัน 3-6 เดือน โดยเงินสำรองนี้ท่านควรเก็บไว้ในรูปแบบที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด และมีสภาพคล่องสูงเพื่อสามารถเบิกออกมาใช้ได้ยามที่เราต้องการ เช่น บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ หรือกองทุนรวมตลาดเงินที่สามารถไถ่ถอนได้ทุกวันทำการ 
                   
         การป้องกันความเสี่ยงของชีวิต  โดยการทำประกันชีวิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้กับตัวท่านและครอบครัวของท่าน   หากท่านเป็นกำลังหลัก หรือเป็นผู้ที่หารายได้หลักๆ ของครอบครัว การทำประกันชีวิตยิ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งครับ  
                   
         การรู้จักเลือกลงทุน  เพื่อให้ได้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงินกับธนาคารและชนะเงินเฟ้อ  ภายใต้ความเสี่ยงที่ตนเองรับได้  ซึ่งท่านควรที่จะสำรวจว่ายอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน  นั่นคือ ถ้าในการลงทุนหนึ่งๆ ภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง หากท่านมีโอกาสต้องสูญเสียเงินไปเพื่อแลกกับผลตอบที่จะได้รับกลับมา ท่านจะต้องมีเงินเหลือโดยไม่เดือดร้อน ทั้งนี้ขอให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่าการลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง  

         ทั้งหมดที่กล่าวมาผมหวังว่าท่านผู้อ่านจะนำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไปใช้เพื่อเริ่มต้นจัดการ การลงทุนในเบื้องต้นให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้  และข้อสำคัญขอให้ผู้อ่านใช้เวลาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนอย่างเต็มที่ หากไม่แน่ใจ หรือสงสัยให้ค้นหาคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินการลงทุน เพื่อให้เกิดความเข้าใจโดยละเอียดก่อนการลงทุนครับ

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


สมการล้างโลก...




     “การลงทุน” (investment) หมายถึง การซื้ออสังหาริมทรัพย์หรือหลักทรัพย์ของบุคคลหรือสถาบัน ซึ่งให้ผลตอบแทนเป็นสัดส่วนกับความเสี่ยงตลอดเวลาอันยาวนานประมาณ 10 ปี แต่อย่างต่ำไม่ต่ำกว่า 3 ปี การลงทุนแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ (เพชรี ขุมทรัพย์, 2544, หน้า 1-2)

1. การลงทุนเพื่อการบริโภค (consumer investment)
2. การลงทุนในธุรกิจ (business or economic investment)
3. การลงทุนในหลักทรัพย์ (financial or securities investment)

     การลงทุนเพื่อการบริโภค (consumer investment) การลงทุนของผู้บริโภคจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการซื้อสินค้าประเภทคงทนถาวร (durable goods) เช่น รถยนต์ เครื่องดูดฝุ่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ เป็นต้น การลงทุนในลักษณะนี้ไม่ได้หวังในกำไรในรูปของตัวเงิน แต่ผู้ลงทุนหวังความพอใจในการใช้สินทรัพย์เหล่านั้นมากกว่า

     การซื้อบ้านเป็นที่อยู่อาศัยถือได้ว่าเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งของผู้บริโภค หรือที่เรียกว่า ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (real estate investment) เงินที่จ่ายซื้อเป็นเงินที่ได้จากการออม การซื้อบ้านเป็นที่อยู่อาศัยนอกจากจะให้ความพอใจแก่เจ้าของแล้ว ในกรณีที่อุปสงค์ (demand) ในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากกว่าอุปทาน (supply) มูลค่าของบ้านที่ซื้อไว้อาจสูงขึ้น หากขายจะได้กำไรซึ่งถือได้ว่าเป็นเพียงผลพลอยได้

     การลงทุนในธุรกิจ (business or economic investment) การลงทุนในความหมายเชิงธุรกิจ หมายถึง การซื้อทรัพย์สินเพื่อประกอบธุรกิจหารายได้ โดยหวังว่าอย่างน้อยที่สุดรายได้ที่ได้นี้เพียงพอที่จะชดเชยกับความเสี่ยงในการลงทุน มีข้อสังเกตว่าเป้าหมายในการลงทุนของธุรกิจ คือกำไร กำไรจะเป็นตัวดึงดูดผู้ลงทุนนำเงินมาลงทุน การลงทุนตามความหมายนี้จะกล่าวโดยสรุปได้ว่า เป็นการนำเงินออม (saving) หรือเงินที่สะสมไว้(accumulated fund) และ/หรือเงินกู้ยืมจากธนาคาร (bank credit) มาลงทุนเพื่อจัดสร้างหรือจัดหาสินค้าประเภททุน ซึ่งประกอบด้วยเครื่องจักร อุปกรณ์ และสินทรัพย์ประเภทอสังหาริมทรัพย์ได้แก่ การลงทุนในที่ดิน โรงงาน และอาคารสิ่งปลูกสร้าง เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ผลิตสินค้า และบริการเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค ธุรกิจที่ลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้มุ่งหวังกำไรจากการลงทุนเป็นผลตอบแทน

    การลงทุนในหลักทรัพย์ (financial or securities investment) การลงทุนตามความหมายทางการเงิน หรือการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็นการซื้อสินทรัพย์ (asset) ในรูปของหลักทรัพย์ (securities) เช่น พันธบัตร (bond) หุ้นกู้หรือหุ้นทุน (stock) การลงทุนในลักษณะนี้เป็นการลงทุนทางอ้อม ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนทางธุรกิจ ผู้มีเงินออมเมื่อไม่ต้องการที่จะเป็นผู้ประกอบธุรกิจเอง เนื่องจากมีความเสี่ยงหรือผู้ออมยังมีเงินไม่มากพอ ผู้ลงทุนอาจนำเงินที่ออมได้จะมากหรือน้อยก็ตามไปซื้อหลักทรัพย์ที่เขาพอใจที่จะลงทุนโดยให้ผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ย หรือเงินปันผลแล้วแต่ประเภทหลักทรัพย์ที่ทำการลงทุน นอกจากนี้ผู้ลงทุนอาจจะได้ผลตอบแทนอีกลักษณะหนึ่งก็คือ กำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) หรือการขาดทุนจากการขายหลักทรัพย์ (capital loss) อัตราผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนได้จากการลงทุนที่เรียกว่า yield ซึ่งไม่ได้หมายถึงอัตราดอกเบี้ยหรือเงินปันผลที่ได้รับเพียงอย่างเดียว แต่ยังได้คำนึงถึงกำไรจากการขายหลักทรัพย์ หรือขาดทุนจากการขายหลักทรัพย์ที่เกิดขึ้น หรือที่คาดว่าจะเกิดขึ้น yield ที่ผู้ลงทุนได้รับจากการลงทุนไม่ว่าจะมาก หรือน้อยก็ย่อมขึ้นอยู่กับความเสี่ยง (risk) ของหลักทรัพย์ที่ลงทุนนั้น ๆ โดยปกติแล้ว ผู้ลงทุนพยายามเลือกลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด ณ ระดับความเสี่ยงหนึ่ง

     การลงทุนในหลักทรัพย์ หมายถึง การซื้อหลักทรัพย์ที่ได้มีการวิเคราะห์อย่างเหมาะสม และเป็นหลักทรัพย์ที่ผู้ลงทุนมีความพึงพอใจในอัตราผลตอบแทนที่คาดว่า จะได้ ทั้งนี้ได้คำนึงถึงความเสี่ยงที่คาดว่าจะเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาที่ลงทุ


จุดมุ่งหมายในการลงทุน 

     ผู้ลงทุนต่างก็มีจุดมุ่งหมายในการลงทุนของตัวเองตามความต้องการ และภาวะแวดล้อมของผู้ลงทุนซึ่งพอจะแบ่งจุดมุ่งหมายดังกล่าวในลักษณะต่าง ๆ ได้ ดังนี้ (เพชรี ขุมทรัพย์, 2544, หน้า 4-6)

1. ความปลอดภัยของเงินลงทุน (security of principal) ความปลอดภัยของเงินลงทุนนอกจากจะหมายความถึง การรักษาเงินทุนเริ่มแรกให้คงไว้แล้วถ้ามองให้ไกลอีกนิด ยังหมายความถึงการป้องกันความเสี่ยงซึ่งเกิดจากอำนาจซื้อที่ลดลง เป็นผลจากภาวะเงินเฟ้ออีกด้วย จากความหมายดังกล่าว การลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีกำหนดระยะเวลาคืนเงินต้นจำนวนแน่นอน ซึ่งได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ และหุ้นบุริมทสิทธิที่มีกำหนดระยะเวลาไถ่ถอนของบริษัทที่มั่นคงก็อยู่ในความหมายนี้ นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัทที่มีฐานะมั่นคง และกำลังขยายตัวก็อยู่ในความหมายนี้เช่นกัน

2. เสถียรภาพของรายได้ (stability of income) ผู้ลงทุนมักจะลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้รายได้สม่ำเสมอ ทั้งนี้เนื่องจากรายได้ที่สม่ำเสมอ เช่น อัตราดอกเบี้ย หรือเงินปันผลหุ้นบุริมสิทธิ ผู้ลงทุนสามารถทำแผนการใช้เงินทุนได้ว่า เขาจะนำรายได้ที่ได้นี้ไปใช้เพื่อการบริโภคหรือเพื่อลงทุนใหม่ต่อไป นอกจากนี้อัตราดอกเบี้ย หรือเงินปันผลที่ได้รับเป็นประจำย่อมมีค่ามากกว่าดอกเบี้ย หรือเงินปันผลที่เขาสัญญาว่าจะให้ในอนาคตซึ่งยังไม่แน่ว่าจะได้ตามที่เขาสัญญาหรือไม่

3. ความงอกเงยของเงินลงทุน (capital growth) ตามกฎทั่ว ๆ ไปแล้ว ผู้ลงทุนมักจะตั้งจุดมุ่งหมายว่าพยายามจัดการให้เงินทุนของเขาเพิ่มพูนขึ้นทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความงอกเงยของเงินทุนที่จะเกิดขึ้นได้จากการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่กำลังขยายตัว (growth stock) เท่านั้น การนำรายได้ที่ได้รับไปลงทุนใหม่ ก็จะก่อให้เกิดการงอกเงยของเงินทุนได้พอดี ๆ กับการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่กำลังขยายตัว ผู้ลงทุนส่วนมากจะเพิ่มมูลค่าของเงินทุนของเขาโดยการนำดอกเบี้ยและเงินปันผลที่ได้รับไปลงทุนใหม่ ความงอกเงยของเงินทุนนี้ให้ประโยชน์แก่ผู้ลงทุนในแง่ที่ว่า (1) เพื่อปรับฐานะผู้ลงทุนในระยะยาวให้ดีขึ้น (2) เพื่อรักษาอำนาจซื้อให้คงไว้ (3) เพื่อให้การจัดการคล่องตัวดีขึ้น

4. ความคล่องตัวในการซื้อขาย (market ability) หมายถึง หลักทรัพย์ที่สามารถซื้อหรือขายได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับราคา ขนาดของตลาดหลักทรัพย์ที่หุ้นนั้นจดทะเบียน ขนาดของบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ จำนวนผู้ถือหุ้น และความสนใจที่ประชาชนทั่ว ๆ ไปมีต่อหุ้นนั้น หุ้นที่มีราคาสูงมักจะขายได้ยากกว่าหุ้นที่มีราคาต่ำกว่า ยกตัวอย่างง่าย ๆ หุ้นราคา 500 บาท ย่อมขายได้ยากกว่าหุ้นราคา 50 บาท เป็นต้น

     สถานที่ซื้อขายหุ้นก็มีส่วนที่ทำให้หุ้นขายได้คล่องหุ้นที่ซื้อขายใน New York Stock Exchange หรือ American Stock Exchange ย่อมให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนมากกว่า และขายได้เร็วกว่าหุ้นที่ซื้อขายในตลาดหุ้นเล็ก ๆ

     หุ้นของบริษัทใหญ่จำหน่ายได้ยากกว่าหุ้นของบริษัทเล็ก ทั้งนี้เนื่องจากบริษัทใหญ่มีหุ้นออกจำหน่ายจำนวนมาก ทำให้การซื้อขายดำเนินติดต่อกันตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้หุ้นของบริษัทใหญ่จึงมีความคล่องตัวมากกว่า

5. ความสามารถในการเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที (liquidity) เมื่อหลักทรัพย์ที่จะลงทุนมี liquidity สูง ความสามารถในการหากำไร (profitability) ก็ย่อมจะลดลง ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหลักทรัพย์ที่มี liquidity หรือหลักทรัพย์ที่ใกล้เคียงกับเงินสด เพราะหวังว่าหากโอกาสลงทุนที่น่าดึงดูดใจมาถึง เขาจะได้มีเงินพร้อมที่จะลงทุนได้ทันที การจัดการสำหรับเงินทุนส่วนนี้ ผู้ลงทุนอาจจะแย่งสรรปันส่วนจากเงินลงทุนเพื่อการนี้โดยเฉพาะ หรืออาจใช้เงินปันผล หรือดอกเบี้ยที่ได้รับมาเพื่อซื้อหุ้นใหม่ดังกล่าวก็ได้

6. การกระจายเงินลงทุน (diversification) วัตถุประสงค์ใหม่ก็คือต้องการที่จะกระจายความเสี่ยง และการกระจายความเสี่ยงลงทุนในหลักทรัพย์กระทำได้ 4 วิธี คือ
     6.1 ลงทุนผสมระหว่างหลักทรัพย์ที่มีหลักประกันในเงินลงทุน และมีรายได้จากการลงทุนแน่นอนกับหลักทรัพย์ที่มีรายได้ และราคาเปลี่ยนแปลงขึ้นลงตามภาวะธุรกิจ
     6.2 ลงทุนในหลักทรัพย์หลายอย่างปนกันไป
     6.3 ลงทุนในหลักทรัพย์ของธุรกิจที่มีความแตกต่างทางด้านภูมิศาสตร์ เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมหรือภัยธรรมชาติ เป็นต้น
     6.4 ลงทุนในหลักทรัพย์ของธุรกิจที่มีลักษณะการผลิตที่ต่างกันแบบ vertical หรือ horizontal ถ้าเป็นแบบ vertical หมายถึง การลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนสินค้าสำเร็จรูป ถ้าเป็นแบบ horizontal เป็นการลงทุนในกิจการที่ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกัน

7. ความพอใจในด้านภาษี (favorable tax status) ฐานะการจ่ายภาษีของผู้ลงทุนเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้บริหารลงทุนต้องให้ความสนใจ ปัญหาคือว่าจะทำอย่างไร จึงจะรักษารายได้และกำไรจากการขายหลักทรัพย์ (capital gain) ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ การจ่ายภาษีในอัตราก้าวหน้าจากเงินได้พึงประเมินทำให้ยากแก่การรักษาจำนวนรายได้นั้นไว้ ผู้ลงทุนอาจเลี่ยงการเสียภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินดังกล่าว โดยทำการลงทุนในพันธบัตรที่ได้รับการยกเว้นภาษีหรือซื้อหลักทรัพย์ที่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลในเวลานี้ แต่จะได้ในรูปกำไรจากการขายหลักทรัพย์ในอนาคต สำหรับในต่างประเทศอัตราภาษีที่เก็บจากกำไรจากการขายหลักทรัพย์นั้นต่างกัน กำไรจากการขายหลักทรัพย์ที่ได้จากการขายสินทรัพย์ประเภททุน (capital asset) ผู้ที่ลงทุนครอบครองไว้เป็นเวลา 6 เดือนหรือมากกว่านี้ จะเสียภาษีในอัตราสูงสุดที่ 25% ในการบริหารเงินลงทุน ผู้จัดการเงินลงทุนต้องดูว่า ผู้ลงทุนท่านนี้ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราสูงสุดเท่าไร ถ้าเขาเสียภาษีในอัตรา 50% หรือสูงกว่า 50% แล้ว เขาควรลงทุนในหลักทรัพย์ที่ให้กำไรจากการขายหลักทรัพย์หรือพันธบัตรที่ได้รับการยกเว้นภาษี

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555


กระบวนการจิตวิทยาการลงทุนบำบัด (Trading Tribe Process) 




นักลงทุนที่พยายามหลอกตัวเองหรือไม่กล้าเผชิญหน้าต่อความผิดพลาดในการลงทุนของเขานั้น ย่อมที่จะต้องขาดทุนต่อไปและขาดทุนต่อไปเรื่อยๆจนหมดตัว นอกจากนี้แล้ว นักลงทุนที่ไม่ได้เรื่องก็มักที่จะดึงดูดกันเองอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญแต่มันเกิดจากกลไกเบื้องลึกในจิตใจของเราต่างหาก ลองอ่านบทความชิ้นนี้ซึ่งเขียนโดย Ed Seykota เซียนหุ้นระดับโลกดูนะครับ
ขอเกริ่นนำนิดนึงว่าบทความนี้ Ed Seykota ได้เขียนเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางให้กับการบำบัดจิตใจซึ่งส่งผลให้เกิดพฤติกรรมแย่ๆในการลงทุน โดยใช้การบำบัดในลักษณะของการจับกลุ่มพูดคุยแบบเปิดใจถึงข้อผิดพลาดในการลงทุนที่เกิดขึ้น เรียกว่า Trading Tribe Proces (คล้ายๆกับการสารภาพบาป) เพื่อที่จะทำให้ตัวของเราไม่ “เก็บกด” เอาความรู้สึกแย่ๆไว้จนกลายเป็นพฤติกรรมที่ไม่ดีในการลงทุนออกมาโดยไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างง่ายๆเช่น บางคนอาจติดหุ้นอยู่แต่หลอกตัวเองหรือทำเป็นมองข้ามไปเรื่อยๆ จนในที่สุดแล้วเนื่องจากการที่เราพยายามปิดกั้นมันมาตลอด หากเรายังคงขาดทุนอยู่หนักเข้าๆเราก็อาจระเบิดมันออกมาโดยแสดงพฤติกรรมแบบสุดโต่งออกมาไม่รุ้ตัว ประมาณว่าอาจเก็บกดจากการขาดทุนมานาน เลยหน้ามืดเดิมพันหมดหน้าตักทั้งที่รู้ว่าไม่ควรทำเพียงเพราะอยากจะลืมความรู้สึกแย่ๆจากการขาดทุนที่หลอกตัวเองมานาน … ซึ่งแน่นอนว่าถ้าคุณโชคร้ายพอก็อาจต้องขาดทุนบักโกรกก็ได้
สิ่งเหล่านี้เองเป็นที่มาของวลีเด็ดจาก Ed Seykota ที่ว่า
“ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน พวกเราทุกๆคนต่างก็ได้รับในสิ่งที่เราต้องการจากตลาดอยู่แล้ว”
นั่นก็เพราะถึงแม้ว่ามันอาจดูเหมือนว่าทุกเข้าจะเข้ามาเล่นหุ้นเนื่องจากต้องการผลกำไร แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็มักที่จะทำ (หรือตกเป็นเหยื่อ) ในสิ่งที่จิตใต้สำนึกพยายามที่จะระบายมันออกมาแทนนั่นเอง และต่อไปนี้ก็คือบทความดีๆจาก Ed Seykota ครับ!

กระบวนการจิตวิทยาการลงทุนบำบัด The Trading Tribe Process

เป็นที่รู้กันดีว่านักเล่นหุ้นส่วนใหญ่นั้น มักค่อนข้างที่จะหวงแหนความเป็นส่วนตัวและรักอิสระเป็นอย่างสูง การอยู่เพียงลำพังและทำสิ่งต่างๆด้วยตนเองนั้นดูจะเป็นส่วนหนึ่งในวัฒธรรมของพวกเราไปแล้ว
อย่างไรก็ตามพวกเราทุกๆคนต่างก็รู้ดีว่า อารมณ์ความนึกคิดรวมถึงสัญชาติญาณต่างๆของพวกเรา มักที่จะถูกสะท้อนออกมาในพฤติกรรมการเล่นหุ้นของพวกเราเองเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมพวกเราจึงพยายามที่จะฝึกฝนจิตใจของตนเองให้มากที่สุด เพราะนั่นก็เพื่อที่จะพัฒนาทักษะในการเล่นหุ้นให้เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง และนี่ก็คือสิ่งที่กระบวนการจิตวิทยาการลงทุนบำบัด “Trading Tribe Process (TPP)” จะเข้ามาช่วยในจุดนี้ เนื่องจากในการที่เราจะสามารถพัฒนาทักษะที่มีความข้องเกี่ยวกันของ Ego และ จิตใต้สำนึกได้นั้น มันค่อนข้างเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในการที่จะบรรลุเป้าหมายได้ด้วยตนเองเพียงลำพัง แต่มันกลับเป็นเรื่องง่ายขึ้นที่เราจะสามารถพัฒนาและฝึกฝนทักษะเหล่านี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างเป็นธรรมชาติเมื่อเราได้อยู่ร่วมเป็นกลุ่มกัน
กระบวนการจิตวิทยาการลงทุนบำบัด (TPP) นั้นตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อวิเคราะห์ลงไปในจิตใจของพวกเราลึกๆแล้ว พวกเราทุกคนต่างก็ไม่ได้เป็นอิสระจากกันไปอย่างสิ้นเชิง พวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันอยู่และยังมีความเกี่ยวโยงกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ด้วยความเข้าใจในสิ่งต่างๆเหล่านี้ มันจึงช่วยทำให้กำแพงที่ขวางกั้นระหว่างจิตใจและร่างกาย, ภายนอกและภายใน รวมถึงตัวตนของคุณกับโลกภายนอกได้ถูกพังทลายลงไป และนี่จะเป็นสิ่งช่วยให้คุณรู้จักกับตัวตนของคุณได้อย่างมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

Fred – สัญชาติญาณที่ควบคุมพฤติกรรมต่างๆของเรา

ข้อมูลข่าวสารต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นจะวิ่งเข้าสู่จิตใจของเราผ่านประสาทสัมผัสและไหลไปยังสิ่งที่เรียกว่า Fred …
Fred คือส่วนหนึ่งในจิตใจของพวกเรา โดยที่คนส่วนใหญ่อาจที่จะเรียกมันว่า จิตใต้สำนึก (Subconscious), ระบบลิมบิค (Limbic System) ,สมองในส่วนที่คล้ายกับผลอัลมอนด์ (Amygdala), สมองส่วนหลัก หรือแม้แต่กระทั่งสัญชาตญาณ
โดยปกติแล้ว Fred จะตอบสนองต่อภยันตรายและโอกาสต่างๆที่ผ่านเข้ามาอย่างรวดเร็วไปตามอารมณ์โดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น หากว่าคุณเอามือแตะไปที่ของที่มีความร้อนบางอย่าง Fred จะทำงานในทันที และมันจะบังคับให้ตัวของคุณดึงมือออกมาจากภยันตรายตรงนั้นก่อนที่สมองในส่วนของ “จิตสำนึก” (Conscious Mind “CM”) จะเคยรู้จักว่ามันคืออะไรมาก่อนเสียด้วยซ้ำ
Fred นั้นทำหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมและการกระทำหลายๆอย่างของพวกเรา พวกมันคือผู้ที่ควบคุมการสื่อสารของเรา โดย Fred จะทำหน้าที่จัดการกระบวนการขยับปาก, เส้นเสียง และการแสดงออกทางสีหน้าของเราโดยอัตโนมัติ  นอกจากนี้แล้ว Fred ยังทำหน้าที่ปรับความสมดุลต่างๆของเราเมื่อเราพยายามทรงตัวอยู่บนจักรยานอีกด้วย โดยที่กิจกรรมทั้งหมดต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ถูกดำเนินการโดยไม่ผ่านจิตสำนึกหรือ “CM” ของเราเลย หลังจากนั้น Fred จะเก็บข้อมูลต่างๆที่เราได้พบเจอในรูปแบบของ “ประสบการณ์” โดยที่ประสบการณ์เหล่านี้อาจรวมถึงความรู้สึก, ภาพต่างๆ หรือแม้กระทั่งจุดอ้างอิงไปยังประสบการณ์อื่นๆด้วย

จิตสำนึก “CM” ผู้ที่ทำหน้าที่ขบคิดและตัดสินใจว่าจะตอบสนองกับสิ่งต่างๆอย่างไร

เมื่อ CM ของเราได้รับข้อมูลข่าวสารต่อมาจาก Fred มันจะนำตรรกะเหตุผล (Logic) และกระบวนการตัดสินใจ (Judgement) เข้ามา เพื่อประมวลผลว่าเราควรที่จะตอบสนองต่อข้อมูลเหล่านั้นอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น CM จะรู้ว่าหากมีกระต่ายกระโดดผ่านไปยังด้านหลังของต้นไม้และไม่กลับออกมา มันจะประมวลผลว่ากระต่ายตัวนั้นควรที่จะอยู่ด้านหลังของต้นไม้ต้นนั้น โดยที่ CM ของเราสามารถแม้กระทั่งที่จะสับเปลี่ยนภาพของต้นไม้ออกไปให้เหลือแต่ความว่างเปล่า และ “เห็น” ว่ามีกระต่ายกำลังซ่อนอยู่ด้านหลังต้นไม้ต้นนั้น นอกจากนี้แล้ว CM ยังจะช่วยในการประมวลการตัดสินใจของ Fred ในสถานการณ์ต่างๆให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย โดยเมื่อ Fred และ CM สามารถที่จะทำงานประสานกันได้อย่างเป็นปกตินั้น CM จะเป็นผู้ที่ช่วยปรับการตอบสนองต่อข้อมูลต่างๆที่เกิดขึ้นให้กับ Fred นั่นเอง

สติปัญญาคือผลของการทำงานร่วมกันระหว่าง Fred กับ CM

เมื่อมีสถานการณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นกับเรา Fred จะดึงเอาประสบการณ์ที่มีความใกล้เคียงที่สุดที่มันรู้จักเข้ามาประมวลผลและตอบสนองไปตามความเหมาะสมให้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนมอบดอกไม้ให้กับคุณ แต่ทันใดนั้นก็มีผึ้งบินออกมาพร้อมกับต่อยคุณเข้าที่จมูกอย่างแรง Fred จะเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้นนี้เข้าไปอยู่ในรูปของประสบการณ์ความเจ็บปวดของคุณ และมันจะยังคงเชื่อมต่อประสบการณ์ที่เกิดขึ้นนี้กับประสบการณ์ของความเจ็บปวดต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ CM จะค่อยๆทำหน้าที่ปรับการประมวลผล ว่าคุณควรที่จะตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรหากว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง โดยสิ่งต่างๆเหล่านี้อาจเกิดขึ้นในลักษณะของการครุ่นคิด, รำพึงรำพัน, การฝันหรือแม้แต่การเพ้อฝัน หรือเป็นอาการอื่นๆที่เกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์ต่างๆเหล่านั้นตามมาหลอกหลอน โดยในท้ายที่สุดแล้ว CM ของคุณอาจแนะนำให้ Fred นั้นวิ่งหนีไปเมื่อเจอกับดอกไม้ หรือเมื่อเจอกับคนที่กำลังถือช่อดอกไม้อยู่นั่นเอง
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ เมื่อมีใครสักคนพยายามที่จะยื่นดอกไม้ให้กับคุณ Fred จะทำให้คุณรู้สึกคันจมูกขึ้นมาและก้าวเท้าถอยหลังออกมาในทันที เพราะนี่คือผลของกลไกการเตือนภัยเพื่อปกป้องตัวของคุณเอง (Protective Warning “PW”) แต่ต่อมาหากว่าคุณค่อยๆเก็บสั่งสมประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้พบเจอกับดอกไม้โดยไม่มีผึ้งอยู่ ในที่สุดแล้ว CM จะค่อยๆสามารถแนะนำให้ Fred ปรับเปลี่ยนการตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นได้ จนในที่สุดเมื่อคุณเจอต้องเจอกับการรับช่อดอกไม้ คุณก็อาจสามารถที่จะค่อยๆจ้องมองช่อดอกไม้นั้น เพื่อให้แน่ใจได้ว่าไม่มีผึ้งอยู่ในนั้นก่อนที่จะยื่นจมูกดมดอกไม้ลงไป
โดยทั่วไปแล้ว Fred และ CM จะทำงานร่วมกันไปเองตามธรรมชาติ คล้ายๆกับการสนทนากันไปมาเรื่อยๆ โดยในบุคคลซึ่งมีสุขภาพสมบูรณ์นั้น เมื่อ Fred ส่งสัญญาการเตือนภัยเพื่อปกป้องตนเอง (PW) ออกมา CM ก็มักที่จะตอบสนองต่อมันได้อย่างชาญฉลาด

ต้นกำนิดของพฤติกรรมสุดโต่ง (Drama) และการสะดุดของการลื่นไหลของประสบการณ์

เนื่องจากสภาวะสังคมในยุคใหม่นั้น ได้สอนให้เราพยายามที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้อยู่เสมอ พวกเราจึงได้เรียนรู้ที่จะปิดซ่อนพวกมันเอาไว้, บ่ายเบี่ยงต่อมัน, หลอกตัวเอง หรือแม้กระทั่งกดความรุ้สึกเหล่านั้นเอาไว้โดยไม่รู้ตัว ผลก็คือพวกเราจึงพยายามที่จะตัดการติดต่อสื่อสารระหว่างอารมณ์และเหตุผลของตัวเราเองออกไป ยกตัวอย่างเช่น มันมักที่จะมีคนบอกกับเราอยู่เสมอว่า “คุณไม่ควรรู้สึกอย่างนั้น” หรือสุภาพบรุษควรที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ และสุภาพสตรีก็ควรที่จะเก็บความเกรี้ยวกราดเอาไว้เช่นกัน นอกจากนี้แล้ว เด็กนักเรียนก็ควรที่จะนั่งนิ่งๆเรียงเป็นแถว และห้ามไม่ให้ปลดปล่อยความรู้สึกต่อระบบการเรียนของพวกเขา การพยายามที่จะอดกลั้นอารมณ์เหล่านี้ จึงมักที่จะทำให้การสื่อสารที่สำคัญมากๆระหว่าง Fred และ CM เกิดการสะดุดขึ้นมานั่นเอง และเมื่อเกิดการสะดุดของการถ่ายโอนประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้น ผลที่ตามมาก็คือ Fred จะพยายามที่จะส่งผ่านประสบการณ์เหล่านั้นออกมาซ้ำๆอย่างรุนแรงขึ้นเรื่อย เพื่อที่จะให้ประสบการณ์เหล่านี้สามารถส่งผ่านไปยัง CM ได้นั่นเอง
CM ของเรานั้นอาจได้รับการเรียนรู้ทางอ้อมจากพ่อแม่หรือบุคคลใกล้ชิดในชีวิตของเรา ว่าความรู้สึกบางอย่างนั้นเป็นสิ่งที่ “แย่” หรือเป็นสิ่งที่เราไม่ควรที่จะรู้สึกเช่นนั้น CM จึงเชื่อมโยงความรู้สึกเหล่านั้นให้กลายเป็นสิ่งที่อันตรายและพยายามที่จะปัดป้องมันออกไป นอกจากนี้แล้ว CM ยังอาจแม้กระทั่งชี้นำให้ Fred นั้น “ตัดสิน” ที่จะปิดกั้นความรู้สึกนั้นออกไปด้วย ซึ่งเป็นผลทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าน็อต (K-not) หรือสิ่งที่ผูกเอาความรู้สึกที่เกิดขึ้นไว้ว่าเป็นสิ่งที่แย่กับตัวของเรา
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม Fred จะยังคงพยายามที่จะส่งผ่านประสบการณ์ไปสู่ CM อยู่เช่นเคย และมันจะค่อยๆยกระดับความรุนแรงของมันขึ้นเรื่อยๆ Fred จะพยายามกดดันส่งผ่านความรู้สึกออกมา จนในที่สุดมันอาจส่งผ่านออกมาในลักษณะของการฝันกลางวัน, เพ้อฝัน หรือการฝันร้ายในยามดึก ซึ่งสุดท้ายแล้ว Fred อาจพยายามหาที่อยู่ให้ประสบการณ์เหล่านั้นใน “โลกภายนอก” แทนที่จะเก็บอยู่ในตัวมัน และส่งผลให้เกิดเป็นพฤติกรรมที่สุดโต่ง (Drama) ขึ้นมานั่นเอง ทั้งที่โดยทั่วไปแล้วนั้น จุดประสงค์ของกลไกการปกป้องตัวเราเอง (PW) นั้นเกิดขึ้นก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากการเกิด Drama ขึ้นมา แต่เมื่อเราพยายามที่จะปิดกั้นมันเอาไว้ มันจึงกลับกลายเป็นผลทำให้เกิด Drama ขึ้นมาแทน และเมื่อ Drama ได้ค่อยๆถูกระบายออกมา มันก็ยิ่งไปกระตุ้นความรู้สึกเก่าๆเหล่านั้นขึ้นมาอีก คุณจึงมักจะต้องประหลาดใจและโมโหตัวเองสุดๆ เมื่อพบว่าคุณต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่คุณไม่ชอบและไม่ต้องการอยู่ซ้ำๆเรื่อยไป
หากว่าต่อมา CM ของคุณยังคงไม่ได้รับข้อมูลที่ส่งออกมา สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือการที่ Drama จะยังคงเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆซ้ำๆ ในระดับที่สูงขึ้นเรื่อยๆเป็นปีๆหรือแม้กระทั่งชั่วชีวิตของคุณเอง โดยจากตัวอย่างที่เราได้พูดถึงกันไปนั้น Fred อาจสังเกตเห็นป้ายของฟาร์มผึ้งในช่อดอกไม้ และทำให้คุณตกอยู่ใน Drama อีกครั้งเมื่อคุณรู้ตัวขึ้นมาก็เป็นได้
Fred นั้นต้องการที่จะให้ CM ได้รับรู้ถึงประสบการณ์ผ่านทางกลไกการเตือนภัยเพื่อปกป้องตัวของคุณเอง (PW) อย่างไรก็ตาม CM ก็อาจจะยังคงพยายามที่จะปิดกั้นการรับรู้ต่อมัน แต่ยิ่ง CM ของคุณพยายามที่จะปัดป้องความรู้สึกนั้นมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นการทำลายระบบเตือนภัยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นซ้ำๆของคุณมากขึ้นเท่านั้น
จากที่เราได้กล่าวถึงไปนั้น จะสังเกตได้ว่าความพยายามของ Fred นั้นมีจุดประสงค์ในทางบวกอยู่เสมอ และแท้จริงแล้ว พวกเราทุกคนต่างก็ได้รับในสิ่งที่เราต้องการด้วยกันทั้งสิ้น (หรืออย่างน้อยที่สุดก็คือสิ่งที่ Fred นั้นต้องการ) การพยายามปฏิเสธหรือเมินเฉยความรู้สึกจาก CM จึงกลายเป็นการยอมรับและยืนยันอาการที่เกิดขึ้นไปโดยปริยาย

Under Fred เส้นทางการสื่อสารโดยไม่รู้ตัวของมนุษย์


พวกเราทุกคนล้วนแล้วแต่มี Fred อยู่ภายในจิตใจ โดยที่ Fred ทั้งหลายนั้นจะเชื่อมโยงถึงกันและกันอยู่ภายใต้ Under Fred ซึ่งก็คือเครือข่ายในการติดต่อสื่อสารเส้นหลักของ Fred หลายๆส่วน และพวกมันจะรับรู้โดยสัญชาติญาติญาณได้ว่า Fred ในส่วนไหนคือพันธมิตรของพวกมันในการที่จะสร้างพฤติกรรมที่สุดโต่ง (Drama) ออกมาได้ ยกตัวอย่างเช่น เรามักพบว่าผู้คนที่เติบโตมาด้วยการถูกข่มเหงในวัยเด็ก มักที่จะเป็นที่ดึงดูดใจอย่างมากสำหรับกลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติกรรมที่ชอบการทารุณ และพวกเขาก็อาจที่จะเลือกบุคคลเหล่านี้เป็นคู่ครองเสียด้วย
[ในทางเดียวกันนี้ CM ของเราก็มีวิธีการสื่อสารกับพวกมันเองด้วยเช่นกัน โดยที่พวกมันจะเชื่อมต่อกันผ่านทาง “จิตสำนึกที่สะสมกันมาแต่อดีตกาล” (Collective Consciousness) ซึ่งจะเก็บสะสมเอาภาษา, เทคโนโลยี และ Know how ของเราเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็น ดิคชันนารี่, ห้องสมุด และอินเตอร์เนท สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เก็บสะสม CC เอาไว้ทั้งสิ้น หรือหากจะยกตัวอย่างง่ายๆก็คือ CC เกี่ยวกับการเล่นหุ้นในขณะนี้นั้นก็มักที่จะถูกเก็บเอาไว้ในโลกของอินเตอร์เนทนั่นเอง ซึ่งในทางกลับกันแล้ว “จิตไร้สำนึกที่สะสมกันมาแต่อดีตกาล” (Collective UnConsciousness) ของพวกเราก็จะถูกเก็บไว้อยู่ในก้นบึ้งของ Fred นั่นเอง]

ประโยชน์ของกระบวนการจิตวิทยาการลงทุนบำบัด – การสร้างการลื่นไหลของประสบการณ์

จากสิ่งที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้น กระบวนการ TTP จะช่วยสนับสนุนการลื่นไหลของประสบการณ์จาก Fred ไปยัง CM ของพวกเรา (การรับรู้และยอมรับต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้น) และช่วยสร้างความกระปี้กระเป่าเพิ่มความสามารถให้กับ CM ในการที่จะรับสัญญาณ PW จาก Fred ให้ได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นแล้ว กระบวนการ TTP จึงตั้งใจที่จะละทิ้งวิธีการเดิมๆที่คนส่วนใหญ่ปฎิบัติกัน เช่น การพยายามนำเสนอด้วยข้อมูลต่างๆ, การพยายามยุยงให้กระทำสิ่งใดๆ, การแนะแนวทางต่างๆ หรือการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งกับ Drama นั้นๆ เพราะแท้จริงแล้วประโยชน์ของกระบวนการ TPP นั้นอยู่ที่การแบ่งปันความรู้สึกที่เกิดขึ้น, การสะท้อนถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้น และการพยายามส่งเสริมให้ผู้อื่นรู้สึก หรือยอมรับในสิ่งที่เขารู้สึกจริงๆนั่นเอง

กระบวนการและปรากฏการณ์ของ TPP


เมื่อกระบวนการ TPP ได้เกิดขึ้นนั้น จะค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆขึ้นตามลำดับดังนี้
ช่วงที่ 1 : การรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น (ความรู้สึกในแง่ลบ)
  • การปฏิเสธและเพิกเฉยจาก CM
  • ใช้การบอกเล่าเรื่องราวความรู้สึกและหนทางอื่นๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากปัญหาที่จะเกิดขึ้น
  • ความรู้สึกอึดอันจากการยอบรับต่อความรู้สึกที่เกิดขึ้น
ช่วงที่ 2 : เมื่อ Fred สามารถติดต่อสื่อสารกับ CM ได้อย่างราบรื่น (จนไม่หลงเหลืออะไรอยู่เลย)
  • ความผ่อนคลายซึ่งแสดงออกมาผ่านทางร่างกาย
  • ภาวะความรู้สึกเบาโล่งสบาย
  • ความรู้สึกซาบซ่านจากความโล่งใจที่เกิดขึ้น
  • ความรู้สึกพรั่งพรูที่เกิดขึ้นจากการได้รับการปลดปล่อยอารมณ์
  • เกิดช่วงเวลาซึ่งเป็นวินาทีของการเข้าถึงบางอย่าง (Ahaaa Moment) หลังจากที่สิ่งต่างๆดูจะเข้ารูปเข้ารอยขึ้น
  • เกิดการพัฒนาขึ้นของปัญญาในส่วนที่เคยเป็นปัญหาอยู่แต่เดิม
ช่วงที่ 3 : เมื่อชีวิตค่อยๆดำเนินต่อไป และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรอบตัวค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
  • อาการหรือพฤติกรรมที่ย่ำแย่ซ้ำซากจำเจจะค่อยๆหายไป
  • อาการหมกมุ่นอยู่กับความวิตกกังวลลดน้อยลงไป
  • ความสมดุลระหว่างอารมณ์และเหตุผล
  • ใช้ชีวิตอยู่ในภาวะที่จิตใจผ่องใส
  • มีชีวิตที่ดีขึ้น
  • มีความสามารถในการเก็งกำไร/ลงทุนได้อย่างดีขึ้น
  • มองเห็นโอกาสต่างๆที่ผ่านเข้ามาได้อย่างชัดเจนขึ้น
  • สุขภาพกายและใจดีขึ้น
  • มีชีวิตที่มีความสมดุลระหว่างการกินอยู่และการลงทุน
  • เข้าสู่จุด Zero Point (จุดที่จิตใจโล่งสบาย จากการที่จิตใต้สำนึกได้รับการปลดปล่อยความรุ้สึกต่างๆออกมาจนหมดสิ้น)
.
…..
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ? หวังว่าบทความในวันนี้จะทำให้ทุกคนเห็นถึงความสำคัญต่อการยอมรับกับความรู้สึกของตัวเองให้มากขึ้น อย่าพยายามปิดกั้นความรู้สึกของเราจนเกินไปจนเก็บกดมันเอาไว้ เพราะนอกจากมันจะดีกับชีวิตของเราแล้ว มันยังจะช่วยให้พฤติกรรมในการลงทุน/เก็งกำไรของเราดีขึ้นมากๆอีกด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าผลการลงทุนของคุณจะต้องดีขึ้นตามมาอย่างแน่นอนครับ ^_^